ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 2

ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 2

ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทัวร์เวียดนาม ตอนที่ 2

ถัดจากสุสานท่านโฮจิมินห์ ไปไม่ไกล ผมออกเดินต่อไปอีกนิดพร้อมๆ กับคณะทัวร์ (กลัวหลง....แต่ไม่ได้เดินจูงกันเหมือนกลุ่มเด็กๆ ในภาพนะครับ..อิอิ) ก็จะเป็นทำเนียบประธานาธิบดี และบ้านของท่านโฮจิมินห์ได้พำนักอาศัย

ที่ทำเนียบประธานาธิบดี เป็นตึกสีเหลืองอร่าม ที่ทางการเวียดนามนิยมใช้กับสถานที่ราชการทั่วไป โดยถือว่าสีเหลืองเป็นแห่งความสดใสรุ่งเรือง ทั้งยังให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว ตัวอาคารมีความสูง 4 ชั้น ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางแมกไม้และสนามหญ้าเขียวขจี ทำเนียบประธานาธิบดีหลังนี้ใช้เป็นที่รับแขกบ้านแขกเมืองที่เดินทางมาเยือนเวียดนามในโอกาสต่างๆ นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าไปชมภายในอาคารได้ ได้แต่ถ่ายภาพกันอยู่ภายนอกรอบๆ เท่านั้นครับ

เที่ยวบ้านลุงโฮ หลังจากถ่ายภาพจนเป็นที่พอใจแล้ว ถึงเวลาออกเดินต่อไปยังบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ ซึ่งประกอบไปด้วยสองส่วนในละแวกเดียวกันและติดๆ กับทำเนียบหลังนี้แหละครับ ในส่วนแรกเป็นบ้านพักหลังเก่า มีลักษณะเป็นกลุ่มตึกชั้นเดียว ทาสีเหลืองเหมือนกับทำเนียบ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นสีจากสีกระป๋องเดียวกันหรือเปล่า

ที่หมู่ตึกนี้ ใช้เป็นที่จัดแสดงของใช้ของท่านโฮจิมินห์ในสมัยนั้น อาทิ รถยนต์เปอร์โยสีเทา  ติดกันเป็นห้องอาหาร ห้องทำงาน บริเวณนี้นักท่องเที่ยวหลายคนเดินมาชะโงกดูที่หน้าต่างซึ่งมีกระจกใสกั้นอยู่  ต่างคนก็ใช้มือป้องกระจกกันแสงสะท้อน บางคนก็ผลุบๆ โผล่ๆ หามุมหาเหลี่ยมถ่ายภาพ ซึ่งก็รวมถึงผมด้วย

แต่จุดเด่นของบ้านท่านโฮจิมินห์ มิใช่อยู่ที่บ้านหลังเก่าของท่านหลังนี้ ยังมีอีกหลังหนึ่งที่ใหม่กว่าตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน ต้องเดินตามทางวันเวย์ไปอีกหน่อย บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้ขนาดกระทัดรัด ยกพื้นมีใต้ถุนบ้านคล้ายบ้านไทยตามชนบท ตั้งอยู่ริมสระน้ำ มีต้นไม้มากมายให้ร่มเงาร่มเย็นไม่รู้สึกร้อน

ผมคิดไปว่าในช่วงปี พ.ศ. 2501 2512 ที่ท่านโฮจิมินห์ได้พำนักอยู่ที่บ้านหลังนี้จนถึงวาระสุดท้าย บางเวลาที่ท่านพักผ่อนท่านคงมีความสุขในบ้าน ถึงแม้จะไม่สบายใจกับสถานการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศมังกรแห่งนี้ก็ตาม

ชั้นล่างของบ้านเป็นใต้ถุนโล่ง มีชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้รับแขก หรือสำหรับนั่งคุยกันในบรรยากาศสบายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายนัก ส่วนชั้นบนมีห้องหนังสือ หรือห้องสมุด ห้องทำงาน และห้องนอน อยู่ติดๆ กัน ด้านทิศเหนือมีระเบียงทางเดินไม่กว้างมากนักที่ท่านโฮจิมินห์ ใช้เป็นจุดยืนทอดสายตาไปยังสระน้ำเบื้องหน้าเมื่อคราวที่ท่านต้องใช้ความคิด

เมื่อมองจากภายนอกจะเห็นว่าเป็นบ้านหลังเล็กๆ ประมาณเท่าบ้านพักครูตามชนบทของบ้านเรา มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยรายล้อมด้วยต้นไม้มากมาย แต่ใครเลยจะรู้ว่า ณ บ้านหลังเล็กหลังนี้ จะเป็นที่อยู่อาศัยของบุคคลที่พลิกฟื้นสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับชาวเวียดนาม

วัดเสาเดียว นักท่องเที่ยวทยอยเดินจากบ้านบ้านพักของท่านโฮจิมินห์ไปอย่างช้าๆ บ้างชื่นชมกับดอกไม้สวยๆ ที่ผลิดอกระย้าเบิกบานเรียงรายสองข้างทางเดิน ในสระน้ำมีปลาว่ายกันเป็นฝูง หลายคนโปรยอาหารปลาลงไปให้ ในเวลาอันรวดเร็วอาหารนั้นก็มีอันมลายหายไป คนให้ก็รู้สึกเปี่ยมสุข

ถัดไปไม่ไกลกันนัก มีอาคารสีเหลือง (อีกแล้ว) เป็นส่วนของร้านขายของที่ระลึก และเป็นจุดพัรับประทานอาหาร ผมเดินดูสินค้าที่ระลึกมากมาย แต่ราคาค่อนข้างแพงกว่าร้านข้างนอก อาจเป็นเพราะร้านตั้งอยู่ภายในสถานที่ท่องเที่ยวกระมัง เลยไม่ได้อะไรติดมืออกมา

แต่มีภาพติดใจหลายภาพ ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวๆ เวียดนาม ในชุดประจำชาติ ที่คอยขายสินค้าภายในร้านนี่แหละ ผมและเพื่อนๆ ชาวลูกทัวร์เลยใช้เวลาเดินวนเวียนอยู่ในร้านนานเป็นพิเศษ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ซื้อหรอกครับ พอสาวเจ้ารู้ตัวพวกเราก็เดินเลี่ยงๆ ออกมา

พูดถึงสาวเวียดนามนี่ ผมว่าสวยนะ คือรูปร่างและผิวของเค้าดูดีอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะอาหารพื้นเมืองในบ้านเขาส่วนใหญ่ก็จะเป็นผัก เขาบริโภคกันมากครับประเทศนี้ เลยทำให้คนในประเทศส่วนใหญ่ไม่ค่อยอ้วนท้วนนัก แล้วยิ่งมาใส่ชุดประจำชาติแบบรัดรูปด้วยแล้ว ยิ่งน่าดูกันไปกันใหญ่ ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ ของคนไทยตัวดำๆ อย่างผมแทบจะละลาย

ชุดประจำชาติของชาวเวียดนามนี้ เขาเรียกกันว่า ชุดอาวหญ่าย (Ao dai) ซึ่งเป็นภาษาทางเวียดนามเหนือหมายถึง ชุดยาว ชาวเวียดนามนิยมใส่กันทั่วไปทั้งผู้ที่อยู่ในเมือง และในชนบท มีการดัดแปลงปรับปรุงกันไปตามสมัยและรสนิยมของผู้สวมใส่บ้าง แต่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชุดอาวหญ่ายนี้ ก็คือ เนื้อผ้าละเอียด บางเบา แนบเนื้อ ที่สำคัญคือแขนยาว และชายกระโปรงยาวมาถึงตาตุ่ม ดูสะอาดเรียบร้อย จนบางบริษัทฯ ในประเทศเวียดนามออกระเบียบให้พนักงานแต่งชุดอาวหญ่าย เป็นชุดประจำบริษัทกันเลยทีเดียวเชียว

เดินมาดูของที่ระลึก แต่กลับร่ายยาวถึงชุดอาวหญ่าย...ขออภัยๆ ครับ ออกเดินต่อพร้อมกับ play ภาพในกล้องดูความประทับใจในอาภรณ์อรชรของผู้สวมใส่...แน่ะ...ยังจะวกกลับทางเดิมอีก

ออกจากร้านค้าที่ระลึก ก็ต้องระทึกกันอีกครั้ง เพราะต้องข้ามถนนอีกครั้ง แต่บริเวณนี้ค่อยดีหน่อย รถราไม่ค่อยมากนัก แถมน้องจินดาไกด์สาว ยังมายืนรอส่งลูกทัวร์ข้ามถนนอยู่ก่อนแล้ว เลยค่อยมั่นใจขึ้น เสียงแตรรถยังคงดังให้ตกใจอยู่เหมือนเดิม

ผมนึกสนุกอยากลองหลับตาเดินข้ามถนนอย่างที่ชาวเวียดนามเขาคุยไว้ แต่คิดไปคิดมาความกล้าก็ยังไม่หาญพอ ถึงแม้กิจกรรมผจญภัยผมก็ผ่านมาเยอะอยู่นะ แต่ทุกครั้งต้องตรวจตราดูความปลอดภัยให้เซฟ 100 เปอร์เซ็นต์ ก่อนลงสนามจริง เรื่องนี้คงยังไม่ขอเสี่ยงดีกว่า เป็นไรขึ้นมาเดี๋ยวจะพาคณะทัวร์เขาจะกร่อยเอา และก็ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลที่เวียดนามนี่เขาบริการดีหรือเปล่าด้วย ขอข้ามไปแบบปลอดภัยก่อนแล้วกันนะ

พรรคพวกเพื่อนใหม่ของผมยืนรอกันอยู่ก่อนแล้วที่วัดเสาเดียว ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ที่วัดเสาเดียวนี้ผมดูแล้วรู้สึกคล้ายๆ กับศาลเจ้ามากกว่า เพราะมีหลังคาเก๋งแบบจีน ตัวฝาทั้งสี่ด้านทำด้วยไม้ทั้งหลังตั้งอยู่กลางสระน้ำ ส่วนเสาเดียวแต่ใหญ่ที่ถือเป็นไฮไลท์ตอนนี้เป็นปูนซีเมนต์ ผมเดาว่าแต่ก่อนเสาคงทำจากซุงท่อนใหญ่เชียวแหละ เพราะตามประวัตินั้นสร้างมากว่า 900 ปีแล้ว ว่ากันว่า หากใครต้องการมีบุตร หรือมีบุตรยาก ก็ให้มาขอกับเจ้าแม่กวนอิม ที่ประดิษฐานอยู่ในศาลแห่งนี้ ไม่นานก็จะสมหวัง หรือแม้กระทั่งเรื่องความรัก ความทุกข์โศกอะไรต่างๆ เจ้าแม่ก็จะช่วยขจัดปัดเป่าให้ดีขึ้นได้

 

จริงเท็จอย่างไร ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองครับ ผมเองยืนเก้ๆ กังๆ ถ่ายภาพอยู่แถวนั้นยังอดไม่ได้ที่จะขอเหมือนกัน แต่ว่าขออะไรนั้นคงบอกให้รู้กันไม่ได้นะครับ ถ้าสมหวังแล้วจะนำมาเล่าต่อให้ฟังในโอกาสต่อไปครับ : )

วัดวันเหมียว (Van Mieu) เมืองฮานอย ถึงแม้จะมีฐานะเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม และมีประวัติความเป็นมายาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายฤดูกาล แต่ก็ยังคงมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองที่เรียบง่าย สะดวกสบายน่าเดินทางมาท่องเที่ยวไว้ได้อย่างดี

สองถึงสามปีมานี้ฮานอยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในฮานอยมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย อย่างที่วัดวันเหมียว นี้เป็นอีกสถานที่หนึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองฮานอย ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมไปเที่ยวชม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook