เปิดประตูสู่ จังหวัดชุมพร

เปิดประตูสู่ จังหวัดชุมพร

เปิดประตูสู่ จังหวัดชุมพร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประตูสู่ภาคใต้ ไหว้เสด็จในกรม ชมไร่กาแฟ แลหาดทรายรี ดีกล้วยเล็บมือ ขึ้นชื่อรังนก

     อดที่จะขำตัวเองไม่ได้ทุกทีเมื่อนึกถึงการเดินทางไปยังเกาะเต่าครั้งแรก ในตอนนั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2545 เห็นจะได้ ผมได้วางแผนไปท่องเที่ยวดำน้ำที่เกาะเต่าโดยเดินทางเพียงคนเดียวแบบไม่ปรึกษาใคร (คิดว่าตัวเองแน่) หาข้อมูลก็เพียงเล็กน้อย รู้แต่เพียงว่า เกาะเต่า เป็นตำบลๆ หนึ่ง ของ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เลยด่วนตัดสินใจไปว่า การเดินทางไปยังเกาะเต่า ก็ต้องเริ่มต้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

     จากนั้นจึงค่อยซื้อตั๋วเรือนอนที่ท่าเรือบ้านดอน หน้าเมืองสุราษฎร์ ที่เรียกว่าเรือนอนนั้น ก็เพราะว่ามีที่นอนเตรียมไว้ให้ เรือจะออกตอนประมาณ 5 ทุ่ม ถึงเกาะเต่าก็ตอนรุ่งสางพอดี เรือมีขนาดใหญ่พอสมควร คล้ายเรือตังเก ด้านหัวเชิด สังเกตดูคงจะมีชาวต่างชาติปะปนร่วมเดินทางไปกับเรือชนิดนี้เสมอ พอขึ้นเรือได้ก็เริ่มนอนกันเลย เพราะนั่งต่อไปก็มองไม่เห็นอะไร ทะเลมีเพียงน้ำกับฟ้า ในยามดึกเช่นนี้รอบตัวมีแต่สีดำ สู้เก็บแรงไว้ในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า

     และนั่นคือประสบการณ์การเดินทางไปยังเกาะเต่าครั้งแรกของผม ที่ใช้ระยะเวลาการเดินทางจากฝั่งค่อนข้างมาก

     หลังจากทริปนั้นกลับมาจึงถึงบางอ้อว่า เวลาจะไปเกาะเต่า หากเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก็ควรจะใช้บริการเรือเร็วจากจังหวัดชุมพรจะรวดเร็วกว่า โดยหลายปีมานี้ที่จังหวัดชุมพรมีบริการเรือเร็วลมพระยา เรือเร็วขนาดใหญ่ติดแอร์ ท้องเรือแบบสองท้องวิ่งตัดคลื่นได้ดี เรือชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เรือคาตามาราน แต่เมื่อนำมาเปิดให้บริการจากจังหวัดชุมพรสู่เกาะเต่า โดยบริษัท เรือเร็วลมพระยา จำกัด จึงเรียกติดปากกันว่า เรือเร็วลมพระยา

     บริการรับส่งผู้คนและนักท่องเที่ยว ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปยังเกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะพะงัน และเกาะสมุย โดยการเดินทางเริ่มจากท่าเรือทุ่งมะขามน้อย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดทรายรีมากนัก ถึงเกาะเต่าใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ค่าบริการท่านละ 550 บาท/เที่ยว (ราคานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเทศกาล) นับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วมาก ทริปนี้ผมจึงเดินทางสู่เกาะเต่าด้วยเวลาอันรวดเร็ว

     ภายหลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักในห้องพักสุดหรูของเกาะเต่าวิวพอยท์ รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่ที่หาดโฉลกบ้านเก่า หาดที่สวยงามของเกาะเต่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การท่องเที่ยวผจญภัยของวันนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น

     เกาะเต่า ในปัจจุบันนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ดำน้ำชมปะการังที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง โดยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (ไม่ธรรมดาเลยแฮะ) มีชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาดำน้ำกันมากขึ้นทุกปี ผมมาเห็นเกาะเต่าในวันนี้ก็ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเศรษฐกิจบนเกาะนี้คงจะสะพัดน่าดู ที่ดินบนเกาะมีราคาแพง มีร้านค้าและที่พักให้บริการอยู่มากมาย ท่าเรือมีความเป็นระบบมากขึ้น การเดินทางบนเกาะก็สะดวกมากขึ้น

     บนเกาะเต่า ประกอบไปด้วยหมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน อันได้แก่ บ้านหาดทรายรี บ้านแม่หาด และบ้านโฉลกบ้านเก่า หากจะพิจารณาถึงสภาพภูมิประเทศของเกาะเต่านั้น จะพบว่ามีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว และหลายคนก็มองว่า มีรูปร่างคล้ายเต่า โดยส่วนหางนั้นคือบริเวณเกาะนางยวน

     ผมย้อนกลับมาที่ท่าเรือเกาะเต่า เพื่อจะเดินทางไปดำน้ำชมปะการังในอ่าวต่างๆ รอบเกาะ ทั้งนี้โดยความอนุเคราะห์เรื่องเรือจากสยามมารีน่า แทรเวล พร้อมทั้งการจัดไกด์นำชมมาให้ด้วย เกาะเต่านั้นมีอ่าวที่มีปะการังสวยงามอยู่ประมาณ 11 อ่าว แต่อ่าวที่มีปะการังสวยงามมาก และนักท่องเที่ยวนิยมไปดำน้ำกันมากนั้นคือ อ่าวม่วง อ่าวลึก กองหินวง ซึ่งแต่ละอ่าวนั้นก็มีความงดงามแตกต่างกันออกไป และเหมาะกับการดำแบบผิวน้ำ

     ส่วนถ้าใครต้องการดำน้ำแบบการดำน้ำลึก บนเก่าก็มีบริการอยู่มากมาย ราคานั้นแตกต่างกันออกไปตามระยะทาง และเวลา หรือแม้ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การดำน้ำลึกมาก่อน ที่เกาะเต่าก็มีบริการหลักสูตรเบื้องต้น บางแห่งโฆษณารายละเอียดไว้ว่าใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็สามารถดำน้ำลึกได้ โดยราคาเริ่มต้นที่ 2,000 บาท ขึ้นไป

    เกาะเต่า ถึงแม้จะเป็นเกาะที่อยู่กลางทะเลอ่าวไทย แต่ก็สามารถเดินทางไปเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องพายุมากนัก ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวดำน้ำที่นี่กันมากขึ้นทุกปี ทั้งยังเป็นทางผ่านของการเดินทางไปสู่เกาะพะงันได้สะดวกอีกด้วย

     เรือของสยามมารีน่า แทรเวล พาผมไปดำน้ำชมปะการังในอ่าวสวยๆ หลายอ่าว จนมาถึงโปรแกรมสุดท้าย คือการพาขึ้นไปชมทิวทัศน์บนเกาะนางยวน ซึ่งเป็นเกาะที่เอกชนสัมปทาน แต่นักท่องเที่ยวทั่วไปก็สามารถขึ้นไปชมความสวยงามของธรรมชาติบนเกาะได้ โดยจะต้องเสียค่าบริการคนละ 30 บาท

     บนเกาะนางยวน มีชาวต่างชาตินิยมมาพักผ่อนกันมาก บนเกาะมีที่พัก และจุดชมวิวที่โดดเด่น หากเดินขึ้นไปบนจุดชมวิว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วมองลงมาจะเห็นสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะ ดูคล้ายทะเลแหวกที่ จ.กระบี่  

     บนสันทรายชาวต่างชาตินิยมมานอนอาบแดดเพื่อปรับสีผิว บ้างก็ลงดำน้ำตื้นสลับกับความร้อนในยามบ่าย สำหรับผมแล้วขอนั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ เพื่อชมทัศนียภาพสวยงามไปพลางๆ บนเกาะนางยวนนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย และมาตรการการควบคุมเรื่องขยะก็ทำได้ดี จึงทำให้เกาะนางยวนสวยงามอยู่ตลอดเวลา

     ผมกลับถึงที่พักในช่วงเวลาเย็น ได้นอนแช่ในสระว่ายน้ำหน้าห้องพักบนยอดเขาของเกาะเต่าวิวพ้อยท์ รีสอร์ท แล้วรู้สึกสบาย ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในสระน้ำอย่างนั้นเป็นเวลานาน เพื่อรอชมช่วงเวลาที่แสงสุดท้ายจะหายไปที่ขอบทะเล มันเป็นช่วงเวลาที่ประทับใจ ความสวยงามของท้องทะเลเป็นสีทองระยิบ มีเรือหาปลาลำเล็กวิ่งตัดคลื่นออกไปโดยที่ผมไม่รู้จุดหมาย

    ทะเลคือความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว แต่ทว่ายิ่งใหญ่ไพศาล ช่วงเวลานี้ผมมีความสุข ปัญหาบางเรื่องที่ตามติดตัวมา กลับถูกลืมทิ้งไปอย่างไม่น่าเสียดาย ผมเริ่มคิดได้แล้วว่า บางครั้งที่พักที่ว่าแพงนั้น ก็ทำให้เราคุ้มค่ากับการช่วยปลอบประโลมให้เราได้รู้สึกดีขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราลังเลใจ

     ผมมีเวลาอยู่ที่เกาะเต่าเพียง 1 คืน ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ความสุขในช่วงเวลาสั้นยังติดตราตรึงใจอยู่มิคลาย การเดินทางกลับมายังฝั่ง จ.ชุมพร ยังคงใช้วิธีเดียวกับขาไป นั่นคือการโดยสารเรือจากบริษัท เรือเร็วลมพยา จำกัด ซึ่งก็ได้รับความสะดวกสบายเช่นเดียวกับขาไป

     โปรแกรมต่อไปของผมยังอยู่ที่ทะเล แต่เป็นเกาะต่างๆ ในบริเวณชายฝั่งทะเลของ จ.ชุมพร เมื่อเดินทางถึงฝั่งแล้ว ได้แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านน้องใหม่ แถวๆ ริมหาดทรายรี หาดทรายสวยอันดับต้นๆ ของ จ.ชุมพร และ ณ หาดทรายแห่งนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยวไปสู่หมู่เกาะชายฝั่งทะเลชุมพร

    เกาะแรกที่ได้เดินทางไปชมคือ เกาะมัตรา ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมไปดำน้ำชมปะการัง บนเกาะมีที่พักเล็กๆ ไว้คอยบริการ สำหรับที่พักแห่งนี้เล่ากันมาว่า เจ้าของชื่อลุงขาว แกได้มาอยู่ที่เกาะแห่งนี้ก่อนใครเป็นเวลาเนิ่นนานนับสิบๆ ปี

    ช่วงหลังเริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาที่เกาะมัตรามากขึ้น ลุงขาวจึงได้จัดทำที่พักขึ้นเพื่อเป็นที่พักแก่นักท่องเที่ยวที่ชอบความเงียบสงบ และปัจจุบันมีร้านค้าร้านอาหารเล็กๆ ไว้คอยบริการ ปัจจุบันเรือนำเที่ยวจากชายฝั่ง จ.ชุมพร นิยมพานักท่องเที่ยวมาดำน้ำที่เกาะมัตรากันอยู่เป็นประจำ เพราะนอกจากสภาพน้ำโดยรอบเกาะจะใสมากแล้ว ยังมีปะการังที่สวยงาม และเป็นที่หลบลมทะเลได้ดีอีกจุดหนึ่งด้วย

     จากเกาะมัตรา เรือบ่ายหน้าลงไปทางทิศใต้สู่จุดหมายต่อไปนั่นคือ เกาะแรด ที่มาของชื่อเกาะนั้นคงเดาได้ไม่ยาก หากใครได้มาคงจะเห็นเช่นเดียวกับผม โดยรูปร่างลักษณะของเกาะนี้เหมือนเอาเสียมากๆ ดุจราวตัวแรด แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะครับว่าจะเป็นแรดชวา หรือ แรดอินเดีย

    หากเปรียบเป็นแรดชวา เพศผู้จะมีนอที่ยาวกว่าเพศเมีย ถ้าเป็นแรดอินเดีย ทั้งเพศผู้และเพศเมีย จะมีนอที่ยาวพอๆ กัน ว่ากันว่า นอ ของแรดนี้ไม่ใช่กระดูก หรือ เขา ของมันนะครับ จริงแล้วมันคือขนที่รวมกลุ่มกันอยู่อย่างหนาแน่น จนกลายสภาพเป็นของแข็ง และเป็นอาวุธป้องกันตัวชิ้นสำคัญของแรด คนบางกลุ่มมีความเชื่อว่า นอ ของแรดใช้เป็นยารักษาอาการไข้ได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แรดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว

    ส่วนที่เกาะแรดแห่งนี้ คงไม่มีใครกล้าคิดที่จะหักนอแรดนี้เป็นแน่… รอบๆ เกาะแรดเป็นแหล่งดำน้ำชมดอกไม้ทะเลสีสวย มีแนวปะการังที่สมบูรณ์ รวมทั้งฝูงปลานานาชนิดแหวกว่ายอย่างมีความสุขใต้ท้องทะเลสีคราม หากใครได้มาเที่ยวที่นี่ ขอแนะนำให้ลงดำน้ำที่เกาะแรด รับรองไม่ผิดหวังครับ

     รอบๆ เกาะแรดยังมีเกาะอีกหลายเกาะ แต่เราไม่สามารถเข้าไปเที่ยวชมได้ เนื่องจากเป็นเกาะที่มีผู้สัมปทานทำธุรกิจรังนกนางแอ่น เจ้าของเขาค่อนข้างหวงห้ามเนื่องจากเกรงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา รังนกนางแอ่นมีราคาต่อกิโลกรัมค่อนข้างสูง หากเกิดความเสียหาย หรือสูญหายไป นั่นคือผลกระทบต่อรายได้มหาศาล มองในอีกมุมหนึ่ง ธรรมชาติบนเกาะสัมปทานเหล่านั้นคงได้พักฟื้นตัวอีกหลายปี และหากต่อไปถึงเวลาเปิดเกาะให้คนทั่วไปได้ท่องเที่ยวได้ ตอนนั้น จ.ชุมพร คงได้เปิดตัวไข่มุกเม็ดงามอีกหลายเม็ดเลยทีเดียว

    วันนี้คลื่นลมเงียบสงบราวกับเป็นใจให้การท่องเที่ยวนั้นราบรื่น แสงอาทิตย์กำลังใกล้จะลาลับไปอีกหนึ่งวัน ผมมองไปที่ชายฝั่งหาดทรายรีที่เงียบสงบ อีกไม่นานเรือตังเกลำขนาดกลางนี้จะพาไปส่งที่นั่นเพื่อกลับไปพักผ่อนในตัวเมืองชุมพร แต่โปรแกรมท่องทะเลของผมยังไม่จบอยู่เพียงเท่านี้ เพราะคืนนี้เรามีนัดกับเรือลำเดิมว่าเราจะออกไปไดร์หมึกกัน

หมึกกล้วย หมึกศอก หยอกล้อกับแสงไฟ
     หลังจากกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมพนธารา ในตัว จ.ชุมพร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างกายก็พร้อมเผชิญทะเลในช่วงเวลากลางคืนอีกครั้ง โรงแรมพนธารา เป็นโรงแรมที่เปิดให้บริการใหม่ สภาพห้องและเฟอร์นิเจอร์จึงใหม่เอี่ยมอ่องน่าใช้งาน ภายในห้องตกแต่งได้อย่างน่ารักทันสมัย ที่สำคัญราคาไม่แพง คือมีราคาตั้งแต่ 600 บาท ขึ้นไป (ราคานี้รวมอาหารเช้าด้วยนะ)

     นี่แหละครับการท่องเที่ยวของ จ.ชุมพร เขาพัฒนาขึ้นมาก จากที่เมื่อก่อนผมขับรถผ่านเลยจังหวัดนี้เป็นประจำ แต่มาวันนี้ได้มาเที่ยวและแวะพัก จึงได้รู้ว่าจังหวัดชุมพร มีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะ

     ผม และเพื่อนร่วมทริปลงเรือตังเกลำเดิมที่ได้ลงไปให้พาเที่ยวเมื่อตอนกลางวัน หาดทรายรีเป็นจุดเริ่มของการออกทริปตามล่าหาหมึก คนเรือบอกว่าคืนนี้แม้ดวงจันทร์จะส่องแสงมากไปหน่อย แต่ก็มั่นใจว่าเราจะต้องได้หมึกสดๆ มาย่างกินกันในเรือแน่ๆ เลยทำให้บางคนได้หิ้วน้ำจิ้มซีฟู๊ดลงเรือไปด้วย อ่ะนะ ถือเป็นการเตรียมการที่รอบคอบจริงๆ

     ผู้คนบนชายฝั่งคงได้ยินเสียงเรือล่าหมึกของเราเบาลงไป ในขณะเดียวกับที่แสงไฟบนเรือหลี่เล็กลงๆ จนพวกเขาคงเห็นเป็นเพียงจุดสีขาวอยู่กลางทะเล ตรงกันข้ามกับผู้คนในเรือที่กำลังตื่นเต้นสนุกสนาน ด้วยวาดฝันว่าคืนนี้จะได้หมึกสดตัวขาวๆ จากทะเลชุมพรนี้มาเป็นอาหารรอบดึกหรือไม่

     จู่ๆ เรือก็จอดนิ่งอยู่กลางทะเล ผมไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน มองออกไปไกลๆ เห็นแต่เรือล่าหมึกอยู่รายรอบ เรือเหล่านั้นก็คงออกมาทำธุระเช่นเดียวกับเรา แต่เขาคงมุ่งปริมาณมากกว่าความสนุกสนานและประสบการณ์อย่างเรา ปัจจุบันโปรแกรมไดร์หมึกตอนกลางคืน เป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวทะเลชุมพร หากใครสนใจก็ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ ตามที่อยู่ด้านล่าง หรือที่เจ้าของเรือที่หาดทรายรี จ.ชุมพร กันได้เลย

     ไม่นานหลังจากเรือจอดนิ่ง แสงไฟจากสปอร์ตไลท์ก็เปล่งประกายแสงอย่างเต็มพลังจากเครื่องปั่นไฟที่เรียกว่าระบบไดนาโม นี่กระมังเขาจึงเรียกวิธีการหาหมึกด้วยการใช้ไฟปั่นแบบนี้ว่า การไดร์หมึก ที่ว่าต้องเปิดไฟให้สว่างจ้าด้วยสปอร์ตไลท์นั้น ไม่ใช่หมึกจะมาเล่นไฟตามแสงสว่าง ซึ่งตอนแรกผมก็เข้าใจอย่างนั้น

     ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นเจ้าปลาตัวเล็กๆ มากกว่าที่ชอบมาเล่นแสงไฟ ส่วนเจ้าหมึกนั้นติดตามมากินปลาตัวเล็กๆ อีกทีหนึ่ง เราจึงเข้าใจว่ามันขึ้นมาเล่นไฟ

     เมื่อเจ้าหมึกลอยตัวขึ้นมา นักล่าหมึกสมัครเล่นจะใช้เบ็ดที่เกี่ยวด้วยโย ซึ่งมีลักษณะเป็นทุ่นรูปร่างรี คล้ายปลาตัวเล็ก เรืองแสง และมีเบ็ดเป็นหนามรอบตัว แล้วขว้างเบ็ดออกไปจากนั้นลากเบ็ดให้ผ่านตัวหมึก เมื่อหมึกเห็นจะหลงเข้าใจว่าเป็นปลาตัวเล็กซึ่งเป็นอาหารของมัน มันจะใช้หนวดยาวๆ จับเอาไว้ และนั่นก็คือ จุดจบของหมึกโชคร้าย

     เราใช้วิธีการหาหมึกแบบนี้ เนื่องจากเป็นกิจกรรมท่องเที่ยว ไม่ได้ใช้วิธีแบบการลงอวนซึ่งน่าจะได้หมึกในปริมาณที่มากกว่า นั่นคงเหมาะสำหรับผู้ที่ทำเป็นอาชีพมากกว่า เพียงแค่วิธีนี้เราก็ได้หมึกมาหลายสิบตัว มีอยู่ตัวหนึ่งยาวหนึ่งฟุตกว่าๆ

    คนเรือเรียกว่าหมึกศอก ตัวของมันยาว ขาวมากๆ เห็นแล้วน่ารักน่าเอ็นดู แต่แล้วความน่าพิสมัยก็พ่ายแพ้ความหิว หมึกหลายตัวถูกย่างอยู่บนตระแกงบนเตาไฟ น้ำจิ้มซีฟู๊ดรสเด็ดออกรสได้จัดจ้าน เราอร่อยกันถ้วนหน้าจนบางคนถึงกับลืมปริมาณคอเลสเตอร์รอลในตัวกันไปเลย

     คืนนี้เป็นค่ำคืนที่สนุกและตื่นเต้น การได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวประมง  แบบการมาสัมผัสจริงอย่างนี้ได้รสชาติของชีวิตกว่าการนั่งดูภาพอยู่ที่บ้านเป็นไหนๆ กลิ่นอายของธรรมชาติ สายลมแห่งท้องทะเล มิตรภาพใหม่ๆ รอบตัว เป็นเรื่องยากที่จะบรรยายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง สำหรับผมแล้วการได้ออกเดินทาง นั่นคือการได้พบเห็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากทุกวัน

หยดน้ำจากภูผาสู่มหานที
     จ.ชุมพร ประตูบานใหญ่สู่ภาคใต้ ใช่ว่าจะมีความสวยงามอยู่แต่เพียงในท้องทะเล ทางด้านบนบกบนพื้นดินก็มีทรัพยากรณ์มีค่าสวยงามอยู่มากมายไม่แพ้กัน ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง ทอดตัวจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้เป็นความยาวถึง 222 กิโลเมตร ในธรรมชาตินั้นมีสายน้ำอยู่หลายสายจากเบื้องบนแห่งขุนเขา ซึ่งเปรียบเสมือนสันปันน้ำ แต่ละสายนั้นได้ไหลมารวมตัวกันก่อนออกสู่ทะเล หากเป็นด้านตะวันออกก็ไหลรวมสู่อ่าวไทย ด้านตะวันไหลรวมลงไปสู่อันดามัน จากภูมิประเทศที่น่าสนใจนี้ บางคนจึงกล่าวเป็นถ้อยคำสละสลวยว่า “หยดน้ำจากภูผาสู่มหานที”

     จากหยดน้ำ นั้นหมายถึงการเป็นป่าต้นน้ำที่ใสสะอาด ใช้หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในผืนป่า อย่างเช่นใน อ.พะโต๊ะ นับเป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า อย่างแท้จริง

     คำว่า “พะโต๊ะ” นี้ผมสงสัยมานาน ดูออกจะหาความหมายได้ยาก ผมพึ่งมารู้ความหมายก็เมื่อวันที่ได้เดินทางมาในทริปนี้เอง “พะโต๊ะ” เป็นภาษาบาลี แปลว่า “ตก” หรือ “เหว” คงด้วยสภาพพื้นที่ของอำเภอนี้ที่มีภูเขาสลับซับซ้อนมากมาย ไม่ค่อยมีพื้นราบมากนัก คงมีจุดหนึ่งจุดใดที่คนรุ่นก่อนใช้เป็นที่มาของชื่ออำเภอ

     อำเภอพะโต๊ะ มีแม่น้ำหลังสวนไหลผ่าน ก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำสายอื่นๆ แล้วออกสู่ทะเลอ่าวไทย ว่ากันว่าแม่น้ำสายนี้ไม่เคยเหือดแห้ง ผมได้ล่องแพด้วยท่อพีวีซี (แต่ก่อนเป็นแพไม้ไผ่) เพื่อการอนุรักษ์โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ได้พบเห็นธรรมชาติสองฟากฝั่ง ระยะทางหลายกิโลเมตรที่ล่องผ่านไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย บางช่วงเป็นเรือกสวนของชาวบ้าน มีสวนลองกอง สวนกล้วย และผลไม้อื่นๆ อีกมากมาย

     แม่น้ำหลังสวนไหลเย็น ให้ความรู้สึกสะอาดสดชื่น บางช่วงผมอยากลอยคอเล่นน้ำผมก็ลงได้เลย โดยมีชูชีพช่วยเพิ่มความปลอดภัย ทำให้นึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็ก ที่เคยกระโดดลงน้ำป่าสักทุกวันหลังโรงเรียนเลิก และในวันที่ไม่อยากไปโรงเรียน

    ที่พะโต๊ะนี้ชาวบ้านอยู่ด้วยความเคารพในกติกาธรรมชาติ เขารู้ถึงความสำคัญของป่าไม้ คุณค่าของสายน้ำ ทุกอย่างล้วนพึ่งพาอาศัยกัน แล้วเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุขและพอเพียง

    เมื่อพูดถึงความพอเพียง หากใครได้เดินทางมา จ.ชุมพร ผมขอแนะนำให้ไปเที่ยวบ้านลุงนิล ที่ อ.ทุ่งตะโก ครั้งแรกผมได้รับการแนะนำจากคุณพิพัฒน์ รัตนากร หรือพี่เอก ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เฟมทัวร์ แอนด์ เซอร์วิส และเป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลี่ยน (แต่ว่าอร่อยแบบไทยๆ) ใน จ.ชุมพร ว่าทริปนี้ต้องไปเที่ยวบ้านลุงนิลให้ได้ เพราะคนๆ นี้คือผู้ที่ทำการเกษตรตามแนวพระราชดำริ ของในหลวงของเรา โดยยึดหลักพอเพียงเป็นหัวใจของการดำเนินชีวิต

     เมื่อแรกที่ได้พบกับลุงนิล ผมรู้สึกได้ถึงความสดชื่นสบายใจในตัวของชายวัยกลางคน ลุงนิลเป็นชาว จ.ชุมพร มีการศึกษาที่ไม่สูงนัก เคยเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ด้วยการเป็นกุ๊กอยู่ในภัตตาคารย่านปิ่นเกล้า จากนั้นได้ผันตัวเองไปเป็นเจ้าของกิจการร้านผัดไทนายแว่น ที่ตลาด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

     ในช่วงที่อยู่ที่หัวหิน ลุงนิลเล่าไปพรางยิ้มให้กับความสุขในวันวาน ช่วงนั้นถือว่าเป็นช่วงที่เส้นแห่งชีวิตขึ้นถึงขีดสุด มีกิจการที่อยู่ฐานะมั่นคง มีเงินใช้สอยได้อย่างไม่ขาด แต่แล้วเหมือนสวรรค์แกล้ง เส้นชีวิตถูกขีดให้ดิ่งลง เพียงเพราะลุงนิลไปจับงานด้านการค้าผลไม้ และการลงทุนปลูกผลไม้โดยใช้สารเคมี ซึ่งเป็นปุ๋ยเคมีต่างๆ ทีมีขายอยู่ตามท้องตลาด

     จากคนเคยมี จำต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างที่หัวหิน ซ้ำยังต้องกู้หนียืมสินเป็นเงินกว่า 2 ล้านบาท เพื่อลงทุนทำการเกษตร เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ผลกำไรขึ้นมา มีเพียงแต่ดอกเบี้ยที่เพิ่มทวีคูณขึ้นทุกวัน และในเมื่อความเครียดเดินทางมาถึงจุดที่เรียกว่าที่สุด ทางออกอันมืดมนของลุงนิลในวันนั้น คือ การคิดที่จะฆ่าตัวตาย….

     เพียงเสี้ยวนาทีของช่วงค่ำวันหนึ่ง หากไม่มีลูกชายตัวน้อยเดินผ่านเข้ามา และโทรทัศน์ที่กำลังเผยแพร่รายการเกี่ยวกับพระราชดำริ ถึงความพอเพียง จากในหลวง ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นลุงนิลน้ำตาคลอ สองเท้าเดินเข้าไปหาลูกชายผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย สองแขนได้โอบกอดจูบลูกน้อยทั้งที่น้ำตายังอาบแก้ม…และตั้งแต่เย็นวันนั้นเป็นต้นมา ลุงนิลได้ลุกขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ดำเนินกิจการงานเกษตรด้วยทฤษฎีความพอเพียง เลิกที่จะใช้ปุ๋ยเคมีโดยเด็ดขาด ปลูกพืชแบบสวนผสม ให้พืชพึ่งพาอาศัยกันเอง

     ลุงนิลเล่าต่อไปว่า ตอนนั้นอยากกินอะไรก็ปลูกมัน ไม่จำเป็นว่าตรงนี้ต้องปลูกพืชชนิดนี้ ทุเรียนจะอยู่ใกล้กับพริกไทยก็ได้ ผมใช้ทลายปาล์มมาคลุมดินเพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นตลอด ในสวน 17 ไร่ ปัจจุบันนี้ไม่มีปุ๋ยเคมีแม้แต่เม็ดเดียว ในบ่อน้ำมีปลา ถัดไปส่วนของลูกชายเขาเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ก็เอาขี้ของมันมาเป็นปุ๋ย “อาหารของต้นไม้คือขี้…อย่างอื่นมันคือยาโด๊ป”

     ทุกวันนี้ลุงนิลใช้หนี้ 2 ล้านบาทหมดสิ้นไปแล้ว ลุงนิลเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ชีวิตต้องเริ่มด้วยการไม่เป็นหนี้เสียก่อน มาถึงวันนี้ลุงนิลกล้าที่จะยิ้มเบิกบานได้เต็มปาก ไปไหนมาไหนมีแต่คนยกย่องนับถือ บางวันก็ต้องไปบรรยายให้ผู้สนใจในโครงการเกษตรฟัง บางวันก็มีกลุ่มคนเข้ามาดูงาน บ้างก็มาพักแบบโฮมสเตย์ ทุกวันนี้บ้านหลังนี้ที่ปลูกกลางสวนไม่เคยว่างจากผู้คน

     ด้วยความเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรี ผู้คนที่มาบ้านลุงนิลก็ได้รับความสบายใจ บ้างกลับไปแล้วก็พาครอบครัวของตัวเองมาอีกรอบ เพื่อให้มาคุยกับลุงนิล และอย่างน้อยผมก็อีกคนที่คิดจะพาครอบครัวไปเยี่ยมลุงนิลอีกเช่นกัน

    จากเหตุการณ์ในเย็นวันนั้น วันที่ลุงนิลเกือบจะทำให้ครอบครัวเดินทางไปโดยไร้ผู้นำ ลุงนิลไม่เคยลืมพระมหากรุณาธิคุณ ทุกวันนี้ลุงนิลปลูกต้นยางไว้หลายสิบต้นบนเนื้อที่ 17 ไร่ ที่ลุงนิลพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ลุงนิลบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นต้นอะไรจะสูงเท่าต้นยางอีกแล้ว จึงได้ปลูกไว้เพื่อทดแทนพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพระองค์ท่านที่ได้ให้ชีวิตใหม่กับลุงนิล

     แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วงเวลาที่ได้อยู่ได้พูดคุยกับลุงนิล ทำให้ผมได้คิดอะไรได้หลายอย่างที่ยังไม่ได้ลงมือทำ คนเรานั้นมีสองมือสองเท้าเท่ากัน แต่ความคิดและจิตใจนั้นไม่เท่ากัน บางคนทำงานเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราไปวันๆ ไม่เคยคิดถึงคุณค่าของงานที่ทำ ไม่คิดถึงจริยธรรมจรรยาหรือผลกระทบต่อไป คิดเพียงแค่วันนี้…และพรุ่งนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร?

ผมชอบคติประจำใจของลุงนิลอยู่ตอนหนึ่งที่ได้คุยกันก่อนกลับว่า
“หนูเอ๋ย…ในโลกนี้มีงานอยู่สองอย่าง คือ…งานเขา กับ งานเรา”

พบกันใหม่
นุ บางบ่อ

ขอขอบคุณ - สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

  • คุณวรินทร์พร นีลดานุวงศ์ (คุณเล็ก)
    เพื่อนท่องเที่ยว : Friend Travel
    อาคารศูนย์การค้าประตูน้ำเซ็นเตอร์
    2193 ชั้น 2 ถ.ราชปรารถ แขวงมักกะสัน
    เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
    โทร : 02-250-6239 , 089- 500-3363 , 083-189-9622
    www.friendtravelthai.com
  • คุณพิพัฒน์ รัตนากร (คุณเอก)
    FAME TOUR & SERVICE
    Fame Italian Restaurant
    188/20-21 ถ.ศาลาด่าน . อ.เมือง จ.ชุมพร
    โทร : 077-571-077 , 081-676-4900
    www.chumphon-kohtao.com
  • สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.)
    THE ASSOCIATION OF DOMESTIC TRAVEL (ADT)
  • เกาะเต่าวิวพ้อยท์ รีสอร์ท
    คุณปานเทพ ธุรสกุล , พี่ยาว สำหรับห้องพักสวยๆ
    อ่าวโฉลกบ้านเก่า , เกาะเต่า จ.ชุมพร
    โทร : 077-456-444, 077-745-666
    www.kohtaoviewpoint.com
  • โรงแรมพนธารา
    240/1 ถ.ปรมินทรมรรคา อ.เมือง จ.ชุมพร
    โทร : 077-511-702
    Email : panatara_52@yahoo.com
  • บริษัทเรือเร็วลมพระยา จำกัด
    www.lomprayah.com
  • คุณดารา ที่จัดเรือทัวร์รอบเกาะเต่า (สยามมารีน่าทราเวล และ นพดลทัวร์)
  • คุณอ๋อง เรือไดหมึก และ ทัวร์ทะเลชุมพร
  • คุณเล็ก มาลิน ล่องแพพะโต๊ะ
  • ร้านอาหารรากหญ้า ( แก่งแพกา 2 ) จ.ชุมพร
    โทร. 077-506-733-35





อัลบั้มภาพ 46 ภาพ

อัลบั้มภาพ 46 ภาพ ของ เปิดประตูสู่ จังหวัดชุมพร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook