ย้อนวันวานที่พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์

  ฝนยังคงโปรยปรายตลอดการเดินทาง ทั่วบริเวณรอบข้างดูหม่นมัวด้วยเมฆกลุ่มใหญ่ที่เคลื่อนบดบัง ไม่ให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านม่านฝนที่โหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง จนที่ปัดน้ำฝนดูเหนื่อยล้าอ่อนแรงเพราะไม่ได้หยุดพัก ขณะที่ความหนาวเริ่มแทรกผ่านเข้ามาเยือนภายในห้องโดยสารจนกระจกเต็มไปด้วยฝ้าขาวโพลน

  จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ  แหล่งรวบรวมตะเกียงนับ 10,000 ดวง อีกทั้งของเก่าโบราณมากมายที่หาดูได้ยากในยุคสมัยนี้

  พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ ได้ตั้งตาม ชื่อ-สกุลของ คุณณรงค์ อยู่สุขสุวรรณ หรือที่ชาวปราจีนบุรี เรียกว่า เฮียพันธ์ ซึ่งแต่เดิมนั้นประกอบอาชีพรับซื้อขายของเก่าจำพวกเศษเหล็กและโลหะ ในช่วงแรกๆ มีตะเกียงเจ้าพายุที่ติดมากับพวกเศษโลหะเป็นจำนวนมากแต่ก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

  แต่เมื่อมีคนมาซื้อและได้ให้ราคาเป็นดวง ซึ่งสูงกว่าการขายเป็นกิโลกรัมเหมือนเศษโลหะ โดยให้ราคาดวงละ 50 บาท จึงได้คัดแยกไว้ขายให้คนที่ต้องการเพราะเริ่มมีคนสนใจมากขึ้น

 เพื่อที่จะนำไปตกแต่งให้สวยงามและขายต่อให้ชาวต่างประเทศในราคาสูง ราคาจึงพุ่งขึ้นถึงดวงละ 100 บาท นับเป็นราคาที่สูงมากในขณะนั้น

  คุณณรงค์ จึงเริ่มสงสัยและถามผู้ที่มาซื้อจึงได้ทราบเรื่องและฉุกคิดขึ้นมาว่าหากขายออกไปจำนวนมากอาจทำให้ตะเกียงเจ้าพายุซึ่งเป็นตะเกียงที่มีเอกลักษณ์สวยงามและทนทานหมดไปจากประเทศไทยและคนรุ่นหลังอาจไม่รู้จักเพราะไม่เคยเห็นตะเกียงแบบนี้

  จึงได้ตัดสินใจเริ่มสะสมโดยตะเกียงดวงแรกก็คือตะเกียงขนาด 100 แรงเทียน แม้จะดูเหมือนตะเกียงเจ้าพายุทั่วไป แต่เป็นแบบ ดวงเล็กเห็นแล้วชอบจึงเก็บเอาไว้ และเริ่มมีตะเกียงแบบแปลกๆมากขึ้น

 และเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักต่างก็ซื้อมาฝากด้วย ทำให้ตอนนี้คุณณรงค์มี ตะเกียงเจ้าพายุ ที่หลากหลายมากกว่า 10,000 ดวง นอกจากนี้ยังเป็นแบบที่แปลกและหายาก เช่นพวกเปโตแมก 835,834,300 หรือ พวกโคลแมน-ทิลเลย์

บนพื้นที่ 17 ไร่ ของ พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ ถูกแบ่งออกเป็น 5 อาคาร ที่ใช้จัดแสดงของเก่าหายากไว้อย่างเป็นสัดส่วน เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่ผ่านประตูทางเข้าใหญ่ จะปรากฎสระน้ำพุที่อยู่ด้านหน้าทางเข้าสู่ตัวอาคารหลักๆโดยผ่านจุดบริเวณต้อนรับจำหน่ายตั๋วเข้าชมและร้านขายของที่ระลึก

สวนพรรณแมกไม้นานาชนิดดูร่มรื่นเมื่อก้าวพ้นจากประตูสู่ด้านใน ความเขียวขจีของดอกไม้ใบหญ้าเด่นชัดขึ้น หลังจากผ่านการชำระล้างจากสายฝนที่ยังคงโปรยปรายและดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อาคารที่เราจะต้องเดินผ่านเป็นจุดแรก คือ

อาคารราชาวดี  เป็นอาคาร 2 ชั้น แบ่งการจัดแสดงไว้เป็นประเภท ชั้นล่างจัดแสดงของเก่าโบราณ อาทิเช่น เครื่องเงิน , เครื่องทองเหลือง , ถ้วยชาม , นาฬิกาโบราณ ทั้งแบบแขวนและแบบตั้ง ของใช้ต่างๆ

รวมทั้งเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ ที่เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยเห็น หากเราเข้ามาภายในให้สังเกตุด้านบนของเพดานจะเห็นตะเกียงนับร้อยถูกแขวนติดไว้มากมาย

  ถัดมาเพื่อเดินสู่บรรไดขึ้นไปชั้นสอง ก็จะผ่านร้านกาแฟเล็กๆ ที่จำลองเอาบรรยากาศสมัยรุ่นคุณปู่- คุณย่า มาให้คนรุ่นหลังได้ย้อนและเห็นภาพ ว่าเมื่อก่อนโน่นร้านกาแฟมีหน้าตาความแตกต่างกับปัจจุบันอย่างไร

  เมื่อขึ้นไปยังชั้น 2 ก็จะเห็นร้านตัดผม มีอุปกรณ์ทั้ง เก้าอี้ แป้งฝุ่น กรรไกรตัดผม มีดโกน ที่อยู่ในตำแหน่งพร้อมที่จะให้บริการ ชั้นสองเป็นการจัดแสดงตะเกียงเจ้าพายุโบราณหายากมีเพียงจำนวนไม่กี่อันในโลก

โดยแต่ละอันจะมีป้ายบอกชื่อรุ่น ยี่ห้อ ประเทศที่ทำการผลิต ที่มีการใช้งานแตกต่างกันออกไป เช่น ตะเกียงเรือ ตะเกียงฉายสไลด์ แต่ละอันประเมินหาค่าด้วยราคามิได้

 หลังจากใช้เวลาในการชมอยู่พักใหญ่ผมเลยเดินต่อมายังอาคารที่ 2 นั้นคือ อาคารลีลาวดี อาคารนี้เป็นอาคารแฝดที่เชื่อมต่อกันทั้งหมดมีสองชั้นรวม 6 ห้องโดยแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างประกอบไปด้วย

ห้องราชพฤกษ์ ได้จัดแสดงเกี่ยวกับถ้วยชามโบราณ ถาดกระเบื้อง โถพู ขวดน้ำมะเน็ด ซึ่งเป็นขวดน้ำอัดลมในสมัยก่อน

ห้องชัยพฤกษ์ ส่วนใหญ่ของที่จัดแสดงจะเป็นเครื่องทองเหลืองอาทิ เชี่ยนหมากทองเหลือง ขันลงหิน เตาน้ำมันก๊าซ ตะเกีบงลาน

 ห้องกัลปพฤกษ์ ใครที่ชื่นชอบเกี่ยวกับเรื่องของรถจักรยานและรถจักรยานยนต์ ต้องไม่พลาด ภายในห้องนี้ได้รวบรวมรถจักรยานหลากหลายยี่ห้อรวมไปถึงรถจักรยานยนต์ที่มีหลักการทำงานเป็นสองส่วนคือจะใช้เป็นจักรยาน(ถีบ) หรือเป็นรถจักรยานยนต์ ก็ได้

ห้องทองกวาว ห้องนี้เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆเพราะภายในห้องนี้เป็นของสะสมที่เป็นของเล่นสังกะสีโดยส่วนใหญ่ และยังมีสามล้อถีบของเด็กใน ที่จะได้เห็นวิวัฒนาการของของเล่นในอดีตถึงปัจจุบัน

  เชื่อว่าหากใครชมห้องนี้แล้วคงต้องนึกย้อนวันวานสมัยเมื่อครั้งยังเด็กๆแน่นอน เพราะ ของเล่นบางอย่างเราอาจไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานานแล้ว

 ห้องทองหลาง ภายในห้องนี้ได้จัดแสดงในเรื่องของพระ เช่นพระผง พระเหรียญรวมถึงรูปพระเก่าไว้มากมายหลายแบบ รวมทั้งพระเครื่องที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดอื่นทั่วทั้งประเทศไทย โชนนี้เซียนพระอาจต้องมาลองชมดูครับ

ห้องทองพันชั่ง เป็นการรวบรวมเกี่ยวกับ เครื่องคำนวณ ตราชั่งและเครื่องตวงวัด ในรูปแบบต่างๆ เช่น ตราชั่งคัน ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ในการจัดแสดงของอาคารหลังนี้

ได้จัดแสดงสิ่งของออกเป็นหมวดหมู่ โดยในแต่ละห้องจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ต้องขอบอกเลยว่าของบางอย่างเกิดมาก็เพิ่งมาเห็นเอาที่นี้แหละครับ

 อาคารที่ 3 อาคารชวนชม อาคารนี้เป็นอาคารชั้นเดียว อาคารแห่งนี้จัดแสดงในเรื่องของรูปเก่าของเมืองปราจีนบุรีในสมัยก่อน และรูปของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จมาเยือนจังหวัดปราจีนบุรี ณ วัดแก้วพิจิตร

 และยังมีหนังสือเก่านานาชนิด เช่น หนังสือพิมพ์ที่วางจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 หนังสือการ์ตูน และสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของแสตมป์ ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงแสตมป์ที่สำคัญๆไว้หลายชุดด้วยกัน

รวมึงยังมีล็อตเตอรี่รุ่นแรกของไทยอีกด้วย หากใครอยากย้อนอดีตที่ผ่านมาด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์ อาจต้องถามท่านเจ้าของสถานที่ก่อนนะครับ เพราะทุกอย่างจัดอยู่ในตู้อย่างเป็นระเบียบ

อาคารที่ 4 อาคารเจ้าพายุ อาคารนี้เป็นอาคารที่สร้างตามแบบของตะเกียงเจ้าพายุ โดยมีส่วนสูงประมาณ 13 เมตร ซึ่งภายในของอาคารนี้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเพื่อชมวิวโดยรอบได้ และถือว่านี้อาจเป็นตะเกียงที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

ระหว่างทางเดินไปสู่อาคารหลังสุดท้าย อาคารที่ 5 อาคารฟ้าประดิษฐ์ เราจะผ่านสระน้ำที่ภายในสระแสดงรูปปั้นวรรณคดีไทย เรื่อง พระอภัยมณี

  ตัดผ่านกรงนกขนาดใหญ่ ขวดเหล้าโบราณยี่ห้อกวางทองขนาดยักษ์ ที่ผลิตในจังหวัดปราจีนบุรี รวมถึงบ่อเลี้ยงจระเข้ที่อยู่ด้านหลังสุดของพิพิธภัณฑ์อยู่สุวรรณ ไว้ให้ขนลุกเล่น

อาคารที่ 5 อาคารฟ้าประดิษฐ์ ซึ่งที่นี้ท่านจะได้พบกับเรือหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเรือขุดที่ใช้ต้นไม้ตะเคียนและไม้สักทั้งต้น มาทำเรือขุดเพียงลำเดียว อีกชิ้นหนึ่งหากใครไม่เคยเห็นเตารีดสมัยก่อนที่ใช้ถ่านเผา

ไฟแทนไฟฟ้าก็สามารถเจอได้ ณ อาคารหลังนี้ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตสมัยก่อน ไว้ให้ได้ศึกษาอีกด้วย

  เรื่องราวในอดีตอาจบอกกล่าวเล่าต่อจากรุ่นสู่รุ่น แต่ของบางอย่างก็บอกความหมายผ่านกาลเวลาได้ชัดเจนเช่นกัน การมาเยือน พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์ ครั้งนี้ผมได้รับการบอกเล่าเรื่องราว ผ่านของที่ครั้งหนึ่งเคยไร้ซึ่งความหมายในการใช้งาน

  บางสิ่งถูกมองข้ามจนเก่าผุพังไม่ก่อเกิดประโยชน์ กลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือน เมื่อมีของที่ทันสมัยเข้ามาใช้แทน แต่ของทุกอย่างที่ทางพิพิธภัณฑ์นำเอามาจัดแสดง ล้วนแล้วแต่มีชีวิตเชื่อมต่อกาลเวลาที่ผ่านมาให้มีความหมายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

  แสงลอดส่องผ่านม่านฟ้าถึงเบื้องล่างเป็นประกายแดดให้ทุกอย่างรอบข้างมีสีสัน ต้นไม้ใบหญ้าที่จมราบแนบดิน ออกห่างพื้นขึ้นตั้งชูอีกครั้งหลังจากสายฝนหยุดหล่นทับ

ฟ้าเริ่มโปร่งใสก่อนที่เมฆกลุ่มใหญ่ก้อนใหม่จะเข้ามาแทนที่...แล้วไม่นานสายฝนก็โปรยปรายอีกครั้ง...เพราะช่วงนี้เป็นฤดูกาลที่น้ำล้นฟ้าตกลงมายังพื้นดิน...อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยนะครับ

เส้นทางการเดินทาง มาพิพิธภัณฑ์ อยู่สุขสุวรรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี   มาจากกรุงเทพฯ สายรังสิต-นครนายก  มาตาม คลองรังสิต-นครนายก และจากนครนายกมาผ่านทางบ้านปากพลี ถึงสามแยกหนองชะอมมาได้ 2 ทาง คือ จากสามแยกไฟแดงหนองชะอมเลี้ยวขวาเข้าเขตอำเภอเมือง ตรงมาตลอดผ่านสี่แยกไฟแดง(ศูนย์ราชการจังหวัด)

ตรงมาเรื่อยๆพอถึงสี่แยกไฟแดง(แขวงการทาง)เลี้ยวซ้ายเข้าตัวเมือง ผ่านสถานีตำรวจภูธร ถึงสี่แยกไฟแดงให้ตรงไปสุดทางจะผ่านวัดแก้วพิจิตร เลี้ยวซ้ายจะพบสี่แยกไฟแดงชิดขวาแล้วเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ จะเจอทางสามแยกให้เลี้ยวซ้ายตรงไป

จุดสังเกตก่อน ข้ามทางรถไฟทางด้านขวามือจะเห็นที่ทำการ อบต.ดงพระราม พอข้ามทางรถไฟไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะถึง พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์

หรืออีกทางจากสามแยกไฟแดงหนองชะอมตรงไป จะถึงจุดสำคัญ คือสี่แยกวงเวียนให้ตรงไปจะผ่านหน้าศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, ผ่านทางเข้าน้ำตกเขาอีโต้, ผ่านสะพาน3 สะพาน

ซ้ายมือจะเป็นปั๊มน้ำมัน ปตท. ให้เตรียมเลี้ยวขวาเข้าแยกถนนบ้านดงบัง จะมีร้านขายดอกไม้ประดับตลอดเส้นทาง ขับจนสุดถนนให้เลี้ยวขวามาทางเข้าเมืองประมาณ 1.5 กิโลเมตร ก็จะเห็น พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุววรณ์ อยู่ทางด้านขวามือท่าน

มาทางกรุงเทพฯ สายมีนบุรี ถนนสุวินทวงศ์ - บางน้ำเปรี้ยว บ้านสร้าง - ปราจีนบุรี   มาตามเส้นทางถนนสุวินทวงศ์ ประมาณ 20 กิโลเมตร จะเห็นปั๊มน้ำมัน ปตท. อยู่ด้านซ้ายมือ เลยมาอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร เจอสามแยกไฟแดงจะมีป้ายบอกว่าบางน้ำเปรี้ยว ปราจีนบุรี ให้เลี้ยวซ้ายมาจนถึงสี่แยกไฟแดงแรกให้เลี้ยวขวามาทางบางน้ำเปรี้ยว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดงที่สองให้ตรงมาจนข้ามสะพานแม่น้ำบางประกง

  เข้าเขตจังหวัดปราจีนบุรีจะผ่านโครงการส่วนพระองค์ ตรงมาตลอดจนเจอสี่แยกไฟแดงบ้านสร้าง ให้มาตามทางบ้านสร้าง ปราจีนบุรี ประมาณ 20 กิโลเมตร ก็ถึงสะพานเลี้ยวซ้ายข้ามสะพาน

จะพบสี่แยกไฟแดงให้เลี้ยวขวามาในตัวเมืองปราจีนบุรี จะเจอสี่แยกไฟแดงให้ตรงไปจนสุดทางจะผ่านวัดแก้วพิจิตร เลี้ยวซ้ายจะพบสี่แยกไฟแดงชิดขวาแล้วเลี้ยวขวาไปเรื่อยๆ จะเจอทางสามแยกรถไฟมาประมาณ 2 กิเมตร ก็จะถึง พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์