Let’s go to the Sea เที่ยวเกาะสีชัง (ตอน1)

Let’s go to the Sea เที่ยวเกาะสีชัง (ตอน1)

Let’s go to the Sea  เที่ยวเกาะสีชัง (ตอน1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่ออากาศร้อนๆ ส่งตรงถึงผิว เหงื่อผุดบนใบหน้าและไหลลงกลางหลัง สมองจึงสั่งการว่า ฉันจะไปทะเล แต่ติดอยู่นิดเดียวว่า มีเวลาจำกัด ขณะกำลังนั่งนึกถึงบรรยากาศของทะเลเพลินๆ เพื่อนสาวในออฟฟิศก็ชวนไปยิ้มรับน้ำทะลที่ ‘เกาะสีชัง' ในวันเสาร์-อาทิตย์นี้

จุดเริ่มต้นการเดินทางของเราในครั้งนี้ เริ่มที่แยกบางนา เพื่อที่จะได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษบูรพาวิถี (ทางด่วนสายบางนา-ชลบุรี) เพราะเส้นทางนี้เร็วได้ใจ เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็เข้าเขตจังหวัดชลบุรี แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังท่าเรือ "เกาะลอย" เพื่อขึ้นเรือโดยสารข้ามไปยังเกาะสีชัง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ สายลมแผ่วเบาที่หอบเอาน้ำเค็มขึ้นมา ช่างเป็นอารมณ์ที่ผ่อนคลาย แม้ว่าวันเสาร์คนจะพลุกพล่านไปหน่อย แต่ก็แชร์ๆ สถานที่เที่ยวกันไป เพราะใครๆ ก็หยุดเสาร์-อาทิตย์เหมือนเรา เรารอเรือโดยสารออกสักพักหนึ่ง ซึ่งเรือที่นี่จะออกทุกๆ 1 ชั่วโมง และใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็จะถึงเกาะสีชัง สนนราคาคนละ 40 บาทเท่านั้น

ระหว่างทาง แนะนำว่า อย่านั่งหลับ ให้เก็บบรรยากาศทะเลกว้างเอาไว้ มองทางซ้ายก็ตื่นตาไปกับเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ ทางขวาก็มองทุ่นลอยน้ำ มองท้องน้ำ พอเรือมุ่งหน้าไปทางเกาะ เราจะเห็นเกาะอื่นๆ อยู่เบื้องหน้า อาทิ เกาะขามน้อย เกาะขามใหญ่ และที่ชอบที่สุดคือ เกาะขายหัวเราะ เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาเอง เพราะเป็นเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่กลางทะเล มีต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น มีบ้านที่คล้ายศูนย์วิจัยฯ อะไรสักอย่าง และมีเสาธงชาติตั้งตระหง่าน มันเหมือนในหนังสือการ์ตูนขายหัวเราะ ที่มีเกาะเล็กๆ มีคนหนึ่งคนและมีต้นมะพร้าวหนึ่งต้น เพิ่งเคยเห็นและเพิ่งรู้ว่ามีอยู่จริงก็คราวนี้

และเราก็เห็นเกาะสีชังชัดขึ้น เราขึ้นเรือท่าที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่าล่าง แล้วนั่งสกายแลป (มอเตอร์ไซต์ติดเครื่องยนต์และมีพ่วงหลังเหมือนรถตุ๊กตุ๊ก) เข้าไปในตัวเมือง และด้วยความที่มีคนพื้นที่นำเที่ยว จึงให้มาลงที่ร้านเก่าแก่ที่สุดของเกาะสีชัง เพื่อเติมพลังให้หายร้อนด้วย ปังชานมเย็นจานพูน ปังสังขยาเนื้อหนาหอมหวาน และกาแฟร้อนที่เสิร์ฟพร้อมชาร้อน ที่ร้านส่วนกี่เบเกอรี่ ขอบอกว่า อร่อยมาก ที่สำคัญยังถูกมากๆ อีกด้วย เมื่อกินขนมปังเข้าไป กลับไปกระตุ้นต่อมหิวเข้าอย่างจัง จึงแวะหาร้านอาหารกินข้าว เผอิญเพื่อนคนพื้นที่แนะนำว่า มาที่เกาะสีชัง ต้องกินหมึกน้ำดำ อาหารพื้นเมืองของเกาะ ที่ใช้ปลาหมึกกล้วยตัวไข่ ไข่ของมันจะเป็นเม็ดเล็กๆ ไม่ใช่เป็นไข่แบบก้อนๆ มาต้มในน้ำหมึก แต่บอกไว้ว่า ต้องเป็นปลาหมึกที่สดมากๆ เท่านั้น ถึงจะทำเมนูนี้ได้ และตามร้านอาหารตามสั่งอาจจะไม่มี ต้องลุ้นหรือขอให้เค้าทำให้กิน ขอบอกว่าอร่อย แต่หากใครไม่ชอบจะบอกว่า แปลกๆ ซึ่งเรามีโอกาสได้ชิมที่บ้านเพื่อนนั่นเอง

จากบ้านเพื่อนที่อยู่ในตัวเมือง ไม่ไกลจากโรงพยาบาลเกาะสีชัง เราตั้งใจที่จะเที่ยวโดยจ้างสกายแลป เที่ยวรอบเกาะในวันรุ่งขึ้น สำหรับวันแรกนี้เราจึงตั้งใจที่จะเช่ามอเตอร์ไซต์ เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ใกล้ๆ บ้านพัก จุดแรกที่ไปคือ ท่าวัง หรือพระราชวังโบราณ (พระจุฑาธุราชฐาน) สถานที่ที่ ร.5 ทรงรับสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับในฤดูร้อน ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม จุดแรกที่เห็นก็ยิ้มแก้มปริ สะพานอัษฎางค์ สะพานไม้สีขาวที่มีศาลาไม้สีขาว ทอดยาวไปในทะเล แล้วเดินตามต้นลีลาวดีเข้าไปด้านใน เห็นฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ เป็นพระราชวังไม้สักที่รื้อถอนและย้ายมาก่อสร้างเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆที่กรุงเทพฯ มองไปเบื้องหน้าเป็นหาดทรายปนหินน้อยใหญ่


เมื่อหันหน้าสู่ทะเล แล้วเดินไปทางซ้ายมือจนสุดทาง เป็นจุดที่มีประภาคารเก่าอยู่ในป่า หากเดินไปทางขวามือ จะพบกับเรือนไม้สีเขียวเข้มสลับขาว ชื่อเรือนไม้ริมทะเล ที่สามารถนั่งลมชมวิวริมทะเล จิบกาแฟเย็นๆ เพลินๆ เป็นเรือนที่ตกแต่งสไตล์วินเทจได้อย่างน่ารัก นั่งกันเพลิน จนน้ำแข็งในแก้วกาแฟละลายหมดแล้ว จึงเดินต่อไปยังเรือนวัฒนา เรือนไม้โบราณริมทะเลสีขาวตัดด้วยสีเขียวอ่อน ที่เรือนนี้จะมีรูปเก่าๆ ของเกาะสีชังอยู่มากมาย เราเดินต่อไปยังเรือนผ่องศรี เรือนทรงแปดเหลี่ยม แต่จุดที่เราชอบมากที่สุดคือ ซุ้มต้นลีลาวดีอายุเกือบ 100 ปีที่เรียงกันอยู่สองข้างทางเป็นแนวยาว แผ่กิ่งก้านสาขา ออกดอกสีขาว บางต้นดอกไม้ร่วงโรย เหลือกิ่งสีขาว เหมือนถูกหิมะปกคลุม สวยมาก พอมองลงไปที่ทะเลผ่านหน้าผาที่มีต้นลีลาวดีและต้นไม้อื่นๆ บังไว้ ก็สวยจับใจ บางทีการที่เราไม่ได้คิดหรือหวังอะไร แล้วได้เห็น มันก็เป็นเรื่องที่มีความสุขมากๆ ได้ไม่ยากเลย

แวะชมเรือนอภิรมย์ แล้วย้อนเดินกลับขึ้นเขา เพื่อขึ้นไปยังพระอุโบสถวัดอัษฎางคนิมิต เดินเหนื่อยนะ แต่ขึ้นไปแล้วตัวพระอุโบสถสวยงาม ตกแต่งตามศิลปะแบบกอธิค คือ ประตูและหน้าต่างเป็นรูปโค้งยอดแหลม ช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเป็นลวดลาย เรากราบพระพุทธรูปแล้วนั่งพักจนหายเหนื่อย แล้วเดินต่อไปยังจุดชมวิวเนินเขาน้อย เป็นจุดสุดท้ายของวันนี้ เรากลับมาที่บ้านพัก อาบน้ำสักหนึ่งยก แล้วไปเดินตลาดของกินใกล้ๆ โรงพยาบาลเกาะสีชัง เดินกินไปคุยไป แล้วก็วนเข้าสู่สะพานคนเดินที่ไม่ไกล ทางกลับไปท่าเรือนั่นเอง เดินเรื่อยๆ สบายๆ ดูอะไรไปเรื่อย ไม่ต้องรีบร้อนอะไร เพราะที่นี่เปิดถึง 4 ทุ่ม เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ชอบนอนดึก อีกอย่างที่นี่ไม่มีผับ บาร์ เพราะคนที่นี่เขารักความสงบ

แต่ความสนุกยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ พรุ่งนี้เราจะลุยธรรมชาติกันจริงจัง ต้องติดตามกันในเล่มหน้าว่า เราจะไปสนุกกันที่ส่วนไหนของเกาะสีชัง พร้อมมาร่วมหาคำตอบว่า เกาะสีชังมีอะไรให้เที่ยว แล้วคุณจะเอาโปรแกรมเที่ยวเกาะสีชังใส่ไว้ในทริปเที่ยววันเสาร์-อาทิตย์ต่อไป

การเดินทาง

- สามารถขึ้นรถตู้อนุสาวรีย์-เกาะลอย ที่เซนจูรี่ ราคาคนละ 100 บาท และที่ท่าเรือขึ้นฝั่งเกาะสีชังก็มีคิวรถตู้กลับกรุงเทพฯ ซื้อได้เลย
- หากมากันหลายคน แนะนำให้จ้างสกายแลปเหมาราคาประมาณ 500-700 บาท เที่ยวรอบเกาะ หรือหากจะขับขี่ในตัวเมืองและสถานที่ใกล้เคียงก็เช่ามอเตอร์ไซค์วันละ 250 บาท ส่วนที่นอนมีให้เลือกบ้านพักมากมาย หลายราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 600 บาท/คืน

เรื่อง : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ / ภาพ : นวมินทร์ กุลประดิษฐ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook