มิตรภาพเหนือระดับน้ำทะเลที่... ภูกระดึง (อีกครั้ง)

มิตรภาพเหนือระดับน้ำทะเลที่... ภูกระดึง (อีกครั้ง)

มิตรภาพเหนือระดับน้ำทะเลที่... ภูกระดึง (อีกครั้ง)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     พาแฟนไปภูกระดึง ระวังกลับมาจะเลิกกันนะ...หรืออยากเลิกกับแฟนก็พากันไปเที่ยวภูกระดึงสิ ผมได้ยินคำนี้มาตั้งแต่นั่งกินเหล้าแบนเดียวสี่คน ก็มีอาการดั่งว่ากินมาคนเดียวสี่แบน เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวก ในการติดต่อกับเพศตรงข้ามได้เช่นปัจจุบันยังมาไม่ถึง แค่เครื่องเล่นวีดีโอในบ้านสักเครื่องก็ล้ำสมัยกว่าใครเพื่อน คอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องไกลตัว พิมพ์ดีดเก่าๆ ก็โก้หรูเอาการ จิ๊กโก๋อย่างเรานิยมเขียนจดหมายเล่าความในใจใส่ซอง เด็ดกุหลาบแดงแนบไปด้วยสักกลีบสองกลีบ ถ้าเธอชอบสมุนไพรก็แนบกัญชาสอดไส้ไปสักมวน นั่นก็สื่อความได้...ฉันชอบเธอนะ

 

มาได้ขึ้นภูเอาได้ก็วัยเข้าเลขสาม พร้อมสาวน้อยข้างกาย แต่หาใช่เธอที่ได้รับจดหมายแนบกลีบกุหลาบคนนั้นไม่ ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างผมกับเธอไม่ได้เกิดขึ้น เจ้าหล่อนพิสมัยมอเตอร์ไซด์ของไอ้หนุ่มห้องข้างๆ มากกว่าสาส์นรักจากใจของผม

 พิสูจน์ความรักหรือต้องการเลิกรัก เปล่าทั้งสองเหตุผล แต่เผอิญคิดว่าต้องไป ก่อนกระดูกข้อเข่าจะเสื่อมสมรรถภาพเข้าเสียก่อน ถัดมาอีกสองปีก็พร้อมใจกันไปต่อสู้กับความเหน็บหนาวและเหนื่อยล้าอีกครั้ง...ถึงวันนี้ ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลง มีเพียงอายุเท่านั้นที่เปลี่ยนไป....

เส้นทางที่ยาวไกลและสูงชัน ผสานกับความเหนื่อยล้าอ่อนแรง คนที่เรารักอาจแปรเปลี่ยนเป็นคนสร้างภาระให้เรา ...เพราะเธอนั่นหละที่อยากมา เป็นไงสมใจมั๊ย แล้วขนอะไรติดตัวมาเยอะแยะ ทำไมไม่ฝากไปกับลูกหาบ สตางค์ฉันก็ออกให้....ฯลฯ ....อืมม...บทบาทบุพพการีเริ่มออกแล้วไง....(ไอ้เวร)

เรื่องราวเหล่านี้อาจมีเกิดขึ้น เค้าอาจจะเลิกรักกันบนภู หรือรอมาแถลงข่าวแยกทางกันข้างล่าง เพราะผมเองไม่เคยพบและไม่อยากรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า อาจเป็นแค่เรื่องเล่าของพวกล้มเหลว ที่ไม่อาจดูแลผู้หญิงข้างกายได้ตลอดรอดฝั่ง ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอด รักแท้ก็ดูแลไม่ได้หรอกนะเวลากูเหนื่อย เลยกุตำนานอาถรรพ์... อย่าพาแฟนไปภูกระดึงนะเวลารักกัน...ประเดี๋ยวเธอจะเห็นสันดานฉันเสียก่อน....

แต่สิ่งที่เราต่างคนต่างพบ มันกลับตรงข้าม ภาพความห่วงใย ดูแลกันและกัน พาดผ่านสายตาตลอดระยะเวลาการเดินทางสู่จุดหมายเบื้องบน เหนื่อยก็นั่งพัก... ประเดี๋ยวถึงซำ(จุดพัก) ข้างหน้า เราไปหากินน้ำแข็งใสกินแก้กระหายกัน....ฉันจะคอยดูแลเธอเอง...ผมว่าภูกระดึง ทำให้ความรักเพิ่มปริมาณความเข้มข้น มากกว่าจะทำให้จืดจางลง....

รอยยิ้มที่หกเรี่ยราด พร้อมถ้อยคำปลอบประโลมใจ...ใกล้ถึงแล้วครับ (ค่ะ) คุณจะได้รับฟังจากผู้สำเร็จวิทยายุทธที่กำลังลงจากเขา แม้เส้นทางจะยังอีกหลายลี้ มุสาวาทที่ตอแหลได้อย่างมีเชิงชั้น เป็นดั่งกำลังใจชั้นดี ซึ่งคนแปลกหน้าหยิบยื่นให้โดยไม่คิดมูลค่า ขากลับจึงต้องนำมาใช้บ้าง ไม่ต้องขออนุญาต มันเป็นวาจาสาธารณะ... และของเค้าดีจริงๆ

 พลพรรครักภูกระดึง... ต่างก็ทิ้งระยะกันไปตามพลังความสามารถทางร่างกายของปัจเจกบุคคล แต่จะมีเพื่อน คนรัก พ่อแม่ พี่ป้า น้า อา...คอยรอ ไม่มีใครถูกโดดเดี่ยว ทิ้งขว้างกลางทาง ต่างก็นำพากันไปจวบจนถึงเส้นขอบฟ้าเบื้องบนครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือ...ผู้พิชิตภูกระดึง

ป้ายนี้มันช่างมีมนต์ขลัง ฝ่าฟันความทุกข์ยากเหนื่อยล้าจนมาถึง ต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกโดยฉับพลันทันที....(อย่าลืมต่อคิวอย่างไม่เป็นระเบียบด้วยนะพี่) อนาคตข้างหน้าจากนี้ไป ในวันที่ "กระเช้าลอยฟ้า" เดินทางขึ้นมาเทียบท่าสถานีบนนี้ได้ มันคงต้องเปลี่ยนกันใหม่  ครั้งหนึ่งในชีวิต...เราได้ใกล้ชิดภูกระดึง  ดั่งหญิงใจง่าย...เปื้อนมลทิน...สิ้นเสน่ห์ ดั่งถูกเสือจ้อน ฝ่าหุบเขาเร้นรัก เข้าไปเปิบพิสดาร... สิ้นเชิงชาย

ข้าวผัด 40 บาท ข้าวหมูกระเทียมพริกไทย 45 บาท ...ฯลฯ...อาหารและน้ำดื่ม ถูกบวกเพิ่มไปอีกอย่างละสิบบาทยี่สิบบาท เหมือนจะแพง ใช่...แพงกว่าข้างล่างแน่ แต่แพงด้วยการขนส่งที่ลำบาก ต้องจ้างลูกหาบ หาบคลอนมันขึ้นมาประกอบกันเป็นอาหารให้เรากิน แค่เดินตัวเปล่าเรายังเกือบสิ้นใจ แต่ผู้ทำหน้าที่ลูกหาบ กลับบรรทุกมาได้เป็นหลายสิบกิโลกรัม

 ข้าวจานละสี่สิบมันก็ไม่ได้น้อยปริมาณไปกว่าร้านอาหารติดแอร์ตามห้างสรรพสินค้าในเมืองใหญ่ หรือแหล่งท่องเที่ยวที่รถเข้าถึง แม้ไม่มีการันตีด้วยตำรับเก่าแก่จากตรอกซุง ราชวัตร เยาวราช ฯลฯ เพราะล้วนเป็นฝีมือแม่ครัวชาวบ้าน จากที่ราบด้านล่าง แถมน้ำชาในกาก็เติมได้ฟรีไม่อั้น ไม่ต้องสั่งน้ำแข็งรูลอยน้ำมา เพิ่มให้เปลืองกะตังค์ ชาร้อนของฟรี...ไม่แพงหรอกนะว่ามั๊ย

น้องสาวคนสวยของผม เธอไปนั่งคุยกับลูกหาบก็ได้ความว่า เป็นชาวบ้านศรีฐานด้านล่าง พอเข้าฤดูท่องเที่ยวก็มาประกอบอาชีพลูกหาบ ถึงช่วงปิดฤดูก็ไปทำนาปลูกข้าว ยึดวิถีเกษตรกรรมดังเดิม...อาชีพลูกหาบเป็นอาชีพเสริม แต่เป็นรายได้หลักของครอบครัว คงได้นะถ้าจะบอกว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณพวกเค้า แม้ต้องจ่ายค่าแรงให้ก็เหอะ ถ้าไม่มีอาชีพนี้... ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคงไม่ได้เป็นผู้พิชิตภูกระดึง...หรือว่าพวกตัวเองจะแบกขึ้นไป...

  อากาศบนภูกำลังเย็นสบายสดชื่น... หลังเวลาอาหารเย็น บ้างก็จับกลุ่มสนทนา บ้างก็ฮัมเพลงแก้เหงา บ้างก็นอนบี้ไข่ดันที่บวมเพราะกล้ามเนื้อเริ่มอักเสบ บ้างก็นั่งมองเพศตรงข้าม...หรือ...เพศเดียวกัน ด้วยความชื่นชม แต่ส่วนใหญ่มักจะอัพยาแก้ปวดนวดเท้านวดขา เพื่อเตรียมการให้ร่างกายไว้เดินท่องเที่ยวสำหรับวันรุ่งขึ้น... บ้างก็หวีดร้องเสียวสยองลั่นเต็นท์ เพราะพา ทาก เข้าห้องหอไปด้วย...ตอนพาเข้าไปไม่พูด พอจะดูดดันร้อง...มันคงตัดพ้อก่อนตายว่าอย่างนั้น

น้องสาวคนสวย(ก็ได้วะ)ของผม เกิดนึกคะนองออดอ้อนขึ้นมา ว่ายังไม่โดนทากฝากรักเลยสักที ไม่ทันโสตเสียงที่พ้นผ่านริมปากอวบอิ่มชมพูอ่อน จะทันหายไปในมวลอากาศ เหมือนตดที่ยังเหม็นจางๆ อยู่ขอบรูจมูก ดึกดำดึ๋ยตัวแรก...ก็เข้ามาทักทาย ตัวที่สอง...นอนดูเธอถอดอาภรณ์ ฟอกสบู่ถูเกลื้อนที่หลัง ถ้ำมองจนเสร็จสมอารมณ์หมาย

 ถึงลงมือฝังเขี้ยวชำเราหน้าแข้งขาวๆ แต่ไม่ค่อยเนียนของเธอ ด้วยความหื่นกระหาย โอวว...กู๊ดๆ ส่วนตัวที่สาม(แฮตทริก)...ดักรอระหว่างทางออก ก่อนกระโจนเอาปากซุกเข้าไปที่ง่ามเท้าอย่างเคืองแค้น เพราะเธออาบน้ำเร็วไป  ...ฉันสระผมด้วยนะ แต่แกเดินช้าเองตะหาก....

คืนวันผ่าน...พลพรรครักภูกระดึง ได้รู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น จากที่มึนตึงเฉยชาแปลกหน้าเมื่อแรกออกเดินทาง การได้พูดคุย แบ่งปันความรู้สึก ได้เดินเที่ยว ได้ร่วมกิจกรรม ตลอดระยะสองคืน ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่น้อยนิดสำหรับการมาเที่ยวภูกระดึง แต่พอเพียงที่จะลดท่าทีที่มึนตึง ให้แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แม้สุ้มสำเนียงเสียงนั้นจะอ่อนล้าไปบ้าง เพราะตรากตรำกับการเดินเท้าท่องเที่ยวเป็นระยะหลายกิโลเมตร

ถึงวันกลับ... ผมจำได้ในความสนุกสนานระหว่างถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน หากไม่นับรวมคนที่รู้จักกันมาก่อน ใครจะเชื่อว่านี่หรือคือคนที่รู้จักกันมาเพียงสองคืน... เรื่องราวดีๆ เหล่านี้คงอยู่ในความทรงจำของผมต่อไป จนกว่าวันที่ชีวิตไม่อาจใช้ความทรงจำทุกอย่างได้ คนที่เดินเท้าถึงตีนภูก่อน ต่างก็จัดการอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วกลับมานั่งพูดคุย พร้อมรอพลพรรคฯ ที่ยังลงมาไม่ถึง... ไม่มีเสียงบ่นว่าช้าว่าสาย

พลพรรคฯ ชุดสุดท้ายลงมาถึงด้วยท่าทีอ่อนล้าอิดโรย เพราะมีเพื่อนหนึ่งคนป่วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ต่างคนต่างรอและดูแลซึ่งกันและกัน เราอาจเยียวยาร่างกายที่อ่อนแรงให้หายในทันทีไม่ได้ แต่เราสามารถเยียวยาจิตใจกันได้ในตอนนั้น ไม่ต้องรอจังหวะและโอกาส ขืนปล่อยให้เวลาผ่านไป หัวใจที่มีให้กันมันจะอักเสบบวมช้ำ แม้จะหายในภายหลังแต่คงทิ้งแผลเป็นไว้....ให้จดจำไปชั่วชีวิต

 ผมเชื่ออยู่เสมอว่า... เราทุกคนต่างไม่ได้เป็นผู้พิชิตภูกระดึง แต่ภูกระดึงต่างหากที่พิชิตเรา พิชิตความเหนื่อย ความเมื่อย ความท้อถอยท้อแท้ ความเห็นแก่ตัว และความสิ้นหวัง...ฯลฯ ระหว่างทางขึ้น... ทุกคนคงพร้อมใจคิด เมื่อไหร่จะถึงเสียที เรามาลำบากทำไมที่นี่ มีที่อื่นอีกมากมายทำไมไม่เลือกจะไป ไม่ไหวแล้วนะ... เอาตังค์กูคืนมา

 

แต่สุดท้ายปลายทาง... เราให้โอกาสตัวเองได้ต่อสู้ ไปพร้อมกับกำลังใจที่ได้จากเพื่อนร่วมเดินทาง เราจึงยืดอกยิ้มได้อย่างภาคภูมิใจ...เราทำได้.... เราชนะไม่มีครั้งไหน...ที่ผมต้องนั่งมองฟ้าบนภูกระดึง ด้วยหัวใจหม่นเหงา...ครั้งนี้ก็เช่นกัน

รักและคิดถึง พลพรรคฯ ทุกคนสุดหัวใจ(สีแดง) ธนิสร หลักชัย...(แจ๊ค) thanissorn_jack@hotmail.com

ออนไลน์วันที่ 31 ตุลาคม 2550

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook