เยือนแดนมังกร ท่องอุทยานมรดกโลก

เยือนแดนมังกร ท่องอุทยานมรดกโลก

เยือนแดนมังกร ท่องอุทยานมรดกโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เยือนแดนมังกร ท่องอุทยานมรดกโลก

เม้าท์โดย...ป้าอ้น 

     จิ่วจ้ายโกว เป็นอุทยานธรรมชาติที่สวยงาม และกำลังดังมากทั้งในจีน และไทย  ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องฮีโร่ ตอนที่พระเอกประดาบกันเหนือน้ำ  ท่ามกลางขุนเขาโดยมีนางเอกนอนตายอยู่ในศาลา วิวนั่นก็คือ ทะเลสาบ อันเป็นส่วนหนึ่งในอุทยานมรดกโลกแห่งนี้นี่แหละ 

     ความจริงการเดินทางไปเที่ยวจิ่วจ้ายโกว ควรไปเดือนตุลาคม เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี บรรยากาศจะสวยมากคล้ายดังภาพวาด แต่ตอนที่ไป เรามีปัญหานิดหน่อย เลยต้องไปเกือบกลางเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเข้าหน้าหนาว และมีหิมะตกบ้างแล้ว แต่ยังสามารถเข้าไปได้อยู่ ตามปกติ หากหิมะตกมากเขาจะปิดอุทยานฯ เพราะทางเข้าเป็นภูเขาชัน และจะลื่นมาก จะเป็นอันตราย และมักมีรถทัวร์ตกเหวบ่อย  อย่างไรก็ดีเราก็ได้ไปจนได้  โดยไปทัวร์ๆ หนึ่งในราคาพิเศษคือคนละ 22,900 บาทเท่านั้น ไปทั้งหมด 8 วัน 6 คืน ที่บอกราคาพิเศษก็เพราะจริงแล้วๆ โปรแกรมทัวร์ที่เราไป ซึ่งมีทั้งไปจิ่วจ้ายโกว และง้อไบ๊  ปกติแพงกว่านี้ แต่เพราะพวกเราไปช่วงพฤศจิกายน อันเป็นเวลาที่สายการบิน และโรงแรมจีนลดราคาพอดี เพราะคนเริ่มไม่เที่ยวแล้ว เขาจึงลดราคาค่าทัวร์ ดูท่าดวงเที่ยวเรารุ่งจริงๆ ไปที่ไหนก็กำลังดีไปโหม้ด?

    กลุ่มเรามี 3 คน โดยเราออกเดินทางไปสมทบกับกลุ่มอื่นที่ดอนเมืองตอนเที่ยงคืนกว่า เพราะเครื่อง CA ของจีนออกตอนตีสามกว่าของวันที่ 8  พ.ย. หรือเรียกว่าเช้ามืดวันที่ 9 ก็ได้ (ดีเลย์ไปหนึ่งชม. ธรรมดาเครื่องต้องออกตีสองกว่า แต่เขาบอกว่าเครื่องจีน นี่จะดีเลย์เป็นเรื่องปกติ ถ้าออกตรงเวลาแปลว่าไม่ปกติ)  ก่อนเล่าต่อขอบอกว่า ใครที่คิดจะไปจีน ไม่แนะนำให้ไปเอง ควรไปกับทัวร์เพราะที่โน่น ค่าใช้จ่ายหยุมหยิมมาก ค่าเข้าชมต่างๆ จะแพง  และไม่มีรถประเภทมวลชนพอที่จะให้เราไปแบบสะพายเป้  อีกทั้งคนจีนส่วนมาก ก็มักไม่ใช้ภาษาอื่น นอกจากภาษาจีน ซึ่งแต่ละมณฑลก็มีสำเนียงต่างกัน แบบไทยเหนือ อีสานเรา ดังนั้น แม้จะรู้ภาษาจีนก็ยังฟังลำบาก แต่หากอยากไปให้สนุก ก็พยายามรวมกลุ่มเพื่อนหรือญาติให้ได้ทริปละ 10 - 15 คน  ทางบริษัททัวร์ก็ยินดีจัดให้เราเป็นกลุ่มเดียวอยู่แล้ว  การเดินทางใช้เวลาแค่ 2 ชม.เศษก็ถึงเมืองเฉินตู อันเป็นเมืองหลวงของมณฑลเสฉวน (อยู่ตะวันตกเฉียงใต้ ใกล้ทิเบต) 

    จีนเวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม. พอไปถึงก็ปะทะกับอากาศหนาวทันที เพราะอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 7 - 15 องศา ดีว่ารู้ก่อนเลยเตรียมเสื้อผ้ากันไว้แล้วตั้งแต่ขึ้นเครื่องที่ไทย  มณฑลนี้มณฑลเดียวก็มีพลเมืองถึง 85 ล้านคน มากกว่าไทยอย่างไม่เห็นฝุ่น  แบบที่เห็นรถติดบ้านเรา แต่ที่นี่คนติดบนสะพานลอย แน่นเป็นมด  เดินแทบไม่ได้โดยเฉพาะในเมืองหลวง พอออกจากสนามบินได้ อิฉันก็วิ่งจู๊ดไปจองที่นั่งหน้าสุด (ตามฟอร์ม เพราะสามารถเมาได้ โดยไม่ต้องพึ่งเหล้า) และเพื่อเพิ่มความแน่ใจยิ่งขึ้น ก็ได้เอาพลาสเตอร์ยาปิดสะดือไว้ด้วย (ตามสูตรกันเมารถ เรือ เครื่องบินของสจ๊วตสายการบินไหนก็ลืมถาม ไม่เชื่ออย่าหลบหลู่ ได้ผลดีมาทุกครั้งนะจ้ะ แต่ทางที่ดีควรนั่งหน้าด้วย รับรองชัวร์เลย) 

    รถพาไปกินข้าวเช้าในเมืองก่อนจะออกเดินทางต่อไป (ความจริงบนเครื่องเขาก็มีแจกข้าวต้ม แต่บางคนอาจจะมัวแต่นอน เลยไม่ได้กิน)  และก่อนเข้าจิ่วจ้ายโกวเขาพาแวะซื้ออ๊อกซิเจน ซึ่งเขาบรรจุใส่กระป๋องเหมือนกระป๋องสเปรย์ มีหัวครอบสำหรับให้สูดเมื่อต้องการใช้ กระป๋องหนึ่งราคา 250 บาทหรือ 50 หยวน ใครจะซื้อหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าใครที่เหนื่อยง่าย หรืออ้วนๆ ควรซื้อไป เพราะตอนเข้าจิ่วจ้ายโกว และเขาง้อไบ๊ ที่เป็นเขาสูง อากาศจะเบาบาง  บางคนจะหายใจไม่ค่อยทัน และรู้สึกเหนื่อยมาก อ๊อกซิเจนนี้จะช่วยได้มากทีเดียว และหากใช้ไม่หมด อยากนำมาให้คนทางบ้านดูว่าหน้าตากระป๋องอ๊อกซิเจนเป็นไง  ต้องเอาเสื้อหนาๆ ห่อไว้ก่อนแพ็คลงกระเป๋าเดินทาง ไม่งั้นสายการบิน X-ray เห็นเขาจะไม่ให้นำขึ้นเครื่องกลัวมันระเบิด หรืออะไรนี่แหละ 

     การเดินทางไปอุทยานจิ่วจ้ายโกว (บางคนบ่นว่าชื่อเรียกยาก อยากไปเที่ยวก็เรียกไม่ถูกแล้ว) ต้องใช้เวลาราว 10 กว่า ชม. ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับสภาพรถ และอากาศด้วย แต่วิวข้างทางก็สวย เป็นทางเลียบภูเขาซึ่งสูงใหญ่มาก และมีธารน้ำอยู่อีกฟาก ถนนดีพอใช้ จะมีกระโดกกระเดกแบบขี่ม้าบ้างบางตอน โชคดีที่คณะที่ไปมีแค่ 14 คน รวมไกด์เป็น 15 คน ไม่แน่นรถซึ่งเป็นมินิบัส 24 ที่นั่ง แถมได้รถ และคนขับดีมาก ขับแบบนุ่มนวล มั่นคง และมั่นใจไม่แหวกโค้งให้เสียวไส้เล่น  ก่อนหน้านั้นมีคนแนะนำให้อิฉันกินยากันเมา จะได้หลับ และไม่เมา เดี๊ยนบอกไม่ได้หรอก คนเขาสั่งว่าให้ดูวิวข้างทางด้วย เพราะสวยมาก ขืนหลับก็อดดูนะซิ (แต่จริงๆ ขนาดไม่กินก็ยังหลับๆ ตื่นๆ เราดูวิวบ้าง วิวดูเราบ้างเลย) 

    ระหว่างทางเขาแวะเมืองผิงหวู ให้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์หลี่ไป ซึ่งเป็นกวีเอกของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ที่นี่บริเวณกว้างขวางมาก  มีรูปปั้น และบทกวีของท่านโชว์อยู่มากมาย เราอ่านไม่ออก ได้ถ่ายรูปก็พอแล้ว จากนั้นก็ไปแวะวัดเป่าอิน ที่มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ (ที่เมืองจีนนี้  แต่ละเมืองจะมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิมปางพันมืออยู่หลายแห่ง และส่วนมากจะสร้างอย่างใหญ่โตมโหฬารสมกับความกว้างใหญ่ไพศาลของจีน) การแวะที่ต่างๆ นอกจากจะให้เราได้ชมสถานที่สำคัญแล้ว ก็เพื่อให้ลูกทัวร์ได้เข้าห้องน้ำด้วย ซึ่งห้องน้ำเมืองจีนนี้ เรียกได้ว่าเป็นส้วมปราบเซียน  เพราะหากไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแล้ว คุณจะเจอแต่ห้องส้วมประเภท รางเดียว แต่กั้นเป็นหลายห้อง ไม่มีประตู หรือมีก็ครึ่งเดียว ไม่มีกลอน  หรือไม่ก็รางเดียวห้องเดียว ตอนเข้าแรกๆ ก็เขินๆ กัน นานๆ ไปก็ไม่มีใครอยากสนก้นใครแล้ว สถานที่ตั้งไม่ต้องถาม สามารถตามกลิ่นไปได้เลย ไม่มีผิดพลาด  เพราะเขาไม่ค่อยทำลายหลักฐานกัน ดังนั้น ควรเตรียมพวกยาดมกลิ่นแรงๆ ไปด้วย ไม่งั้น นอกจากอุจจาระ ปัสสาวะแล้ว ท่านอาจจะไปเพิ่มอ้วก  นอกห้องส้วมเขาอีกอย่างก็ได้ คนที่มีปัญหาเรื่องส้วม ไม่แนะนำให้ไปจีน (ยกเว้นเมืองเจริญมากอย่างปักกิ่ง/เซี้ยงไฮ้)

     โชคดีอีกอย่างของอิฉันที่ฉี่บ่อยคือกลุ่มที่ไป วัยทองใกล้เคียงกัน พอเราร้องปวดฉี่ ทุกคนก็พร้อมใจปวดไปกับเรา ก็เลยไม่มีใครรำคาญใคร ยิ่งอากาศเย็น ยิ่งฉี่บ่อย เรียกว่ารถจอดปั๊บ ก็ปวดปุ๊บ อันที่จริงได้เตรียมร่มไปกาง และผ้าไปปิดหน้า ถ้าต้องทำทุกขสรีระระหว่างทางแล้ว แต่ดีว่ามีห้องน้ำให้แวะทุกครั้ง   เลยยังไม่ได้โชว์ก้นให้คนจีนได้ดู กว่าจะถึงโรงแรมที่พักในเมืองจิ่วจ้ายโกวที่อยู่ไม่ไกลจากอุทยานชื่อเดียวกัน ก็ประมาณ 3 ทุ่มเศษ โรงแรมที่พักดีมากมีทั้งฮีทเตอร์ และไดร์เป่าผมให้ด้วย 

    รุ่งขึ้นหลังจากนอนหลับแบบม้วนเดียวจบ กินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ก็เตรียมตัวเข้าอุทยาน อากาศหนาวประมาณ เสื้อ 4 ชั้น คือต้องใส่เสื้อคอปิด เสื้อทีเชิ้ต  สเวตเตอร์ และเสื้อหนาวหนาๆ ทับนอกสุด บวกผ้าพันคอ ถุงมือถุงเท้าหนาพอควร หมวกไหมพรม(เพราะอุ่นกว่าหมวกแบบอื่น) แต่บางคนก็อาจจะใมากกว่านี้ แล้วแต่สภาพร่างกาย  อุณหภูมิติดลบ แต่ถือว่าโชคดีมาก ที่หิมะตกวันไปถึงพอดี ทำให้ได้เห็นความสวยงามอีกแบบที่หาดูได้ยาก เพราะคนไทยจะไม่ค่อยมาหน้าหนาว (เพราะทัวร์จะไม่จัด เนื่องจากหนาวไป และบางครั้งถนนมันลื่น เกินกว่าจะเดินทางเข้ามาได้อย่างที่บอกข้างต้น) แต่เรามาจังหวะเหมาะ ที่นี่เราใช้เวลาเที่ยว 1 วันเต็มๆ 

    อุทยานจิ่วจ้ายโกวนี้ ชื่อมีความหมายว่า อุทยาน 9 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่อาศัยของชาวทิเบต คนตัดไม้ชาวจีนไปพบเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2513 สภาพทั่วไปเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์มาก อีกทั้งยังเป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าหายาก เช่น หมีแพนด้า ในปี 2521 จีนประกาศให้เป็นป่าสงวน และเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ประมาณปี 2533  องค์การยูเนสโก ประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก สถานที่ที่นักท่องเที่ยวได้เข้าไปชมนี้จะมีเพียง 3 หมู่บ้าน ส่วนอีก 6 แห่งจะอยู่ลึกเข้าไป และยังไม่ได้เปิดให้เข้าชม หากจะถามว่าความงาม และเสน่ห์ของที่นี่คืออะไร คงต้องบอกว่าเป็นสภาพป่าไม้ที่มีสีสันสวยงาม ในแต่ละฤดูก็มีความงามที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบ  น้ำตก และธารน้ำอยู่มากมาย แต่ละแห่งก็มีสีราวมรกต หรือบางแห่งก็มีถึงห้าสีในสระเดียวกัน คือขาว เขียว ม่วง ฟ้าและเทา (ถ้าจำไม่ผิดนะ) คนไทย และคนจีนเองมักจะมาเที่ยวช่วงกันยายน-ตุลาคม  เพราะเป็นช่วงที่ใบไม้มีสีสดใส ตัดกับน้ำในทะเลสาบราวกับภาพวาด หรือสรวงสรรค์ที่มีเทวดามาเนรมิตไว้ แต่มาช่วงตุลาคมต้องทำใจว่าคนจะแน่นมาก จนต้องแย่งกันกินแย่งกันดู และแย่งกันถ่ายรูป ตอนที่ไปคือเกือบกลางๆ เดือนพฤศจิกายน อย่างที่บอก และหิมะตก จึงได้เห็นความงามที่ต่างออกไป และคนก็น้อยลงมากไม่ต้องแย่งให้เสียเวลาและอารมณ์ (ที่ปกติก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว) ความงดงามในแบบที่มีหิมะเป็นอย่างไร ดูรูปได้เลย แต่มีคำเตือนว่า ดูแล้ว จะเกิดกิเลส ความอยากไป จนห้ามไม่อยู่ ตอนเข้าไปเขาพาไปดูทะเลสาบเสือ สระน้ำห้าสี สระนกยูง สระหมีแพนด้า น้ำตกธารไข่มุก  ทะเลสาบมังกรหลับ และอีกหลายแห่งจนจำชื่อไม่ได้ แต่ละที่ น้ำจะเขียวใสจนมองเห็นรากไม้ข้างใต้ สีเหล่านี้เขาบอกว่าเป็นแร่ธาตุในน้ำ ซึ่งจะมีความหนาแน่นมาก หากโยนเหรียญลงไป มันจะค่อยๆ ดิ่งลงไป ไม่จมทันทีเหมือนเราโยนในสระทั่วไป เนื่องจากแต่ละที่ คนไม่มาก เราจึงเที่ยวได้เร็ว มีเวลาเหลือมากพอควร 

     เขาเลยพาไปช้อปปิ้งในหมู่บ้านทิเบต แต่ก็ซื้ออะไรไม่ได้มาก ที่เมืองจีนนี้หลักการต่อของคือ ให้ต่อจากราคาที่เขาบอกลง 50 - 70% โดยประมาณ เขาจะไม่โกรธ เช่น บอก 100 หยวน (1 หยวนประมาณ 5 บาท) เราต่อเหลือ 30 หยวน หากเขาหยวนเร็ว ก็ต้องพึงสังวรไว้ ว่าน่าจะลดลงได้อีก แต่ถ้าเสียท่า ซื้อไปแล้ว ก็ไว้แก้ตัว  ไปต่อรองที่อื่นโอกาสต่อไป อย่างไรก็ดีหากเมื่อคิดเทียบกับเมืองไทย และเป็นราคาที่คุณพอใจเสียไป ก็ไม่ต้องไปพิรี้พิไรเสียดายให้เสียอารมณ์เที่ยวตัวเอง  ให้คิดว่าช่วยชาวบ้านจีน หรือ คิดว่าเรารวยอ๊ะ(ถ้ามีใครเยาะเย้ย) การต่อรองใช้เครื่องคิดเลข (ซึ่งควรพกไป) เขาจิ้มมา เราจิ้มไป (จิ้มเครื่องคิดเลขนะจ้ะ  อย่าคิดลึก) จนพอใจทั้งคนซื้อคนขาย หรือจะใช้เขียนตัวเลขอารบิคก็ได้ ถ้าเขาไม่ให้ก็อาจวางฟอร์มเดินออกมา ถ้าเป็นราคาที่เขาพอให้ได้ เขาจะวิ่งตามมาเอง แต่อย่าทำท่าอยากได้จนออกนอกหน้าให้พ่อค้าแม่ค้ารู้ไต๋หล่ะ คุณเสร็จแน่ !

     จากอุทยานจิ่วจ้ายโกว อีกวันหนึ่งเต็มๆ ที่เราต้องเดินทางผ่านทางคดเคี้ยวอีกครั้ง เพื่อไปเมืองตูเจียงเอี้ยน เพื่อไปพักและไปชมเขื่อนที่มีอายุราว 2,000 ปี ซึ่งสร้างโดย หลี่ปิง แต่เดิมเขื่อนทำด้วยไม้ ปัจจุบันได้ทำใหม่เป็นวัสดุอื่น แต่ยังเก็บส่วนเดิมให้นักท่องเที่ยวได้ไปชม ระหว่างทางเจอรถติดเกือบชม. เพราะหิมะตกทางลื่น  รถคันอื่นๆ ต้องจอดล่ามโซ่ล้อ รถเราแม้สภาพดีไม่ต้องล่ามโซ่ แต่ก็ต้องเสียเวลารอรถคันหน้าอื่นๆที่ขวางทางอยู่ จากเขื่อนเราได้นั่งเรือล่องแม่น้ำหมิงเจียงไปชมพระพุทธรูปองค์ใหญ่  ที่เรียกกันว่าหลวงพ่อโตเลอซาน ซึ่งแกะสลักบนหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก สูง 71 เมตร หรือ ฟุต ไม่แน่ใจ ใช้เวลาสร้าง 90 ปีหรือสามชั่วอายุคน ผู้ริเริ่มคือหลวงพ่อไห่ทง  จากเรือที่ดูหลวงพ่อโตแบบมุมกว้างแล้ว เขาพาไปนั่งรถขึ้นเขาเล่อซานไปวัดหยุนหลิน เพื่อชมพระพักตร์หลวงพ่อโตอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากใครขยัน และมีเวลา  จะเดินจากข้างล่างขึ้นมาก็ได้ แต่ดูท่าแล้ว นอกจากเวลาไม่พอ ขาเราคงโตตามชื่อหลวงพ่อเสียก่อนแน่ เลยไม่มีใครทดลองเดิน สำหรับวัดหยุนหลินนี้มีรูปปั้นพระสังขจาย  เห็นหลายคนไปลูบพุงพุ้ยของท่าน แบบให้ร่ำรวยทำนองนั้น นอกจากนี้ก็ยังรูปปั้นอื่นๆ อีกหลายองค์ 

     วันต่อมาเราก็ออกเดินทางสู่เขาง้อไบ๊ ซึ่งพวกคอหนังกำลังภายในคงรู้จักกันดี บางคนก็บอกว่าเขาเล่อซานที่เราไปคือเขาบู๊ตึ้ง  ส่วนง้อไบ๊ที่เราไปนี้สร้างโดยลูกสาวก๊วยเจ๋งในมังกรหยก แต่ความจริงตามไกด์บอกก็ว่า สร้างโดยธิดากษัตริย์จีนพระองค์หนึ่ง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไร  การขึ้นเขาง้อไบ๊นี้ต้องไปต่อรถท้องถิ่น เขาไม่ให้เราเอารถที่มาขึ้นไป เพราะทางคดเคี้ยวมาก ต้องอาศัยความชำนาญ อีกทั้งหมอกก็ลงจัด  และหนุ่มคนขับรถท้องถิ่นที่เรานั่งก็สุดชำนาญ และมั่นใจจริงๆ เพราะพี่แกแทบไม่เบรก หรือชะลอในทางโค้งเลย เล่นเอาคนที่นั่งแถวหลังเมารถกันเกือบแย่  ทุกคนเลยคิดถึงอู่เซิน คนขับที่แสนดีของเราขึ้นมาตะหงิดๆ นั่งรถแล้วใช่ว่าจะถึงเลยต้องไปต่อกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปยอดเขาอีก เพราะที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,099 เมตร ขึ้นมาวัดหัวจ้างชื่อ ซึ่งถือว่า เป็นวัดต้นกำเนิดพระโพธิสัตว์ผู่เสี้ยน ที่นี่เราจะได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงาม แต่ถ่ายรูปออกมา กลับไม่เห็นชัด  คงเป็นเพราะแม้จะมีหมอกหนา แต่แดดจัด และหนาวลมชนิดมือไม้ชา จับมือตัวเองแทบไม่มีความรู้สึกเลย จากวัดนี้ก็นั่งรถมาลงเชิงเขาอีกแห่ง ต่อกระเช้าไฟฟ้าอีกที่ ไปชมวัดว่านเหนียนที่สร้างในราชวงศ์จิ๋น และมาบูรณะใหม่ในราชวงศ์หมิง ที่นี่มีพระโพธิสัตว์ผู่เสี้ยนทรงช้าง ทำด้วยทองเหลืองสวยงาม  (ที่จีนนี้จะมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ ซึ่งก็คือผู้ที่บำเพ็ญความดี สะสมไว้เพื่อจะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อๆ ไปอยู่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ  อย่างที่บอกตอนต้น เห็นใครบอกว่าเป็นปางปราบมาร) อ้อ! ที่ง้อไบ๊ก่อนขึ้นกระเช้าเขาจะถ่ายรูปเราลงในบัตรผ่านประตูให้เป็นของที่ระลึกด้วย 

      จากง้อไบ๊ เราก็กลับเข้ามาเฉินตูเมืองหลวง เขาพาไปดูหมีแพนด้าในสวนสัตว์ โชคดีอีกแล้ว ที่เจอหมีน้อยกำลังกินใบไผ่อย่างเอร็ดอร่อย  ที่ว่าโชคดีเพราะไกด์ท้องถิ่นเล่าว่า ตัวเขาพาทัวร์มาดู 2 ปีแล้ว ยังไม่เคยเจอมันกำลังกินเลย บังอรเอาแต่นอน นอนลูกเดียว พวกเราดูแล้วติดใจในความน่ารัก  เดินกลับมาดูอีกรอบ ปรากฏว่ามันเลิกกิน และเริ่มนอนไม่สนใจอะไรแล้วอย่างที่เขาบอก สู้ที่เชียงใหม่เราก็ไม่ได้ คุณเทวัญ และเทวี เธอกินไผ่หนุบหนับโชว์ตลอด  ที่สวนสัตว์ที่เราไปนี้ดูแล้วคงสู้เขาดินเราไม่ได้ มันดูมอมๆ แมมๆ แต่เขามีลิงหน้าตาแปลกๆ ไม่เคยเห็นหลายพันธุ์เหมือนกัน พอดูมันมากๆมันโกรธ คำรามน่ากลัว  เลยเดินหนีออกมาดีกว่า เดี๋ยวเกิดกระจกแตกมันออกมาได้ โชคดีจะเป็นโชคร้ายทันที สวนสัตว์ที่นี่ หลายกรงจะเป็นกระจก มิใช่ลูกกรงแบบเรา อาจจะเป็นเพราะในฤดูร้อนอาจต้องเปิดแอร์ให้สัตว์บางชนิด อย่างแพนด้าหรือลิงที่เราเห็นก็ได้ จากสวนสัตว์เราก็ไปวัดเจาเจี้ยซิ่ง ไปนมัสการพระโพธิสัตว์กวนอิม(อีกแห่ง) มีพันกร แต่มีพระพักตร์ 4 ทิศเลย ดูก็แปลกและสวยงามดี ตกค่ำเราก็ได้ไปจิบน้ำชาชมงิ้วเปลี่ยนหน้ากากอันลือชื่อของมณฑลนี้  เพราะเปลี่ยนได้ว่องไวจนจับไม่ทันว่าทำได้อย่างไร แล้วก็มีถั่วให้กิน(แต่ไม่ควรกิน เพราะคงทอดในน้ำมันเก่า หลายคนกินแล้วเจ็บคอในวันรุ่งขึ้นทันที) อ้อ!  น้ำชาที่นี่รินแบบพิเศษ เพราะคอกายาวเป็นเมตร ต้องมีจังหวะในการริน ไม่งั้นล้นออกนอกถ้วยแน่ 

     วันสุดท้าป็นวันช้อปปิ้ง ไกด์พาลูกทัวร์ไปปล่อยที่ตลาดใต้ดิน ซึ่งจะมีของขายมากมายหลายอย่างเหมือนสำเพ็งบ้านเรา บางอย่างเราก็เห็นขายในเมืองไทยเยอะแยะ  บางอย่างก็ไม่มี ราคาก็แบบเดิมๆ คือต่อรองไปได้เรื่อยๆ ตามความพอใจ ตกบ่ายเขาก็พาเราไปกิน ถงเหรินถัง หรือ อาหารที่ปรุงด้วยสมุนไพรจีน (สงสัยโด๊ปลูกทัวร์  หลังจากพาขึ้นเขาลงห้วยมาหลายวัน) จากนั้นก็ไปชมศาลยู่โหวฉือ อันเป็นศาลของเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย สามพี่น้องร่วมสาบานในสามก๊ก  ซึ่งสร้างโดยพระราชบัญชาของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเฉิง เมื่อประมาณ 1,900 ปีมาแล้ว 

     นอกจากนี้ยังรูปปั้นขงเบ้ง และทหารเอกอีกสิบสี่ท่าน รวมถึงสุสานของเล่าปี่ด้วย  หลังอาหารเย็นในภัตตาคารที่มีแต่หนุ่มๆ  เป็นคนเสิร์ฟ(จนมีคนตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าของคงเป็นเกย์) เขาก็พาเราไปนวดเท้าแบบจีนเป็นรายการสุดท้าย ก่อนเดินทางไปสู่สนามบิน  ที่บังเอิญโชคดีอีกแล้วที่เครื่องออกตรงเวลา เราจึงเดินทางมาถึงกรุงเทพเมืองสวรรค์แต่ร้อนราวกับไฟนรก(เพราะเราเพิ่งมาจากอากาศหนาว) ได้อย่างปลอดภัย ตอนตีสองกว่า เวลาในประเทศ 

     เป็นที่น่าสังเกตว่า ทันทีที่เราเหยียบย่างเข้าจีน เขาบังคับให้ต้องมีไกด์ท้องถิ่นประจำทัวร์ทุกคณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี  และเป็นประโยชน์แก่คนของเขาทั้งการได้ฝึกภาษา และมีรายได้ อย่างในอุทยานจิ่วจ้ายโกว ซึ่งเป็นชุมชนทิเบต เขาก็จะจ้างแรงงานคนท้องถิ่นทั้งหมดทำด้านการบริการต่างๆ  ซึ่งไทยเราก็น่าจะทำการท่องเที่ยวที่เน้นให้คนท้องถิ่นได้งานในท้องที่ตัวเอง ไม่ต้องไปหางานที่อื่น  ข้อสำคัญทำให้เกิดความรักถิ่นฐาน และเห็นแนวทางพัฒนาบ้านเกิดตัวเองให้ดีขึ้นต่อๆไปด้วย 

    ก่อนจบมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับไกด์จีนที่พูดไทยได้ไม่ชัดว่า เมื่อทริปที่แล้ว ลูกทัวร์ถามไกด์จีน ซึ่งมีชื่อที่ไทยตั้งให้ว่า ช้าง ว่า ส้วมอยู่ไหน ช้างตอบว่า ผมจะฉี่ให้ดู ลูกทัวร์ร้อง เฮ้ย! กูไปฉี่เองได้ เอ็งบอกทางมาก็พอ ร้อนถึงไกด์ไทยต้องแปลให้ลูกทัวร์ฟังว่า ที่ช้างพูดน่ะหมายถึง ผมจะชี้ให้ดู มิใช่จะฉี่เอง โปรดเข้าใจด้วยครับ 

" ป้าอ้น "

.......................................................................................

 

เรื่องท่องเที่ยวโดย..ป้าอ้น ท่องแดนปลาดิบชิมแต่กิมจิตามล่าหาซากุระปะแต่ดอกบ๊วย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook