ฉันรักเธอ...ดอยอ่างขาง

ฉันรักเธอ...ดอยอ่างขาง

ฉันรักเธอ...ดอยอ่างขาง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฉันรักเธอ...ดอยอ่างขาง

นานทีปีหนที่เมืองไทยจะมีหน้าหนาว ด้วยเสน่ห์ของความหนาวจับใจที่ยากจะสัมผัส ชวนให้ฉันเลือกแบ็กแพ็กลุยเดินทางไปยังดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่ ไปแบบกระเป๋าหนึ่งใบที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อกันหนาว และเต็นท์หลังเล็กคู่ใจ มุ่งหน้าสู่ยอดดอยที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร บวกกับการเดินทางขึ้นเขาที่เรียกว่า "คดเคี้ยวและสูงชัน"
เวลาประมาณสี่โมงเย็น ฉันเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์ และนอนยาวไปจนถึงสถานีขนส่งอาเขตที่ จ.เชียงใหม่ เวลาประมาณตี 2 กว่าๆ เดินไปหาห้องพักราคาเบาๆ ข้างๆ สถานีขนส่งอาเขต รอเวลารุ่งเช้า เมื่อแสงแรกของวันที่ จ.เชียงใหม่มาถึง ฉันรีบโบกรถสองแถวแดงจากสถานีขนส่งอาเขต ไปยังคิวรถช้างเผือก เพื่อนั่งรถตู้ต่อไปยังปากทางขึ้นดอยอ่างขาง

ระยะเวลากว่า 3 ชั่วโมงที่ฉันนั่งๆ นอนๆ อยู่ในรถตู้ ฉันก็มาถึงปากทางขึ้นดอยอ่างขาง จากปากทางจะไม่มีรถสองแถวแดงสาธารณะขึ้นไปด้านบน หากแต่ต้องเหมารถสองแถวที่จอดอยู่ในวัดด้วยราคาที่สูงจนฉันแทบลมจับ ก็เลยนั่งอึนจนมีชาวบ้านที่ขายของบนดอยอ่างขางกำลังจะขึ้นดอยจอดถามว่า ฉันจะขึ้นไปข้างบนหรือเปล่า ฉันไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนกระเป๋าแล้วขึ้นนั่งกระบะหลังทันที

แสงแดดก็ยังส่อง แต่ความหนาวก็ทำให้ฉันสั่น หูอื้อเพราะความสูง จมูกเริ่มเย็น ยิ่งรถผ่านทางโค้งหักศอกมากขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิก็ลดต่ำลง หนาวได้ใจ สองข้างทางที่ผ่านเห็นต้นพญาเสือโคร่งออกดอกบานสะพรั่ง แสดงให้เห็นว่า เรากำลังจะถึงที่หมายแล้ว

ลานกางเต็นท์ที่ฉันผ่านมา คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่สำหรับฉัน ฉันไม่กางเต็นท์ ที่เดียวกับพวกเขา เพราะฉันมีทีเด็ดอยู่บนดอย มีคนบอกฉันว่า จุดกางเต็นท์ ที่ฉันกำลังไปกางนั้นเงียบสงบและไม่ค่อยมีคน ฉันเชื่อเขา จนกระทั่งรถคันนี้เลี้ยวมาจอดที่ลานจอดรถหน้าตลาดยูนาน ใกล้ๆ กับสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ฉันจึงยื่นค่าน้ำมันรถเล็กๆ น้อยให้เขาเพื่อตอบแทนน้ำใจที่มีให้คนไทยด้วยกัน

ฉันเดินไปยังโรงเรียนบ้านคุ้ม ซึ่งเป็นจุดกางเต็นท์ของฉัน ฉันไปลงทะเบียนเพื่อขอใช้สถานที่ ที่นี่ไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่ก็ควรที่จะบริจาคเป็นเงินสมทบทุนโรงเรียน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าอุปกรณ์เครื่องนอน อย่างผ้าห่มให้โรงเรียน เราเลือกจุดกางเต็นท์ แล้วเดินไปหอบผ้าห่มมาอย่างน้อย 6 ผืน 3 ผืนใช้รองพื้นเต็นท์ และอีก 3 ผืนสำหรับห่มกันลมหนาวและน้ำค้างที่กระหน่ำลง

อุณหภูมิยามบ่าย ก็ปาเข้าไป 12-15 องศาฯ หนาวจนขนลุก แต่เมื่อมองเด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่ท่ามกลางแสงแดด พวกเขาใส่แค่กางเกงวอร์มและเสื้อพละ คงชินกับอากาศ ไม่เหมือนคนเมืองกรุงอย่างเรา จากนั้นฉันก็เดินชมตลาดยูนาน

พอเข้าไปยังตลาดยูนาน นึกว่าตัวเองอยู่ในเมืองไหนสักแห่งของประเทศจีน มีร้านขายชา ขายไวน์ผลไม้ ผลไม้อบแห้ง อย่าง สตรอว์เบอร์รี่ กีวี ลูกท้อ บ๊วย ฯลฯ แต่ทีเด็ดที่ฉันเล็งไว้ก็คือ ขาหมูยูนาน กินคู่กับหมั่นโถวร้อนๆ จากซึ้ง เท่านั้นไม่พอ ชิมบะหมี่น้ำเส้นสดต่อ อิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า มีร้านขายโรตีคิวยาว ร้านขายข้าวตำงา รสชาติแปลกๆ และอีกมากมายให้เลือกกิน

อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้ว พูดทีควันออกจากปาก ความมืดมาเยือนเร็วมาก น้ำค้างเริ่มลง จนฉันต้องซื้อหมวกไหมพรมมาคลุมหัวไม่ให้เป็นหวัด จมูกแดง หูเย็นเฉียบ สวมถุงมือ และกระชับเสื้อกันหนาวอย่างหนาที่ใส่ถึง 2 ชั้น แสงสว่างจากร้านค้ายังคงคึกคัก เพราะนักท่องเที่ยวยังเดินเล่น เสียงผู้คนยังจอแจ และมีนักท่องเที่ยวบางส่วนที่เพิ่งขึ้นมาถึง
ฉันกลับไปที่เต็นท์ ทักทายเต็นท์ ข้างๆ จนกลายเป็นเพื่อนร่วมทาง นั่งผิงไฟกันหนาวกันสักพักก็สู้ความหนาวไม่ไหว มุดเข้าไปนอนในเต็นท์ อุ่นๆ แต่ความชื้นของน้ำค้าง ทำให้เต็นท์ เปียก นอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะความหนาว ฉันตื่นมาเข้าห้องน้ำ สะกิดคนข้างกายให้ลุกไปเป็นเพื่อน มองที่ปรอทวัดอุณภูมิ ก็ลดลงไปถึง 5 องศา

นาฬิกาบอกเวลาตี 5 ด้วยความที่อยากดูพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้า จำต้องลุกจากเต็นท์ แล้ว ขอติดรถเพื่อนร่วมทาง เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยคน หากไม่เช่นนั้นก็ต้องเหมารถแถวนั้นในราคาที่กระเป๋าน้อยๆ ของฉันอาจฉีกได้แทน

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดรอชมพระอาทิตย์ขึ้น ระหว่างรอแวะเติมพลังด้วยไข่ลวกร้อนๆ กาแฟร้อนๆ แต่มันไม่ค่อยร้อนเพราะอากาศหนาวมาก นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ โชคดีที่ตี๋น้อย ไกด์จิ๋วของเรา (มีบัตรเป็นมัคคุเทศก์ตัวจริงด้วยนะ) ทำหน้าที่ไกด์ได้สมบูรณ์ ด้วยการพาพวกเราไปยังจุดที่เห็นชัดที่สุด และคนน้อยที่สุด

พระอาทิตย์สีแดงกำลังโผล่ขึ้นขอบฟ้า ขอบคุณลมหายใจและหัวใจของตัวเองที่กำลังทำหน้าที่เพื่อให้ได้มายังสถานที่แห่งนี้ มีรอยยิ้มกว้างและอ้อมแขนของคนข้างกาย จากนั้นก็ไปยังจุดชมทะเลหมอก ขับรถอยู่ระหว่างทาง จู่ๆ ตี๋น้อยของเราบอกให้จอดข้างทางเสียดื้อๆ ตี๋บอกว่า "มีทีเด็ด"

ข้างทางที่ฉันไม่คิดว่าจะเป็นจุดชมทะเลหมอก กลับเห็นทะเลหมอกที่ทำให้ตาโตและอ้าปากค้าง พร้อมอุทานออกมาดังๆ โดยไม่เกรงใจว่า "ว้าว!" อ้อยอิ่งอยู่นาน แล้วก็เดินทางต่อไปยังแปลงสตรอเบอรี่ ได้เดินล่องลอยอยู่ในสายหมอกกับแปลงสตรอเบอร์รี่ของชาวบ้าน เมื่ออิ่มกับสายหมอกแล้ว ก็ขับรถต่อไปยังสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ตั้งใจจะไปกินมื้อกลางวันที่นั่น และเดินเล่นชมพันธุ์ไม้ สวนบอนไซ แปลงต้นบ๊วย แปลงดอกกุหลาบ

สายๆ ตี๋น้อยพาไปยังฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ชมชายแดนไทย-พม่า ที่เห็นฐานที่มั่นของชาวกะเหรี่ยงอยู่ลิบๆ ซึมซับความสวยงามของวิวทิวทัศน์ ทักทายพี่ๆ ทหารเหมือนคนรู้จักกัน และแวะไปไหว้พระธาตุอ่างขาง เพื่อความเป็นศิริมงคล

บ่ายแก่ๆ เพื่อนร่วมทางเปลี่ยนทริปแล้วจะลงจากดอยอ่างขาง ฉันก็เลยขอติดรถลงมาด้วย ไม่อย่างนั้นฉันก็คงโบกรถสักคัน เพื่อขอลงอยู่ดี พอลงมาถึงปากทางดอยอ่างขางก็โบกมือลา ยังพอมีเวลาเหลืออีกหลายวัน ขอคิดก่อนแล้วกันว่าจะไปไหนต่อดี

การเดินทางสำหรับฉัน มันคือ การได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้พบเพื่อนร่วมทางใหม่ๆ ได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ แม้การเดินทางแบบนี้จะลำบากไปสักนิด แต่สำหรับฉัน มันคือ สุดยอดของการเดินทาง

การเดินทาง
รถทัวร์ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ราคา VIP ไม่เกิน 700 บาท/คน
รถสองแถวแดงจากอาเขต-คิวช้างเผือก คนละ 50 บาท

เรื่อง/ภาพ : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook