สัมผัส "ทีลอซู" สานความใฝ่ฝันให้เป็นจริง

สัมผัส "ทีลอซู" สานความใฝ่ฝันให้เป็นจริง

สัมผัส "ทีลอซู" สานความใฝ่ฝันให้เป็นจริง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สัมผัส "ทีลอซู" สานความใฝ่ฝันให้เป็นจริง

เม้าท์โดย..ป้าอ้น (ของแท้ เจ้าเก่า สูตรโบราณ เหมือนกาแฟไง) 

 

     ตะแรก คิดว่าจะใช้ชื่อหัวเรื่องว่า "พิชิตทีลอซู" แต่ดูจะเว่อร์มากไปหน่อย เพราะถ้าเป็นสมัยแรกๆ ตอนที่ได้ยินเกี่ยวกับ น้ำตกทีลอซู ว่าสวยงามเพียงไหน  และไปลำบากยากเย็นอย่างไร อาจจะใช้คำว่า "พิชิต" ได้อย่างสะดวกใจ แต่สมัยนี้ การไปสัมผัส "น้ำตกทีลอซู" ของจริง แม้ไม่ง่ายอย่างเอานิ้วสัมผัส(ปุ่มคอมพิวเตอร์)  ก็สามารถแลเห็นได้แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นกาลก่อน ดังนั้น คำว่าพิชิตจึงต้องเปลี่ยนมาเป็น สัมผัส แทน เพราะได้ไปจับต้องสายน้ำตกมาอย่างสดชื่นจริงๆ  อีกอย่างคำว่า "พิชิต" นี้ พวกนักอนุรักษ์ธรรมชาติ ได้เคยบอกไว้ว่า มนุษย์เราไม่ควรใช้คำๆ นี้ กับธรรมชาติที่เราได้เข้าไปถึง ไม่ว่าจะเป็นภูเขาสูง น้ำตก ป่าใหญ่ ฯลฯ เพราะมันเป็นคำที่ทำให้มนุษย์เราเกิดความ "อหังการ" ทะนงตนว่าตัวเราได้เป็นผู้พิชิตธรรรมชาติที่ใหญ่โตนั้นๆ จนขาดความเคารพ และเกิดความอกตัญญูต่อธรรมชาติซึ่งเป็น "ผู้ให้" เสมอมา จนเมื่อธรรมชาติที่เราทำลายย้อนกลับมาทำร้ายเราเอง เราจึงเพิ่งสำนึกว่า มนุษย์เป็นเพียงอณูเล็กๆ ที่มิได้ยิ่งใหญ่ และอยู่เหนือธรรมชาติเลย เกริ่นซะยาว เข้าเรื่องสักทีจะดีกว่าเน๊อะ

     หลายปีก่อน ตอนที่ได้ยินเรื่องน้ำตกทีลอซู เป็นครั้งแรกว่า เป็นน้ำตกที่ใหญ่โต และ สวยมาก  แต่ขณะเดียวกัน ทางไปก็โหดมากๆ เช่นกัน  เพราะต้องผ่านทางซึ่งเป็นภูเขาอันคดเคี้ยว ต้องเดินป่าหลายกิโล ต้องนั่งช้างฝ่าดงเข้าไป สารพัดรูปแบบ ทำให้เกิดความใฝ่ฝันว่า จะเดินทางไปสัมผัสน้ำตกนี้สักครั้งในชีวิต เรื่องเดินเท้าเข้าป่า นั่งช้าง กางเต็นท์อะไรๆ เนี่ย ไม่ค่อยมีปัญหานัก เพราะชอบ รู้สึกสนุกดี แต่ที่ต้องผ่านทางคดเคี้ยวนี่ซิ ต้องคิดหนัก เพราะอย่างที่เคยบอก ตัวเองสามารถ เมาได้ โดยไม่ต้องกินเหล้า 

     กว่าจะถึงที่หมาย มีหวังได้อ้วกแตกอ้วกแตน จนผู้ร่วมทางได้ร่วมอ้วกเป็นเพื่อนไปด้วยแน่ ด้วยเหตุนี้ จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้ไปสักที แม้จะได้ทราบว่า หลังๆ การเดินทางแสนจะสะดวกสบายขึ้นก็ตาม ต่อมาได้ข่าวว่าเวบ SANOOK จะจัดทริปไปสร้างมหากุศล ด้วยการชวนสมาชิกไปบริจาคทรัพย์  สิ่งของให้กับเด็กๆในโรงเรียนอุ้มผางวิทยาคม ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากน้ำตก หากไปร่วมงาน แล้วซื้อทริปไปน้ำตกทีลอซูต่อเองก็ได้นั้น ก็เกิดความสนใจ  หลังจากสอบถามข้อมูลแล้ว ก็คิดว่าดีเหมือนกัน ไปทัวร์ด้วย ทำบุญด้วย น่าจะดี โดยเขามีกำหนดการจะไปกันในวันที่ ๓-๕ ธันวาคม ๒๕๔๘   คือช่วงหยุดวันเฉลิมพระชนมพรรษา ก็ได้ไปจองแบบกั๊กๆไว้ก่อน เพราะกลัวเต็ม เอาเข้าจริง เกิดติดงานที่จะมีในช่วงดังกล่าวพอดี ก็เลยต้องโทรไปยกเลิกด้วยความเสียดาย  แต่ดวงเที่ยว ป้าอ้น นั้น ค่อนข้างแจ่มจรัส เพราะต่อมาน้องที่ฝ่ายเขาอาสาช่วยทำงานแทนให้ ก็ว่าจะไปกับ คุณนุ บางบ่อ ของ SANOOK อีก แต่ได้ยินข่าวว่าคนไปเต็มแล้ว และให้บังเอิญว่าเจ้าบุ๋ม น้องที่ทำงานอีกคนจะไปเที่ยวน้ำตกทีลอซูกับครอบครัว และกำลังหาสมาชิกให้ได้ครบ ๙ คนตามที่ทัวร์กำหนด ก็เลยสมัครไปกับเขาด้วย ทีนี้ก็สมใจอยากล่ะซิ ค่าทัวร์คนละ ๓,๘๐๐ บาท รวมค่ารถตู้ ค่าน้ำมัน ค่ารถสองแถว ไกด์ท้องถิ่น ค่าที่พัก และอาหารอีก ๘ มื้อ เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนเต็ม โดยเราไปกับทัวร์ที่ชื่อว่า Trekker ที่เปิดดูจาก Net 

     สมาชิกที่ไปมี ๙ คน ประกอบด้วย ป้าอ้น พี่อัจฉร าและ น้องอั๋นลูกชาย น้องบุ๋มพร้อมสามี และลูกอีก ๓ หน่อ กับน้องบุญทอม (ชื่อที่ทำให้ใครได้ยิน ต้องถามว่าแปลว่าอะไร แล้วเจ้าตัวก็มักจะบอกว่า แปลว่า เป็นบุญที่มิได้เกิดมาเป็น "ทอม" มั๊ง) นอกจากนี้ ก็มีไกด์ของทัวร์ และคนขับ เบ็ดเสร็จ รถตู้ที่ใช้เดินทางไปครั้งนี้ มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น ๑๑ คน ตอนที่บอกเจ้าบุ๋มว่าจะไปด้วยนั้น เจ้าบุ๋มดีใจมาก เพราะเคยได้ยินแต่พี่อ้นไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แล้วกลับมาเล่าอย่างสนุกสนาน แต่ไม่เคยได้ไปกับพี่เขาสักที ดังนั้น เพื่อกันพี่อ้นเปลี่ยนใจ รวมทั้งเจ้าทอม ที่อาจต้องไปหาพ่อเนื่องในวันพ่อ (ไม่งั้นพ่อจะงอน) เจ้าบุ๋มจึงรีบไปจ่ายมัดจำทันที และรีบมาบอกว่าห้ามเปลี่ยนใจแล้วนะ แหม! พี่อ้นเลยบอกบุ๋มว่า เจ๊นั้น ลองตัดสินใจแล้ว ไม่เค้ย ไม่เคยเบี้ยวใคร เรื่องอื่นว่าไปอย่าง แต่เรื่องเที่ยวชัวร์ป้าบ ไปแน่นอน 

     สองทุ่ม วันที่ ๒ ธ.ค. เวลานัดหมาย รถตู้พร้อมผู้นำทัวร์ หรือไกด์ ก็มารับพวกเราที่ทำงาน แต่ละคนก็ช่วยกันขนสัมภาระ บวกกับสัมภารก ของกินจริงกินเล่นทั้งหลายขึ้นรถ จากนั้น เราก็เริ่มเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมาย ระหว่างทางที่ยังไม่คดเคี้ยว พี่อ้นก็นั่งเม้าท์นั่งโม้(ก็ต้องนั่งซิยะ จะยืนได้ไง) ไปเรื่อยๆ นานๆ จะหยุดให้ไกด์ที่ไปด้วย ได้พูดสักหน่อย เช่น "หยุดปั๊มหน้า เข้าห้องน้ำนะครับ" กันเฉาปาก เพราะพูดไม่ทันพี่อ้น (ฮิ ฮิ) ก่อนเข้าสู่เส้นทางอันคดเคี้ยวของอุ้มผาง อันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดตาก ที่ได้ชื่อว่า  "แผ่นดินดอยลอยฟ้า" เพราะต้องผ่านป่าใหญ่ และภูเขาที่มีโค้งถึง ๑,๒๑๙ โค้ง และเป็นที่ตั้งของน้ำตกทีลอซูที่เราจะไปกันนั้น หนุ่ยสามีของบุ๋ม ผู้มีอาชีพเป็นดีเทลยา  ก็ได้นำยากันเมารถมาแจก และบอกให้กินก่อนครึ่งชม. พี่อ้นก็บอกพี่เอาพลาสเตอร์แปะสะดือตามสูตรสจ๊วตแล้ว น่าจะช่วยได้นา แต่หนุ่ยบอกเพื่อสวัสดิภาพ  (ที่จะไม่ต้องเสี่ยงหากป้าอ้นเมา และอ๊อกออกมา) ขอให้กินกันทุกคน เจ้าทอมซึ่งปกติก็ไม่ค่อยเมา ยังยอมกิน มิใช่อะไรหรอก กลัวตื่นอยู่คนเดียว ขณะที่คนอื่นเมายาหลับกันหมดน่ะ ดังนั้น พอถึงทางคดโค้ง แม้จะรู้สึกว่ารถเอี้ยวไปก็เอี้ยวมาเหมือนงูเลื้อย จนนั่งไม่ติดเบาะ แต่แต่ละคนก็เมายา และสลบไสลไม่ได้สติจนเช้า โดยก่อนถึงที่พัก รถได้แวะจอดให้ดูทะเลหมอกตรงจุดชมวิว ซึ่งพวกเราก็สะลืมสะลือลงไปถ่ายรูปแบบหน้าตาดูไม่ได้กันนิดหน่อย จากนั้นก็ขึ้นรถนอนต่อ จนถึงที่พัก 

     ก่อนจะเล่าเรื่องเที่ยวต่อไป อยากจะเล่าเรื่อง "อุ้งผาง" เป็นเกร็ดความรู้ไว้หน่อย ตามที่ได้อ่านมา ว่า แต่เดิมอำเภออุ้มผางมีแต่ชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ และเป็นเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันตกขึ้นกับจังหวัดอุทัยธานี เป็นจุดตรวจหนังสือเดินทางของชาวพม่าที่จะมาค้าขายในเขตไทย โดยสมัยก่อนชาวพม่าจะนำเอกสารสำแดงตนใส่กระบอกไม้ไผ่มีฝาปิดเพื่อกันฝนและกันการฉีกขาด เมื่อมาถึงที่นี่ก็จะแสดงเอกสารให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อให้ประทับตรา ซึ่งเอกสารที่ว่านี้เรียกเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า "อุ้มผะ" ต่อมาได้เพี้ยนเป็น "อุ้งผาง" ซึ่งได้กลายมาเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดตาก  และถือเป็นเมืองท่องเที่ยวในอ้อมกอดของผืนป่า และหุบเขาสูง แห่งสุดท้ายของประเทศไทยที่ยังเหลืออยู่ (ฟังดูเศร้านะ แหล่งสุดท้าย เฮ้อ!) 

     พวกเราเข้าที่พักที่บุญล่ำรีสอร์ท ซึ่งว่ากันว่า เป็นผู้นำทัวร์เที่ยวทีลอซูเป็น Package แรกๆ ของที่นี่ เมื่อล้างหน้า แปรงฟัน  อาบน้ำ(หรือไม่อาบก็ตามใจ) และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปล่องเรือยางแล้ว ทุกคนก็มากินอาหารเช้า แต่ละคนจึงรู้สึกมีแรง และสดชื่นขึ้น  การไปล่องเรือยาง เราจะต้องนั่งรถกะบะสองแถวไป  ซึ่งจะมีไกด์ท้องถิ่นเป็นผู้นำชม (อันนี้ ดีมาก เพราะเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนเจ้าของพื้นที่ ซึ่งทุกแหล่งท่องเที่ยวของไทย น่าจะทำ ซึ่งที่นี่ทัวร์ไหนจะนำมาก็ได้ แต่พอจะเที่ยวต้องซื้อทัวร์จากท้องถิ่น) สำหรับไกด์ท้องถิ่นของเรา มีชื่อว่า คุณสิงห์ (ซึ่งมีเรื่องให้เม้าท์ไม่น้อย ดังจะได้เล่าต่อๆไป) แต่ที่น่าแปลกและเป็นความรู้ใหม่ของตัวเอง คือ เราไปล่องเรือยางที่แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งตอนได้ยินชื่อแรกๆ ก็คิดว่าเป็นชื่อพ้องกับแม่น้ำแม่กลองในจังหวัดสมุทรสงคราม ไม่คิดว่าจะเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน แต่จริงๆแล้ว แม่น้ำแม่กลองที่อุ้มผางนี้ คือ ต้นกำเนิดของแม่น้ำแม่กลองที่เรารู้จักมักคุ้นกันนั่นเอง โดยเกิดจากธารน้ำหลายสายในเทือกเขาสูงแห่งตำบลโมโกร แล้วไหลรวมไปตามลำห้วย เกิดเป็นต้นน้ำแม่กลองที่บ้านแม่กลองคี จากนั้นก็ไหลผ่านอุ้มผาง ไปบรรจบกับแม่น้ำจัน เป็นแม่น้ำแม่กลอง ไหลผ่านทุ่งใหญ่ทางกาญจนบุรีเป็นแม่น้ำแควใหญ่ ก่อนจะไปรวมกับแม่น้ำแควน้อยกลายเป็นแม่น้ำแม่กลองอีกครั้ง แล้วไหลไปออกอ่าวไทยที่สมุทรสงคราม โอ้โห! เพิ่งรู้น่ะเนี่ยะ 

    เรือยางที่เรานั่งไปตามลำน้ำแม่กลองนี้ ใหญ่พอจุคนได้เป็นสิบ เรียกว่า ลำเดียวนั่งได้หมดทั้งคันรถตู้ที่มา แล้วยังรวมคุณสิงห์ ไกด์ท้องถิ่นที่คัดท้าย  และเด็กที่พายด้านหน้า(หรือคอยลากเรือ เวลามันแอ๊กเพราะไปติดแก่งหิน) เราล่องชมน้ำตกต่างๆ ไปตามลำน้ำแม่กลอง อันได้แก่ น้ำตกทีลอจ่อ (หมายถึงน้ำตกสายฝน คือ สายน้ำจะไหลหยิมๆเหมือนสายฝน) น้ำตกสายรุ้ง (ที่ไกด์ได้เร่งให้เราออกจากที่พักโดยไวในช่วงเช้า) เพราะถ้าไปช้าแดดหมด เราก็จะไม่เห็นแสงแดดที่สะท้อนกับน้ำตก จนทำมุมให้เกิดรุ้งกินน้ำ ที่สวยงามราวกับแกรมมี่มายิงเลเซอร์ไว้ ตอนเราไป ได้เห็นรุ้งถึงสองตัว สวยสมคำร่ำลือ และเพื่อให้ได้สัมผัสใกล้ชิด  คุณสิงห์ก็ไกด์สมชื่อว่าจะพายไปจับรุ้งกันจะจะเลย จากนั้นพี่สิงห์ก็คัดท้าย พากพวกเราไปอยู่ใต้น้ำตกที่ว่า ได้จับรุ้งและเปียกปอนกันถ้วนหน้า แต่ก็สนุกกันดี ลำอื่นผ่านมา  คงคิดว่าลำนี้พายยังไง ดันพาไปอยู่ใต้น้ำตก แทนที่จะดูห่างๆ หารู้ไม่ พวกเราถูกพี่สิงห์(หลอก)พาไปอย่างเต็มใจให้แฉะกันเล่นๆ จากนั้นเราก็ผ่านบ่อน้ำร้อน(ที่ไม่มีใครยอมขึ้นไปดู เพราะเห็นมวลชนรอชมอยู่อย่างแน่นขนัด เลยขอบาย ไปดูอันอื่นต่อ) ไปดูผาโหว่ ผาผึ้ง ผาเลือด ฯลฯ ระหว่างล่องเรือยาง คุณสิงห์ก็โม้ เอ้ย ! เล่าว่า สมัยก่อนที่นี่มี กบทูด  ตัวละห้าหกโล ทุกคนก็อ้าปากหวอ (แต่หวอไม่ออก เพราะนั่งเบียดกัน เลยต้องหุบๆ กันไว้) ว่ากบอะไรว่ะ หนักตัวละตั้งห้าหกโล หนักกว่าไก่หนึ่งตัวซะอีก แถมยังบอกว่า บรรพบุรุษของตน ไปจับกบที่ว่า พอไปจับมันเข้า ถูกกบถีบจนกระเด็นออกมา กว่าจะรู้ตัวว่าถูก ไกด์สิงห์ เล่นมุข ว่าหมายถึง ต้องเดินไปห้าหกโล กว่าจะเจอกบสักตัว คือ ห้าหกโล(เจอ)ตัวหนึ่ง ก็เล่นเอาคนกรุงเทพฯ เชื่อสนิท ถ้าไม่เกรงใจว่าจะไม่มีใครพาเที่ยวต่อ ไกด์สิงห์อาจถูกถีบแบบบรรพบุรุษก็ได้ (ฮิ ฮิ ล้อเล่น) ดังนั้น ช่วงต่อไป  พอไกด์สิงห์เล่าอะไร ทุกคนจึงระมัดระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ เพราะกลัวเป็นมุขอำอีก ถึงกระนั้น ก็ยังไม่วายถูกอำเป็นระยะๆ แล้วแต่จังหวะว่าใครจะเผลอ เมื่อถึงผาเลือดก็แวะกินข้าวกลางวัน (กล่อง) จากนั้น ก็ขึ้นฝั่ง ไปต่อรถกะบะที่ท่าทราย เพื่อนั่งไปยังเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อันเป็นที่ตั้งของ "น้ำตกทีลอซู" น้ำตกในความใฝ่ฝันของพี่อ้น ว่าจะต้องมาเยือนให้ได้ ซึ่งพี่อ้นแอบผิดหวังเล็กน้อย เพราะคิดเองว่าจะต้องลุยป่าแบบโหดเล็กๆ กว่าจะไปถึงตัวน้ำตก แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงที่ทำการเขตฯ แค่เดินเท้าเข้าไปอีก ๑.๕ กิโลเมตร ก็ถึงตัวน้ำตกแล้ว (ทำไมมันง่ายอย่างนี้ว่ะ ไม่เหมือนกับที่เคยคิดมาตลอดหลายปีเล้ย แบบนี้คนแก่หรือเด็กๆ ก็ไปได้ เฮ้อ! เขาถึงว่า ความฝันมักสวนกับความจริงเสมอ) 

      ตามข้อมูลที่อ่าน น้ำตกทีลอซู ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นน้ำตกเขาหินปูนขนาดใหญ่ อยู่กลางป่าตะวันตก มีความสูงจากระดับน้ำทะเล ๙๐๐ เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ มีน้ำไหลตลอดปี ความกว้างของน้ำตกประมาณ ๕๐๐ เมตร แวดล้อมด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์สวยงาม เป็นน้ำตกที่ติดอันดับ ๑ ใน ๖ ของโลก  และสวยที่สุดในประเทศไทย คำว่า "ทีลอซู" เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ ทำไมถึงว่าเป็นน้ำตกดำก็ไม่รู้ซินะ  ทั้งๆ ที่น้ำตกที่เราเห็นมันเป็นสีเขียวปนขาวคล้ายมีน้ำนมผสมอยู่ หรือในสมัยแรกๆ มันอาจจะดูเป็นเช่นนั้น หรือคำว่า "ดำ"ในทีนี้อาจจะหมายถึง ความชุ่มฉ่ำของดินที่น้ำตกไหลผ่าน  ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ก็ได้นะ เดาเอาเอง ที่น้ำตกนี้ พวกเราได้ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกหลายรูปทั้งแบบน้ำตกเพียวๆ (ไม่มีคนยืน action เจือปน) และแบบมีคนแอ๊กชั่นเดี่ยว และหมู่ตามอารมณ์ที่อยากจะถ่ายรูป ระหว่างที่เด็กๆ ลูกบุ๋ม คือน้องโน้ต น้องพลอย น้องแบงค์ และน้องอั๋นลูกพี่อ้จฯ เล่นน้ำกันอยู่ชั้นกลางๆ ของน้ำตก ไกด์สิงห์ก็ได้พาพี่อ้น พี่อัจฯ ทอม และบุ๋ม ปีนขึ้นไปยังชั้นที่สูงๆ ขึ้นไป ซึ่งตอนแรกพี่อัจฯ ก็ทำท่าจะไม่ไหว แต่ถูกไกด์สิงห์(หลอกล่อ)อีกล่ะ ว่าไปง่าย สวยกว่านี้ ก็เลยหลวมตัว ไปจนสุดทางที่จะไปได้ ก็เลยได้อาบน้ำสายน้ำตกทีลอซูในที่สูง แต่ตอนลง ขณะปีนระวังๆ แล้ว พี่อัจฯ ยังร่วงลงมาทับไกด์ไปหนึ่งแอ๊ก แต่ไกด์บอกยังโชคดี ที่มิใช่น้องทอม ที่มีน้ำหนักตัวประมาณเลข ๗ ขึ้นต้นเท่านั้น 

      ถ้าจะถามว่า น้ำตกทีลอซู ที่ได้ไปเห็น สวย หรือไม่ ก็ต้องบอกว่า สวย เพียงแต่ยังไม่ประทับใจเท่าไร ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะได้ยินมาว่า มันเป็นน้ำตกที่ใหญ่โตมาก  แต่ระยะเวลาที่เราไปคือเดือนธันวาคม น้ำอาจจะไม่มากเท่าหน้าฝน และได้ข่าวมีบางส่วนถล่มไป ทำให้ขนาดของน้ำตกไม่ยิ่งใหญ่ดังคำเล่าลือที่เราได้ยินมาโดยตลอด  แต่ถ้าถามว่าผิดหวัง หรือไม่ ก็ตอบได้เลยว่า ไม่ผิดหวัง เพราะธรรมชาติก็มีความงดงามของมันเอง และหากเรานั่งนิ่งๆ สักพัก ในท่ามกลางเสียงน้ำไหล  เราจะรับรู้ได้ถึงความสงบสุขที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ ในสังคมเมืองที่วุ่นวายสับสน 

     ผ่านไปวันแรก กับการผจญภัย ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อน และก็ไม่หนาวมาก อุณหภูมิน่าจะราวๆ ๑๕ องศาเซลเซียส เช้าวันที่สอง เราได้รับการแจ้งแต่เมื่อวานแล้วว่า ไกด์จะมารับเราไปดูทะเลหมอกที่ดอยหัวหมด ให้พวกเราพร้อมออกเดินทางตั้งแต่ ตี ๕ เพราะไกด์สิงห์บอกว่าจะพาพวกเราไปยังดอยหัวหมดหนึ่ง ซึ่งคนจะไม่มากเท่าอีกดอย ดังนั้น เมื่อถึงเวลา พวกเราพร้อมแล้ว แต่ไม่ปรากฎวี่แววของไกด์ ทำเอาชักใจไม่ดี เนื่องจากเมื่อวาน หนุ่ยสามีบุ๋ม บ่นอยากกินปลาคัง (ไม่รู้ ไปได้ข้อมูลอะไรมา  และทำไมต้องมาอยากกินที่นี่ ก็ลืมถาม หรือคิดว่าในแม่น้ำแม่กลอง น่าจะมี) ก็เลยให้เงินไกด์สิงห์ไปซื้อหา พร้อมสั่งเมนูอื่นๆ ไปด้วย เพราะวันที่สองนี้  เรามีโปรแกรมจะไปนอนเต็นท์ ค้างคืนในทุ่งใหญ่นเรศวร ในที่สุดรถกะบะ ก็พาพวกเราไปรับไกด์เด็กอีกคน เพื่อพาไปดอยหัวหมด ๑ ที่ว่า ซึ่งอยู่ห่างที่พักไปราวสิบกว่ากิโล  ไปถึงก็ต้องปีนดอยเล็กน้อย ซึ่งไม่ชันเท่าไร ถือว่า ปีนค่อนข้างง่าย แต่เจ้าหนุ่ยเดินขึ้นไปสักพัก ยังไม่ถึงครึ่งทาง ทำท่าถอดใจ จะขอนั่งรออยู่ตรงนั้น  เพราะความที่ไม่ชอบอะไรที่ลำบากๆ (แม้ว่าจะไม่มากก็ตาม) ร้อนถึงพี่อ้นต้องเชียร์กึ่งเคี่ยวเข็ญให้เดินต่อไป จึงได้ไปเห็นทะเลหมอกอย่างเต็มตา และถ่ายรูปหมู่กับครอบครัว เจ้าตัวมาเล่า(อย่างภูมิใจ)ว่าคราวที่แล้ว ไปปีนถ้ำ แต่พอถึงหน้าถ้ำ ก็อีหรอบเดียวกัน คือ ไม่อยากเข้าไป เกิดปอดขึ้นมา ก็นั่งรอเมีย และลูกๆ หน้าถ้ำ ระหว่างนั่งก็เก็บขัอมูล  ฟังคนที่เข้าไปแล้ว มาเล่าว่าอย่างไร ก็จำไว้ ครั้นพวกที่ขึ้นมาหลังๆ เห็นนั่งหน้าถ้ำ คิดว่าไปมาแล้ว ก็ถามหนทางดู คุณหนุ่ยก็ตอบได้เป็นตุเป็นตะ เสมือนจริง เพราะฟังขี้ปากคนที่ไปมาแล้ว ทำให้คนเขาเชื่อว่าไปมาแล้วจริงๆ แต่หนนี้ พี่อ้นไม่ยอมให้นั่งเก็บข้อมูลแบบเดิม จึงต้องขึ้นไปตามคำขอแกมบังคับ หลังจากชมทะเลหมอก ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามมองเห็นสุดลูกหูลูกตา แบบภาพพาโนรามาแล้ว ภาคบ่ายเราก็เดินทางด้วยรถกะบะเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งช่วงขนของขึ้นรถเตรียมไปนี่เอง ไกด์สิงห์เราก็หอบของพะรุงพะรังมา ทั้งเตา กะทะ ผัก และปลา นัยว่าที่ตอนเช้ามาไม่ทัน ก็เพราะต้องไปเตรียมของที่คุณหนุ่ยสั่งไว้ เพียงแต่ปลาคัง หาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นปลาทับทิมแทน แล้วยังมีเมนูหมูกะทะ ไปย่างให้กินกันในป่าด้วย เท่ซะไม่มี! อย่างไรก็ดี ดูท่าไกด์สิงห์ที่อ้างเหตุมาไม่ทันดังที่ว่าแล้ว น่ากลัวจะกรึ๊ปมาไม่น้อยด้วย เพราะหน้าก่ำ อารมณ์ดี แถมมาคุยให้ฟังว่า เมื่อคืนหลังจากกลับจากทีลอซู ยังไปชกมวย โดยใช้สมญาว่า "ฤทัยสิงห์ ณ อุ้งผาง" ในงาน "๑๑๖ ปี แผ่นดินดอยลอยฟ้า" ที่ทางอำเภอจัดขึ้นด้วย ซึ่งในงานพวกเราก็ได้ไปเที่ยวงานด้วย แต่พอฝนตกปรอยๆ ก็กลับที่พัก เพราะกลัวจะเป็นหวัดกัน เดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก จึงเดินไปไม่ถึงเวทีมวยที่ว่า ไม่งั้น อาจจะได้ไปเชียร์ คุณฤทัยสิงห์ ข้างเวทีก็ได้ 

      ระหว่างทางก่อนถึงทุ่งใหญ่นเรศวร พวกเราได้แวะหมู่บ้านกะเหรี่ยงเพื่อซื้อของบางอย่าง พี่อ้นไปติดใจหมูน้อยตัวหนึ่ง มิใช่ติดใจอยากกิน แต่มันเป็นหมูจริงๆ ที่น่ารักมาก เพราะมันยื่นหน้ามาจากคอก คล้ายทักทายพวกเรา พอไปใกล้ก็กระดิกหางรับยังกับหมา ครั้นให้กินมะขามป้อม(ที่เก็บได้) มันกินไปลูก แล้วคงเปรี้ยว พอให้อีกลูก มันทำเสียงร้องไม่ชอบใจแบบเด็กๆ ดูน่ารัก เลยถ่ายรูปมาด้วย 

      ทุ่งใหญ่นเรศวรที่เราไปนี้ หลายคนอาจจะคุ้นว่า น่าจะอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะทุ่งใหญ่นเรศวร  เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่กินอาณาบริเวณตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรี จนถึงจังหวัดตาก และเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยส่วนที่อยู่ในเมืองตาก เป็นทุ่งใหญ่ด้านตะวันออก แหม! รู้สึกงวดนี้ พวกเราจะมาเที่ยวแต่ที่ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศทั้งนั้นเลยแฮะ เมื่อไปถึงทุ่งใหญ่ฯ เพิ่งจะบ่ายต้นๆ  เห็นมีเต็นท์หน้าตาสวยงามแบบกระโจมบางส่วนกางอยู่แล้ว พวกเราก็คิดว่าเป็นเต็นท์ของเรา แต่เปล่าหร๊อก ของคนอื่นที่เขาสั่งจองมา แต่ตัวยังมาไม่ถึงต่างหาก แถมเต็นท์ของเราที่ได้ ก็เป็นแบบสามเหลี่ยมธรรมดา ธรรมดาอย่างที่เราเห็นๆ กันนั่นแหละ 

      ตอนที่กางเต็นท์เสร็จ เนื่องจากยังมีเวลา และ ยังสว่างอยู่ พวกเด็กๆ ก็คิดจะเดินเข้าไปในป่า ตามแผนที่ที่เขาปักไว้ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ ห้ามไม่ให้เข้าไป  เนื่องจากช่วงที่เราไปนั้น สัตว์ป่าอย่างเสือโคร่ง และช้างมันเดินเพ่นพ่านอยู่ใกล้ๆ เขตฯ และวันก่อนเรามา ช้างป่าก็ออกมาเหยียบมอเตอร์ไซด์ พังคันหนึ่งแล้ว (สงสัยหมั่นไส้) เขาเลยไม่ให้เดินซี้ซั้วเข้าไปเอง หากไม่มีเจ้าหน้าที่พาไป และเจ้าหน้าที่ก็ดันไม่ว่างพาไป พวกเราไม่รู้จะทำอะไรดี ส่วนหนึ่งก็เลยนอนเอาแรง อีกส่วนก็ไปเล่นเปตอง(ที่มีอยู่)แถวนั้น ส่วนคุณไกด์สิงห์ ตอนนี้สวมวิญญาณเป็นกุ๊ก(Cook) จัดเตรียมอาหารไปพลางๆ โดยเฉพาะหมูกระทะ ที่เจ้าตัวคุยว่า อร่อยที่สุดในแถบนี้ (ก็มีอยู่เจ้าเดียว) นอกจากหมูกะทะ เมนูพิเศษในป่าแล้ว ไกด์สิงห์ยังเอาไม้ไผ่สดมาตัดเป็นกระบอกน้ำ ทำหูเสร็จสรรพ ให้ใช้เป็นถ้วยกาแฟได้อีกต่างหาก โก้เก๋ เข้ากับบรรยากาศน่าดู ไกด์ที่เปลี่ยนเป็นกุ๊กสิงห์ คุยว่า แถบนี้ ไม่มีไกด์ไหนทำถ้วยกาแฟไม้ไผ่ให้ลูกทัวร์อย่างเขาได้ พี่อ้นไม่ค่อยเชื่อ ก็เลยลองเดินเร่ไปคุยกับลูกทัวร์กรุ๊ปอื่น ที่เริ่มมากางเต็นท์อยู่ใกล้ๆ เราดู จริงแฮะ  ไกด์อื่นทำไม่เป็นจริงๆ แถม พอไปคุย ลูกทัวร์กรุ๊ปอื่นอยากให้ไกด์ของตนทำให้บ้าง พี่อ้นเลยต้องรีบกลับเข้ากลุ่ม กลัวไกด์อื่นมาอัด ฐานทำให้ลูกทัวร์ของเขาเกิดความต้องการเกินความสามารถไกด์ขึ้นมา 

      เมื่ออาบน้ำ กินข้าว/หมูกะทะแล้ว หลังจากที่เขาปิดเครื่องปั่นไฟตอนสามทุ่ม เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ได้มาพาพวกที่มาพักไปเดินส่องสัตว์ป่า แต่ให้ไปเป็นกลุ่มใหญ่ (ซึ่งก็ใหญ่จริงๆ เพราะกลุ่มหนึ่งเกือบห้าหกสิบคนได้กระมัง ทำให้เวลาเดิน แม้จะระวังก็ยังเสียงดัง) สัตว์ที่เราเห็นเลยเป็นเพียงเก้ง กวางสองสามตัว ซึ่งหากไปน้อยๆ คน  เราอาจจะเห็นพวกมันออกมากินโป่งดิน (ดินที่มีเกลือ) เป็นกลุ่มใหญ่กลางทุ่งก็ได้ แต่นี่พี่อ้นว่า แทนที่เราจะเห็นเก้ง กวางกลุ่มใหญ่ พวกสัตว์มันคงแอบเห็นเราเป็นกลุ่มใหญ่แทน  และอาจจะคิดว่า "ตัวอะไรว้า มาเป็นฝูงเลย" ก็ได้นะ กลับมาเต็นท์ เห็นแสงวิบวับตรงธารน้ำด้านหลังที่เราพัก ครั้งแรกคิดว่าหิ่งห้อย แต่ก็ไม่เห็นต้นลำพู  ตอนหลังไกด์ที่ไปด้วยบอกเป็น หนอนเรืองแสง มันมีแสงเหมือนหิ่งห้อยเลย จับตัวมาดู เป็นหนอนตัวเล็กๆ สีดำๆ แปลกดี ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ช่วงเย็น ระหว่างทำอาหาร  เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาคุยกับกลุ่มต่างๆ พร้อมเตือนว่าในป่านั้น สิ่งอาถรรพ์ หรือเรื่องเหลือเชื่อบางอย่าง ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ยังมีอยู่ ดังนั้น ขอให้พวกเราให้ความเคารพ  และอย่าพูดอะไรที่เป็นการลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง ซึ่งพวกเราก็เชื่อ และทำตามอยู่แล้ว เพราะเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่กระนั้น พี่อัจฯ ยังถูกลองใจ  เพราะขนาดนอนตรงกลางอยู่ระหว่างพี่อ้น และทอม ในเต็นท์ ยังรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรดำๆ มาไต่ตั้งแต่ปลายเท้า จนถึงหน้า พอปัดออก ก็หายไป ดีว่าไม่ทำอะไรมากกว่านั้น เพราะพี่อัจฯ ก็ไม่ได้คิด หรือ ทำอะไรลบหลู่อยู่แล้ว 

     วันสุดท้ายเมื่อออกจากทุ่งใหญ่แล้ว ก่อนเดินทางสู่เส้นทางคดโค้ง  เภสัชฯ จำเป็น หรือ ดีเทลหนุ่ย ก็แจกยากันเมาอีกครั้ง ดังนั้น ต่อให้ข้างทางมีทิวทัศน์สวยงามเพียงใด พวกเราก็รับรู้แบบเบลอ คล้ายๆ "ในฝัน" อยู่ตลอดเวลา เพราะหากตื่นขึ้นอย่างจริงๆ จังๆ อาจ "ฝันร้าย" แทน เนื่องจากทางมัน มิใช่เดี๋ยวโค้งๆ แต่มันโค้งแล้ว โค้งอีก เฝ้าแต่โค้ง จนแม้เรากินยาแล้ว ก็ยังรู้สึกโครงเครง กว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็ถึงตลาดริมเมย ซึ่งส่วนใหญ่ขายพลอยพม่า และของกินของใช้แบบที่เราเห็นตามชายแดนทั่วๆ ไป ดังนั้น  พวกเราจึงไม่ได้ซื้ออะไรมาก แต่แวะจังหวัดกำแพงเพชรกินข้าวเย็น ที่กลายเป็นข้าวดึก แล้วก็ตรงดิ่งกลับกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเราเลย 

     ระหว่างทางกลับ พี่อัจฯ โทรนัดแนะบอกสามีว่า ไม่ต้องมารับแล้ว เพราะกว่ารถจะถึงกรุงเทพฯคงเกินเที่ยงคืนแน่ ดังนั้น จะกลับแท็กซี่กับลูกชายเอง แถมคุยอวดสามีว่า  ต้องนั่งรถผ่านทางโค้งมาตั้ง ๑,๘๐๐ กว่าโค้งแน่ะ พวกเราในรถนั่งมองหน้ากัน เอ๊ะ ! ที่เรารู้มันแค่ ๑,๒๐๐ กว่าโค้งเองนี่นา นั่งมาด้วยกัน ทำไม๊ ทำไม  พี่อัจฯ นับได้ถึงพันแปดร้อยโค้งไปได้(ว่ะ) พอถามดู พี่เขาเลยบอกว่า "ก็พี่นับทุกโค้งนับตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ ไปด้วยไง" เฮ้อ ! มิน่า นึกว่าพูดผิด เพราะเมายาเภสัชฯหนุ่ย ซะแล้ว 

.....................................

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook