เบตง...ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน โดย...นุ บางบ่อ

เบตง...ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน โดย...นุ บางบ่อ

เบตง...ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน โดย...นุ บางบ่อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เบตง...ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน

หลายสิ่งหลายอย่างในเมืองนี้ มีความเป็นที่สุดของเมืองไทย ที่ทำให้นักเดินทางอย่างคุณไม่ควรพลาด

ความใฝ่ฝัน ผมเป็นคนหนึ่งหละที่มีโอกาสได้เดินทางไปต่างจังหวัดบ๊อยบ่อย...(แสดงว่า...บ่อยมาก) แต่ละจังหวัด แต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็มีสิ่งที่น่าสนใจต่างๆ กันออกไป จังหวัดนี้มีทะเล จังหวัดนั้นมีภูเขา จังหวัดโน้นมีน้ำตก และอีกหลายที่ล้วนมีจุดเด่นของตนเอง ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางไปเยือนตามใจปรารถนา

มีเรื่องไม่อยากจะบอกอีกเรื่อง ... เอ๊ะ..วันนี้ดูเหมือนจะคุยแต่เรื่องของตัวเอง ..อิอิ .. คือไม่ว่าผมจะเดินทางไปไหนๆ เมื่อไปถึงจังหวัดนั้นๆ แล้ว มีกิจกรรมอยู่อย่างหนึ่งที่ผมต้องทำ (ถ้าหาได้) คือ การส่งโปสการ์ด ให้เพื่อนๆ และตัวเอง โปสการ์ดที่ด้านหนึ่งเป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยว และอีกด้านหนึ่งมีไว้ให้เราเขียนอะไรก็ได้ตามใจอยากจะเขียน โดยแบ่งครึ่งอีกส่วนให้เขียนชื่อที่อยู่ผู้รับ ถ้าไม่เขียนอย่างหลังนี่ สุภาพบุรุษไปรษณีย์คงจะปวดหัวเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะไปส่งให้ใครที่ไหน ... ว่ามั๊ย ...

สาเหตุจากกิจกรรมการส่งโปสการ์ดนี่อีกเหมือนกัน ที่ทำให้คนเดินทางอย่างผม แอบคิดแอบฝันว่า สักวันหนึ่งเถอะ ฉันจะต้องไปส่งโปสการ์ด ที่ตู้ไปรษณีย์ที่มีความใหญ่โตมโหฬาร มากกว่าตู้ทั่วๆ ไป มันเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งนะครับ : ) แต่เอ....แล้วไอ้ตู้ที่ใหญ่โตที่สุด ที่ว่านี่ มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ???

อ้อๆ รู้แล้วๆ ที่ เบตง จ.ยะลา .... หวือออออออ ไกลชะมัดยาด แล้วจะไปกันยังไงล่ะคราวนี้ ค่าตั๋วเครื่องบินก็ไม่มีหรอกนะ จะขับรถไปเองรึก็กลัวสิ้นใจระหว่างทางเสียก่อน ก็มันไกลเหลือเกินนี่นาความฝันครั้งนี้ แล้วผมจะไปยังไงดี ....

นึกได้แล้ว (ไวมะ..) ใช้รถ Budget ดีก่า นั่งรถทัวร์ไปหาดใหญ่ แล้วเช่ารถยนต์สักคัน จากศูนย์ Budget หาดใหญ่ ที่อยู่ตรงหน้าห้างโลตัส นั่นแหละน่าจะสะดวกสุด ว่าแล้วก็โทรไปจองเล้ย ..... ตกลงผมทริปนี้ผมเลือกกระบะ Tiger มาช่วยสานฝันให้เป็นจริง ที่เลือกรถกระบะก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ เพราะว่ารถกระบะราคาการเช่านั้นแสนจะถูก และการใช้น้ำมันก็ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน เรียกว่าเซฟกันสุดๆ ครับงานนี้

ถึงวันเดินทาง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ขึ้นรถทัวร์จากสถานีขนส่งสายใต้ในช่วงค่ำ จากนั้นก็หลับสบายเรื่อยไปจนมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบถึงสุราษฎร์ แล้วก็หลับๆ ตื่นๆ ไปจนถึงหาดใหญ๋ในตอนเช้าตรู่พอดี อ้อเกือบลืมไปทริปนี้ ลุงจิ๊บ และบอยสบาย ก็เดินทางมาร่วมสร้างฝันด้วยเหมือนกัน ต่างก็หลับสบายไม่พูดไม่จาเช่นกัน สมกับเป็นทริปสร้างฝันจริงๆ ฮ่าๆๆ

น้องพนักงานจาก Budget นำรถมาส่งให้ที่ บขส. อย่างตรงเวลาเป๊ะ ... เยี่ยม..จริงๆ ครับ เรื่องตรงเวลานี่ขอยกนิ้วให้เลย ตรวจสภาพรถเรียบร้อย ต่อไปเราทั้งสามก็ได้เริ่มเดินทางผจญภัยในแดนใต้กันอีกครั้ง โดยมีจุดหมายปลายทางอันแสนไกล เบตง ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน

ไปกินทอด ออกจากหาดใหญ่ ใช้ทางหลวงหมายเลข 43 มุ่งหน้าลงใต้ไปอีก ผ่าน อ.จะนะ ที่อำเภอนี้เขามีของดีของอร่อย แบบว่าเป็นต้นตำรับแต่ไปโด่งดังในชื่ออื่น คนเดินทางอย่างผมทั้งสามจึงต้องแวะกันสักหน่อยละครับ ไก่ทอด ครับ ไก่ทอด มันคือไก่ทอดร้อนๆ ทอดกับกระเทียมและหอมด้วยทำให้ยิ่งส่งกลิ่นหอมยั่วให้หิวได้อย่างน่าทึ่งนัก
ที่ว่าไปดังชื่ออื่นก็คือ แถวๆ กรุงเทพฯ ชอบมาขึ้นป้ายหน้าร้าน (ส่วนใหญ่จะเป็นรถเข็น) ว่า ไก่ทอดหาดใหญ่ นั่นแหละ วิธีการทอดและส่วนผสมคล้ายๆ กัน ต่างกันเพียงสถานที่ และที่นี่ อ.จะนะ ว่ากันว่าเป็นต้นตำรับ (อันนี้ลุงจิ๊บ บอกมา เพราะลุงจิ๊บเคยอาศัยอยู่เมืองปัตตานีมาก่อน..ผม และบอยสบาย เลยไม่กล้าเถียง) หากใครผ่านไปแถวๆ นี้ อ.จะนะ ตรงหอนาฬิกา ใกล้แยกทางหลวงหมายเลข 43 มาจากหาดใหญ่สัก 60 กม. จะอยู่ทางขวามือ เลี้ยวเข้ามาแวะชิมกันสักหน่อย รับรองไม่ผิดหวังครับ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะเรียกไก่ทอดหาดใหญ่ หรือ ไก่ทอดจะนะ แต่ที่แน่ๆ คือ ตรงนี้แหละครับ แยก อ.จะนะ ของเขาอร่อยเด็ดจริงๆ นะเอ้า ...

ขอจบเรื่องกินก่อนดีกว่า เพราะถ้าเขียนนานชักจะหิวขึ้นมาอีกเหมือนกัน เราเดินทางกันต่อไป จ.นราธิวาส (แหม...กว่าจะถึงเบตงได้ ไปเที่ยวนราฯ กันก่อน) ไม่ได้ไปตามหานินจากันนะครับ เราไปเยี่ยมเยียนคุณอ๋อง บางนรา กันต่างหาก อ๋อง บางนรา หรือที่ผมเรียกว่า พี่อ๋อง วันนี้นั่งเป็นอาเสี่ยอยู่ในร้านทองใจกลางเมืองครับ เวลาว่างพี่อ๋อง แกก็มักจะออกไปดำนา อุ๊ยๆ ดำน้ำครับ ที่เห็นไปล่าสุดก็ที่เกาะพีพี ได้ข่าวว่าเจอฉลามกบด้วย วันนี้เราเลยคุยกันนานหน่อย พี่อ๋องคุยเรื่องใต้น้ำที่เกาะพีพี ผมคุยเรื่องลำคลองงู ลุงจิ๊บคุยเรื่องกล้องตัวใหม่ บอยสบายคุยเรื่องภูกระดึง อู๊ยยยย...คุยกันรู้เรื่องน่าดูเลยครับ ถ้าใครมานั่งฟังเราทั้งสี่คนคุยกันตอนนี้ เขาก็คงว่า มันคุยกันได้ไงฟะ... : P ฮ่าๆๆๆ

จากนราธิวาส ขับย้อนกลับทางเดิม แล้วมาเลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 4405 ผ่าน อ.กะพ้อ อ.รามัน เข้าสู่ตัว จ.ยะลา จังหวัดที่มีชื่อเสียงว่ามีผังเมืองงดงามที่สุด เท่าที่ผมสังเกตุดูก็เห็นจะจริงสมคำร่ำลือครับ ถนนหนทางตัดกันเป็นตาราง อาคารบ้านเรือนเป็นระเบียบ ผู้คนที่นี่เขาก็ขับรถกันดีด้วยนะครับ ไม่รวดเร็วปรืดปราดฉวัดเฉวียน ข้างทางก็มีป้ายบอกทางไปอำเภอต่างๆ อย่างชัดเจน
จังหวัดแถวนี้ไม่ว่าจะเป็นยะลา ปัตตานี นราธิวาส ล้วนมีหอนาฬิกาตั้งอยู่กลางถนนบริเวณใจกลางเมืองเหมือนๆ กัน ผมเองอยากจะให้รัฐบาลชุดนี้จัดทำหอนาฬิกา เสียให้ครบทุกจังหวัดไปเลยนะครับ หากฝ่ายค้านจะค้านว่าสร้างไปทำไม ? ผมก็ขอตอบว่า สร้างให้นักท่องเที่ยวอย่างผม ได้ถ่ายรูปเล่น ผมว่ามันสวยดี เมื่อเราได้เดินทางไปถึงจังหวัดนั้นๆ แล้วได้เห็นอะไรที่เป็นของท้องถิ่น ซึ่งแต่ละจังหวัดก็ออกแบบด้วยลวดลายเป็นของตนเอง ไม่รู้จะมีใครเห็นด้วยหรือเปล่า เอ๊ะ...วันนี้นอกเรื่องจัง .....

หอนาฬิกา อ.เบตง

1 ทุ่มตรง ผมอยู่ในปั้มน้ำมันกลางเมืองยะลา ตอนนี้จิตใจล่องลอยไปถึง อ.เบตง เสียแล้วหละครับ ขอบอกตรงๆ ว่า รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกันครับว่า ต้องเดินทางตอนกลางคืนบนถนนที่คดโค้ง ขึ้นเขาลงเขา ท่ามกลางมืดที่เงียบสงัด ด้วยระยะทาง 140 กม. สำหรับคนแปลกถิ่นอย่างผมแล้ว อาการเกรงเรื่องต่างๆ นานา นั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่จะต้องดั้นด้นไปในคืนนี้เลยทีเดียว ก็เพราะเรามีเวลากันจำกัดครับ การเดินทางไปให้ถึงที่หมายเร็วที่สุดจึงเป็นเรื่องพึงกระทำ

ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า เอาน่า...คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรอก เรามาท่องเที่ยว มาตามความฝัน ว่าง่ายๆ...มาดี... ว่างั้นเถอะ คงไม่มีใครเขาคิดร้ายกับเราหรอก และอีกอย่าง 1,219 โค้ง ที่อุ้มผาง และเส้นทาง อ.ปาย อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน เราก็เคยผ่านมาได้แล้วนี่นา คิดได้อย่างนี้ก็ค่อยสบายใจ แต่พอออกจากปั้มน้ำมันมาได้ ก็นึกได้ว่า ที่เราเคยผ่านมาทางภาคเหนือนั้น ทุกครั้งล้วนแต่เป็นเวลากลางวันนี่นา.....

โค้งซ้าย....โค้งขวา....ขวา.....ซ้ายนะ....ระวังข้างหน้ามีรถสวน...ลงเขาอีกแล้ว ขึ้นเขาอีกแล้ว ...อ้าว..หมาๆๆ ......ทำไมมันเงียบอย่างนี้นะ.... เป็นคำพูดที่เนวิกเกเตอร์อย่างลุงจิ๊บ และบอยสบาย ที่คอยช่วยดูเส้นทางให้เพื่อความปลอดภัย ตลอดสองชั่วโมงที่เหมือนเดินทางบนสันหลังงู หากเป็นเวลากลางวันคงจะสะดวกและปลอดภัยกว่า

140 กม. จากตัวเมืองยะลา ทำให้เรามึนหัวได้ไปตามกันๆ รถกระบะ Tiger ขับเคลื่อนสองล้อธรรมดาๆ จาก Budget ไม่ทำให้ผิดหวัง กำลังเครื่องส่งพลังอย่างสม่ำเสมอ ขึ้นเขาอย่างมีพลัง และลงเขาอย่างมั่นใจในระบบเบรค ABS เรามาถึง อ.เบตง กันอย่างปลอดภัย และไม่มีการแวะพักระหว่างทาง เราจึงแวะกินข้าวกันก่อนที่จะหาที่พักหลับนอนสำหรับคืนนี้ ....

ฝันที่เป็นจริง เช้าวันใหม่ในดินแดนใต้สุดสยาม เป็นเช้าที่สดชื่น มองออกไปนอกหน้าต่างในตอนนี้เห็นหมอกลอยอ้อยอิ่งไปตามดาดฟ้าตึก ไปจนถึงยอดเขา อ.เบตง มีพื้นที่ราบค่อนข้างน้อย อาคารบ้านเรือนถูกปลูกสร้างอยู่บนเนินเขา บ้างก็สูงบ้างก็ต่ำลดหลั่นลงไป ดูบางมุมแล้วช่างเหมือนเกาะฮ่องกงเสียจริง เพราะร้านค้าบางร้านก็มีชื่อภาษาจีนติดอยู่หลายร้าน สถาปัตยกรรมก็ออกไปทางจีนๆ ผมเองก็ไม่เคยไปฮ่องกงหรอกนะครับ เพียงแต่เห็นในหนัง ในวีดีโอ แล้วนำมาเปรียบเท่านั้นเอง อิอิ ... แต่มันเหมือนนะ ...

วันนี้แหละที่เราจะออกเที่ยวกัน เริ่มจากมื้อเช้าที่ร้านข้าวหมูแดง ใจกลางเมืองเลยดีกว่า เสียดายจำชื่อร้านไม่ได้ครับ แต่ไม่เป็นไร เพราะร้านนี้เขาตั้งอยู่ติดกับตู้ไปรษณีย์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ตู้ดั้งเดิมนะครับ ไม่ใช่ตู้ที่สร้างใหม่ที่อยู่หน้าประตูเมืองนะ) ร้านนี้ก็อร่อยดีนะ ผมทานไปก็มองตู้ไปรษณีย์แห่งความฝันไป เป็นตู้ที่ดูมีมนต์ขลัง มีความเก่าแก่ในตัว หลังจากข้าวหมูแดงหมดจานแล้วผมจึงมีโอกาสเข้าไปสังเกตุดูใกล้ๆ
ลักษณะโครงสร้างเป็นคอนกรีตรูปทรงกระบอก มีความสูง 320 ซ.ม. ด้านบนติดตั้งเครื่องกระจายเสียงไว้ เพื่อให้ประชาชนได้ฟังข่าวสารบ้านเมือง ตรงส่วนกลางและล่างยังสามารถใช้ส่งจดหมายได้เหมือนเดิม ตู้ไปรษณีย์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2480 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของ อ.เบตง อำเภอที่ตั้งอยู่ห่างไกลการคมนาคม ผมลูบๆ คลำๆ ตู้ไปรษณีย์อยู่นาน ไม่ใช่ต้องการหาเลขเด็ดหรอกนะ อาจเป็นเพราะผมทึ่ง และชอบอะไรทำนองนี้ ดูแล้วเป็นเอกลักษณ์น่าภูมิใจของคนในท้องถิ่นดี ว่าแล้วผมก็ล้วงกระเป๋าหยิบโปสการ์ดที่ไปหามาได้จากร้านเครื่องเขียนใกล้ๆ โรงแรม ติดแสตมป์เขียนที่อยู่แล้วเตรียมมาส่งที่ตู้นี้แหละ วันนี้แหละความฝันที่จะได้ส่งโปสการ์ดสักใบจากตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้เป็นจริงเสียที

เสร็จสิ้นภาระกิจไปโดยเรียบร้อย เดินกลับโรงแรมด้วยความสบายใจ คิดหาสถานที่ท่องเที่ยวในอำเภอนี้ต่อ จากตู้ไปรษณีย์มาไม่ถึงสิบก้าวก็มีเสียงเรียกจากข้างหลัง พี่ๆ... เรียกใครหว่า พี่ๆ... เรียกเราแน่เลย หันไปดูสักหน่อย พี่..ยังไม่ได้จ่ายตังค์ค่าข้าวอ่ะ... เด็กผู้ชายรุ่นน้องพูดมองหน้าแล้วก็อมยิ้ม อ้าวเหรอ....ขอโทษที..... ผมรีบจ่ายเงินอย่างลุกรี้ลุกรน แล้วก็รีบก้มหน้าเดินๆๆๆ กลับโรงแรมอย่างไวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ...อาย..อ่ะดิ...

ที่สุดของอุโมงค์ สถานที่ต่อไปที่ผมได้เดินทางไปนั้นก็คือ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เป็นอุโมงค์ที่สร้างลอดภูเขา เรียกได้ว่าเจาะภูเขากันทะลุเลยทีเดียว เป็นอุโมงค์รถยนต์ทะลุภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย และสร้างโดยวิศวกรชาวไทย เห็นมะครับว่า คนไทยนี่ก็เก่งเหมือนกันนะครับ อุโมงค์นี้ผมชอบเป็นพิเศษ เป็นอุโมงค์ที่สวยงามมากในยามค่ำคืน เปิดไฟสีเหลืองอร่ามถ่ายภาพออกมาแล้วผมว่ามันดูสวยดีนะ
ที่เขาเจาะอุโมงค์นี้ขึ้นก็เพื่อรองรับการจราจรในอนาคตของ อ.เบตง และเพื่อเชื่อมย่านที่เมืองในปัจจุบัน และเมืองใหม่ที่ขยายตัวต่อไปในอนาคต ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นในอีกด้านหนึ่งโดยมีภูเขาลูกนี้กั้นอยู่ ตัวอุโมงค์มีความยาว 268 ม. กว้าง 9 ม. สูง 7 ม. เปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของ อ.เบตง ทีเดียวเลยนะครับ
ที่สุดของพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ นอกจากความเป็นที่สุดในเรื่องเมืองที่อยู่ใต้สุด และอุโมงค์รถยนต์แล้ว อ.เบตง ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย พระพุทธรูปองค์นี้มีนามว่า พระพุทธธรรมกายมงคลประยูรเกศานนท์สุพิธาน โดยได้ทำการหล่อเป็นชิ้นส่วนมาจากประเทศจีน แล้วบรรทุกมาทางเรือสินค้า เมื่อมาประกอบและประดิษฐานแล้ว รวมเป็นองค์พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ มีหน้าตักกว้าง 9.99 ม. สูง 14.29 ม. และมีน้ำหนักประมาณ 40 ตัน ชาว อ.เบตง ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างขึ้นเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่เมืองเบตง แสดงออกไว้ซึ่งความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ผม ลุงจิ๊บ และบอยบรถวนๆ อยู่ในเมืองเบตงดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่ไปเรื่อยๆ ก็ยังแอบคิดในใจว่า เมืองเล็กๆ แห่งนี้ที่มีชื่อมาจากไม่ไผ่ ช่างเป็นเมืองที่น่าอยู่ เงียบสงบอากาศเย็นสบาย มีอาหารอร่อยๆ ให้เลือกกินเยอะแยะ ผู้คนหลากชาติหลายภาษา วัฒนธรรมที่แตกต่าง หล่อหลอมรวมกันให้เป็นเมืองน่าอยู่ท่ามกลางหุบเขาห่างจากความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ ผมเคยประทับใจ อ.อุ้มผาง จ.ตาก มาอำเภอหนึ่งแล้ว คราวนี้ อ.เบตง จ.ยะลา เป็นอำเภอที่สองที่ผมประทับใจ
เที่ยวสวนดอกไม้ จากตัวอำเภอเบตงจุดต่อไปเราจะไปเที่ยวชมคือ สวนดอกไม้เมืองหนาว สวนดอกไม้นี้อยู่ทางด้านนอกของตัวอำเภอ ใช้เส้นทางไปบ่อน้ำพุร้อน ซึ่งเป็นทางเดียวกับที่จะไปอุโมงค์ปิยะมิตร การขับรถในช่วงนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นทางที่ขึ้นเขาค่อนข้างสูงชัน แต่ระยะทางก็ไม่ไกลสักเท่าไร ที่สวนดอกไม้เมืองหนาวนี้จะมีอากาศค่อนข้างเย็นสบายตลอดปี พื้นที่สูงอยู่ในหุบเขา แต่เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของกองพล 93 กองพลเดียวกับที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย ได้อพยพมาตั้งถิ่นฐาน

ต่อมาสมเย็จย่า และสมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระราชดำริให้ชุมชนบริเวณนี้ เป็นที่ปลูกไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้มีรายได้และมีอาชีพที่ยั่งยืน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ที่อยู่อาศัยในหมู่บ้านปิยะมิตร 2 และชาวตำบลตาเนาะแมเราะ อย่างหาที่สุดมิได้

พวกเราทั้งสามชื่นชมกับมวลบุปผชาติกันนานพอสมควร ว่ากันตามความจริงดอกไม้กับพวกเราทั้งสามก็ไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไรหรอกครับ แต่ที่อยู่ชื่นชมกันจนเป็นเวลานานสองนานนั้นก็เพราะเราชอบถ่ายภาพดอกไม้กันครับ การถ่ายภาพดอกไม้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเบื่อ ถ่ายไปเท่าไรก็มีคนดูมีคนชอบ โดยเฉพาะคุณๆ ผู้หญิง ชอบกันจริงๆ เชียว ... ก็มันสวยนี่เน๊อะ อย่าว่ากันเลย ...
อดีต จคม. ที่ต่อไปที่ผมได้เดินทางไปชมก็คือ อุโมงค์ปิยะมิตร เป็นอุโมงค์ที่กลุ่มโจรคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 ณ วันนี้ก็ปาเข้าไป 27 ปี แล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นพวก จคม. เขาใช้กำลังคนล้วนๆ เลยครับเขาขุดกัน 40 50 คน และก็ใช้เวลาเพียง 3 เดือน ก็ขุดเสร็จ เขาใช้เป็นที่หลบภัยทางอากาศ และใช้เป็นที่สะสมเสบียง ก็นับว่าได้ผลนะครับ ในตอนนั้นกว่าทางรัฐบาลจะตามเจอ และกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวกันได้ ก็ใช้เวลาอยู่นานโขเหมือนกัน
และเชื่อไหมครับภายในอุโมงค์นี้ จุคนได้ตั้งเกือบ 200 คน มีสถานีวิทยุของ จคม. ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง มีซอกมีมุมให้เลี้ยวลัดเลาะ และก็มีทางเข้าออกได้ 9 ทาง ด้านบนก็เป็นป่ารกมีต้นไม้ใหญ่มากมายปกคลุม แล้วอย่างนี้ทหารของฝ่ายรัฐจะไปตามเจอได้ยังไง ... นับถือ ครับ นับถือ (ในความอดทนนะครับ)

วันนี้เที่ยวมาทั้งวัน ได้เห็นความเป็นที่สุดของ อ.เบตง ก็หลายอย่าง ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำมานาน ได้เห็นในสิ่งที่อยากจะเห็น และได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น วันนี้คงต้องเดินทางกลับเสียที กลับไปพบเจอกับกิจวัตรประจำวัน กลับไปสะสางเรื่องราวที่ยังคั่งค้าง กลับไปทำตามหน้าที่ของตนเอง และกลับไปรอโปสการ์ดใบสวยจากตู้ไปรษณีย์ที่ยิ่งใหญ่ ในดินแดนที่ไกลสุดของประเทศไทย .... เบตง ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน

นุ บางบ่อ

ขอขอบคุณ : บริษัทรถเช่า Budget สนับสนุนการเดินทาง : โรงแรมเบตงเมอร์ลิน

ราคาเช่ารถของ Budget ครับ Rates effective from 01 Oct 02

SIPP

Car Make/Model

Baht Per Day

Code

(or similar)

1-6 Days

7-21 Days

22+ Days

ทริปนี้ใช้ CPMR

Toyota Hilux Tiger Pickup 2.5 Man.

1,450

1,250

1,160

MFMR

Suzuki Caribian Sporty 4WD 1.3 Man.

1,600

1,400

1,276

ECAR

Honda City LXi Sedan 1.5 Auto

1,750

1,550

1,408

CCAR

Honda Civic EXi Sedan 1.7 Auto. ABS

2,100

1,750

1,672

ICAR

Toyota Corolla Altis 1.8 Auto. ABS 2A/B

2,600

2,200

2,068

IFAR

Honda CRV 4WD 2.0 Auto. ABS 2A/B

3,200

2,750

2,552

IVAR

Chevrolet Zafira 1.8 Auto. ABS 2A/B

3,200

2,750

2,552

FCAR

Honda Accord EXi 2.3 Auto. ABS 2A/B

3,200

2,750

2,552

PCAR

Toyota Camry SEG 2.2 Auto. ABS 2A/B

3,400

2,900

2,696

MVMR

Toyota Hiace 12 Seat 2.5 Man.

2,450

2,150

1,936

หากตัดสินใจจะจองรถเช่า Budget คลิกที่นี่ครับผม

โดย...นุ บางบ่อ 12/06/03

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook