ตะลุยเมืองมนตรา.....ลังกาวี

ตะลุยเมืองมนตรา.....ลังกาวี

ตะลุยเมืองมนตรา.....ลังกาวี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตะลุยเมืองมนตรา.....ลังกาวี...โดย แอ๋ม

     เกาะลังกาวี เคยเป็นเกาะที่อยู่ในอาณาเขตประเทศสยามก่อนสงครามโลก แต่ด้วยเหตุการณ์ผันแปรจากเล่ห์เพทุบายของประเทศฝรั่งอาณานิคม ทำให้เกาะลังกาวีต้องตกไปเป็นของประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่จะเป็นชาวมาเลย์นับถือศาสนาอิสลาม ชาวจีน ชาวอินเดีย และชาวไทยอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก..

     ลังกาวี เมืองแห่งตำนานพระนางเลือดขาว มัสซูรี หรือ ปะไหมสุหรี แห่งศุลต่านลังกาวี ที่ถูกประหารชีวิตตั้งแต่วัยสาว ด้วยคมกริช เพราะความริษยาของผู้อื่น ในขณะที่สวามีออกรบในสงคราม  ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือนางได้เนื่องจากนางเป็นคนต่างแดน ที่มาจากจังหวัดภูเก็ตประเทศไทย ซึ่งมีภาพถ่ายยืนยันในช่วงที่นางอาศัยอยู่ในภูเก็ตด้วย (ไม่ยืนยันความถูกต้องเนื่องจากได้ข้อมูลมาจากไก๊ด์)

     มีเรื่องราวตำนานที่เล่าขานกันว่า ตอนที่พระนางมัสซูรี ถูกประหารชีวิตด้วยคมกริช นางมีความรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่มีความยุติธรรม และความเจ็บปวดทรมานจากคมกริช ก็ได้อธิษฐานว่า ถ้านางไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาว่า มีชู้จริง ก็ขอให้เลือดหลั่งออกมาเป็นสีขาว พร้อมกับขอสาปแช่งให้ลังกาวีไม่มีความเจริญไม่ให้พบกับสันติสุขไปจนถึง 7 ชั่วโคตร ซึ่งปรากฎหลักฐานคำสาปแช่งหลังนางถูกประหาร  ลังกาวีก็เงียบเหงาอยู่ในมนตรา หาดทรายก็เป็นสีดำ (จริง ๆ แล้วหาดทรายมีแร่เหล็กมากก็เลยมีสีดำมาก)  ปัจจุบันพ้นเวลาแห่งคำสาป หาดทรายดำในปัจจุบันจึงเหลือสีดำเพียงน้อยนิด เกาะลังกาวีก็กลับฟื้นคืนชีวิต  กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ต่างชาติเข้ามามากมายในแต่ละปี  ซึ่งอาจจะเกิดจากประเทศมาเลเซียทุ่มเงินจำนวนมหาศาล เพื่อสร้างเมืองลังกาวีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่เป็นคู่แข่งของจังหวัดภูเก็ตของไทย และเขาก็กำลังจะทำได้ในไม่ช้า เนื่องจากยังคงมีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลใสสะอาด  และมีเกาะแก่งที่ยังคงสมบูรณ์ทางธรรมชาติ เช่นที่ Pulau Payer อุทยานทางทะเลที่ต้องใช้เวลาเดินทางจากฝั่งประมาณ 2 ชั่วโมง  ที่นั่นจะสามารถสัมผัสกับปลาทะเลหลากสีรวมทั้งปลาฉลาม แต่พวกเราไม่ได้ไปพิสูจน์เนื่องจากไม่มีเวลาพอ  ถ้าจะไปที่นั่นต้องพักในลังกาวีถึง 2 คืน แต่คิดว่าคงไม่แตกต่างจากทะเลอันดามันของไทยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะที่เกาะพีพี หรือ ทะเลตรัง  ที่ยังคงมีปลาทะเลสีสวยมาว่ายน้ำให้เห็นกันมากมาย.. 

     วันแรกของการเดินทาง 4 มิถุนายน 2544      ณ จุดนัดพบ สถานีรถไฟหัวลำโพง-กรุงเทพฯ เดินทางโดยรถไฟด่วนพิเศษ กรุงเทพ ฯ -บัสเตอร์เวอร์ส พวกเราใช้บริการตู้นอนชั้น 1 เนื่องจากเป็นการเดินทางโดยรถไฟครั้งแรกในชีวิต ทำให้เกิดเหตุหน้าแตกอย่างแรงขึ้นในโบกี้รถไฟ  เหตุเกิดหลังจากที่ขนสัมภาระเข้าไปในห้องที่อยู่ในตู้นอนพิเศษเรียบร้อย  ด้วยความรอบคอบก็ต้องสำรวจสถานที่กันตามระเบียบ จากข้อมูลที่ได้จากบริษัททัวส์บอกว่า ในตู้นอนบนรถไฟชั้นพิเศษ จะมีอ่างล้างหน้า และห้องน้ำอยู่ด้านในด้วย ภายในห้องพิเศษชั้น 1 มีโซฟายาว 1 ตัว  ตอนกลางคืนจะปรับเปลี่ยนเป็นเตียงนอน  มีชั้นเล็ก ๆ ยื่นออกมาเป็นโต๊ะ  มีแจกันดอกกุหลาบน่ารัก 2 ดอก โต๊ะนี้ใช้สำหรับวางอาหาร มีอ่างล้างหน้าเล็ก ๆ ข้างประตูทางเข้า และด้านผนังตรงข้ามโซฟาที่นั่งมีบานประตู 2 บานติดกันซึ่งเปิดได้ พวกเรามั่นใจเต็ม 100 ว่านั่นคือห้องน้ำ..ชัวส์      เราช่วยกันเปิดสลักออก ทั้งผลัก ทั้งดัน แต่ประตูก็ไม่เปิด พยายามอยู่เป็นนาน  มีเจ้าหน้าที่รถไฟเดินผ่านพวกเราก็รีบสอบถามทันทีว่า  ทำไมประตูสองบานนี้เปิดไม่ได้ นี่คือเหตุการณ์หน้าแตกค่ะ  เพราะประตูสองบานเป็นห้องพักผู้โดยสารอีกห้องที่ติดกัน เค้ามีไว้สำหรับผู้โดยสารที่มากันเป็นครอบครัวได้เปิดหากันได้ ส่วนห้องน้ำอยู่หลังโบกี้ (ภาพประตูห้อง ที่คุณแอ๋มออกแรงผลักอยู่นาน ลุงจิ๊บ แห่งสบาย.คอม แถมให้เป็นพิเศษ ครับ)  

     ทิวทัศน์สองข้างทางรถไฟ แตกต่างจากเส้นทางรถยนต์เป็นอย่างมาก  สำหรับในกรุงเทพ ฯ สองข้างทางจะมีแต่บ้านเรือนเป็นเพิงเล็ก ๆ มีคนอาศัยอยู่หนาแน่นติดทางรถไฟ พอรถไฟข้ามสะพานพระราม 6 เข้าสู่เขตทวีวัฒนา บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนเป็นสวนผักสวนผลไม้ ยิ่งไกลออกไปตามต่างจังหวัดประมาณช่วงจังหวัดเพชรบุรีใกล้ดวงอาทิตย์ตก จะเป็นท้องทุ่งนาเขียวขจีสวยงามมาก      รถไฟออกเดินทางจากสถานีหัวลำโพง 14.20 น. ถึงสถานีหาดใหญ่ 08.30 น. วันรุ่งขึ้น  มีรถตู้ของบริษัททัวส์มารับที่สถานีรถไฟ  ได้พบกับผู้ร่วมเดินทางอีก 4 ท่าน คือ คุณลุง กับ คุณป้า มาจากจังหวัดขอนแก่น เป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้เวลาหลังเกษียรอายุท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ  คุณลุงคุณป้าเป็นนักท่องเที่ยวที่อัธยาศัยดีมากที่สุดเท่าที่เคยร่วมท่องเที่ยว ที่ใช้บริการบริษัททัวร์ ส่วนอีก 2 คนเป็นหนุ่มสาวเมืองกรุง ที่ใช้เวลาวันหยุดร่วมทางไปกับพวกเราด้วย  อีกครอบครัวหนึ่ง พ่อ+แม่+ลูกสาววัย 10 ขวบ  ได้ล่วงหน้ามาทางเครื่องบินมารออยู่ที่โรงแรมในตัวเมืองหาดใหญ่  ส่วนไก๊ด์ป้าแอ๊ด เป็นไก๊ด์มือโปรรุ่นเก๋า ที่เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก..

      จากหาดใหญ่เดินทางสู่อำเภอสะเดา แวะแลกเงินเหรียญมาเลเซีย อัตราแลกเปลี่ยนในวันนั้น เงินไทย 12.95 บาทแลกได้ 1 Ringgit ที่ด่านสะเดามีนักท่องเที่ยวชาวไทยมากมายรอคิดเข้าตรวจเอกสารหนังสือเดินทาง (Passport) ใช้เวลาที่ด่านนานพอสมควร  จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่รัฐกัวลาปะลิศ เพื่อขึ้นเรือเฟอรี่ไปยังเกาะลังกาวี ได้ขึ้นเรือเที่ยว 10.45 น ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง บรรยากาศบนเรือเฟอรี่จะติดแอร์ทั้งหมดมี 2 ชั้น นั่งได้ทั้งลำประมาณ 150 คน คลื่นลมปกติ  ถึงท่าเรือเกาะลังกาวีก็ต้องตะลึงกับความใหญ่โตโอ่อ่าของท่าเรือ ซึ่งไม่มีที่ไหนในเมืองไทยเทียบเท่า

     จากท่าเรือใช้บริการรถตู้ท้องถิ่นที่มีมากมาย นำพวกเราไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีนใกล้ชายหาดแห่งหนึ่ง หลังอาหารแวะ Shopping ที่ตลาดกั๊วใกล้ ๆ ร้านอาหาร เป็นตลาดที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกที่สุดในลังกาวี สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นผ้าโสร่งปาเต๊ะ ผ้านวม สุรา บุหรี่ และขนมช็อคโกเล็ตหลายอย่าง แต่เมื่อเทียบราคากับตลาดหาดใหญ่ราคาผ้าสะโหร่งปาเตะจะแพงกว่าที่หาดใหญ่มาก  หรือ อาจจะเป็นเพราะพวกเราไม่มีความรู้เรื่องการเลือกซื้อผ้าปาเต๊ะก็ได้จึงคิดว่าราคาแพง  คุณพิศหาซื้อผ้าสะโหร่งปาเต๊ะไปฝากคุณย่า กับคุณยายแล้วก็คุณน้าหลายผืน ราคาอยู่ที่ 15-17 Ringgit ส่วนแอ๋มก็ไม่พ้นขนม และช็อคโกเล็ตไปฝากพี่ ๆ ที่ทำงานและเพื่อนซี๊ จากนั้นก็เดินทางไปที่สุสานของพระนางมัสซูรี ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของเกาะลังกาวี ภายในบริเวณเดียวกัน  นอกจากสุสาน ยังมีเรือนไม้โบราณ  ด้านบนเรือนไม้จะมีการจัดห้องนอน และห้องนั่งเล่น ให้ชมบรรยากาศในสมัยที่พระนางมัสซูรียังมีชีวิตอยู่  ส่วนใกล้ ๆ  กันจะมีการแสดงดนตรีโบราณ  และมีอาคารนิทรรศการที่มีภาพระนางมัสซูรีหลายภาพ รวมทั้งภาพถ่ายสมัยอยู่ในภูเก็ต.

     ออกจากสุสานเดินทางไปชมชีวิตสัตว์น้ำที่ Under Water World ซึ่งเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ โดยทั่วไปคล้าย ๆ กับที่บางแสนของไทย แต่จะมีจุดสนใจที่แปลกมากคือ ม้าน้ำที่มีครีบข้างๆ เป็นใบไม้เล็ก ๆรอบตัว น่าเสียดายที่เค้าไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านในศูนย์แสดงสัตว์น้ำ.     ภายในบริเวณเดียวกับ Under Water World มีห้างสรรพสินค้าที่เป็น Duty Free มีสินค้าประเภทเครื่องสำอางค์และ อาหาร เครื่องประดับหลายอย่าง สินค้าส่วนใหญ่จะราคาสูง ยกเว้นเครื่องสำอางค์ที่เป็นยี่ห้อต่างประเทศ สุรายาเมาต่าง ๆ จะราคาต่ำกว่าในเมืองไทยมาก     ใกล้ ๆ กับห้างสรรพสินค้ามีร้านไอศครีม และภัตตาคารอาหารจีน ซึ่งบริการอาหารรสจัดสไตล์คนไทย  อาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะเมนู ผัดเต้าฮู้ (คล้ายเต้าฮู้น้ำแดงในไทย) ปลาราดพริก ผัดผัก ( แต่ก็ยหารในเมืองไทยไม่ได้)  หลังอาหารเย็นเดินทางไปยังที่พักที่เป็นรีสอร์ทหรู อยู่ติดกับอ่าวจอดเรือยอร์ช  บรรยากาศของรีสอร์ทหรูหราเทียบเท่าโรงแรมระดับ 5  ดาว แถวพัทยา ด้านหน้ารีสอร์ทตอนเย็นถึงประมาณ 5 ทุ่ม จะมีรถจำหน่ายอาหารหลายอย่าง อาทิ ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว โรตี ขนมหวาน เครื่องดื่ม แต่ราคาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะน้ำดื่มที่นี่ขนาดขวดธรรมดาที่ไม่ใช่น้ำแร่ราคาขวดละ 2 Ringgid เทียบเงินไทย 23 บาทกว่า

     เช้าวันที่ 2 วันที่ 5 มิถุนายน 2544     การเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนต้องใช้เวลาคุ้มค่ามากที่สุด ต้องจัดตารางเวลาเป็น 6-7-8 เกือบทุกวันคือ ตื่นนอน 6 โมง ทานอาหารเช้า 7 โมง และออกเดินทาง 8 โมง พวกเราตื่นเต้นกับบรรยากาศที่สวยซึ้งของรีสอร์ท Awana ตื่นนอนกันตั้งแต่ตี 4 กว่า รีบลงมาทานอาหารเช้า แล้วก็นั่งรอชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าด้านหน้ารีสอร์ทที่สวยงามมาก  ที่นี่คุณพิศตากล้องเจ้าเก่าเฝ้าเก็บภาพไว้หลายภาพสวย ๆ ทั้งน๊าน     08.00 น. ออกจากโรงแรมด้วยรถตู้คันเดิมที่ใช้บริการเมื่อวันวาน  พาพวกเราไปสู่หัวใจของเกาะนี้นั่นคือ ลานกว้างที่จุดชมวิวใกล้ ๆ กับท่าเรือ มีสัญลักษณ์นกอินทรีย์ตัวใหญ่ยืนสง่างาม .     หลังเก็บภาพกับนกอินทรีย์ก็เดินทางมายังท่าเรือ นั่งเรือออกจากลังกาวีเวลา 10.00 น. เรือลำนี้เป็นเรือเฟอรี่ติดแอร์เหมือนกันแต่มีชั้นเดียว  นั่งได้ประมาณ 100 กว่าคน ขากลับวันนี้คลื่นลมแรงเนื่องจากได้รับแจ้งว่าอีก 2 วันจะมีพายุเข้าที่เกาะลังกาวี ..     เรือโคลงมาก หลายครั้งที่เอียงไปตามเกลียวคลื่นน่าหวาดเสียว ทำเอาพวกเราต้องลุ้นแทบแย่กว่าจะมาถึงฝั่ง ซึ่งใช้เวลาเท่าตอนมาเมื่อวานนี้คือ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปยัง Genting Highland บ่อนคาสิโนหรูราวศูนย์การค้าใหญ่ของไทย  บนยอดภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 6000 ฟุต ที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี

     ข้อมูลการเดินทาง     ลังกาวีอยู่ห่างจากเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล 8 กิโลเมตร หรือ จะเดินทางจากอำเภอสะเดาจังหวัดสงขลาไปลงเรือที่ท่าเรือเมืองคันการ์  รัฐกัวลาปะลิศระยะทาง 42 กิโลเมตร (ตามเส้นทางที่พวกเราเดินทาง) มีสนามบินบนเกาะลังกาวี  และยังมีเรือสำราญสตาร์ครูซ์สจัดสายการท่องเที่ยวไปยังเกาะลังกาวีเช่นกัน

คอยพบกับบันทึกเรื่องเที่ยว  ทุ่งดอกไม้ป่าเมืองไทย   เร็วๆ นี้ เที่ยวที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าเมืองไทย..เฮ้อ !!

"  แอ๋ม "

ส่งเรื่องท่องเที่ยวมาร่วมสนุกเรามีรางวัลให้ครับ

ภาพซ้าย : เรือยอร์ชสวยหลายลำเทียบท่าหน้ารีสอร์ท
ภาพซ้าย : โรเมนติก ชมดวงจันทร์ยามค่ำคืน บนระเบียงห้องพัก

ภาพขวา : ห้องพักกว้างใหญ่ พักกันแค่ 2 คน

ภาพซ้าย : อรุณเบิกฟ้าลังกาวี

ภาพขวา : อู่เรือยอร์ชกลางแสงแดดอ่อนยามเช้า

 

ภาพซ้าย : ลานนกอินทรีย์มองจากด้านหลัง

ภาพขวา : รูปปั้นนกอินทรีย์สัญลักษณ์ประจำเกาะลังกาวี

ภาพซ้าย : แอ๋มกะคุณพิศหน้ารูปนกอินทรีย์

ภาพขวา : ภาพพระนางมัสซูรีเมื่อคราวที่อาศัยในภูเก็ต

ภาพซ้าย : ทิวทัศน์ริมท่าเทียบเรือ ลังกาวี

ภาพขวา : ท่าเรือกัวลาปะลิศ

ภาพซ้าย : เรือเฟอรี่ลำนี้แหละค่ะ ที่นำพวกเราไปเกาะลังกาวี

ภาพขวา : ที่นั่งภายในเรือติดแอร์...เล่นเกมกดหลับสบาย.

ภาพซ้าย : ท่าเรือลังกาวี มองจากลานนกอินทรีย์

ภาพขวา : สุสานพระนางมัสซูรี

ภาพซ้าย : บรรยากาศภายในห้องโดยสารรถไฟชั้น 1

ภาพขวา : ทิวทัศน์ริมทางรถไฟ ช่วงจังหวัดเพชรบุรี

ภาพซ้าย : บริเวณทางเข้าชมชีวิตสัตว์ทะเล

ภาพขวา : ภาพใต้ทะเลสีสดใส หน้าทางเข้าชมโลกใต้ทะเล

ภาพซ้าย : ทิวทัศน์ด้านหน้าทางเข้าลานนกอินทรีย์

ภาพขวา : คุณพิศ ผู้ร่วมตะลอนทัวส์ท่ามกลางดอกไม้สวย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook