3 ร้านอาหาร 3 เหรียญโอลิมปิก

3 ร้านอาหาร 3 เหรียญโอลิมปิก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
3 ร้านอาหาร 3 เหรียญโอลิมปิก โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤศจิกายน 2547

หมูกระทะหน้าตาชวนกิน ของร้าน "สมรักษ์ ย่างเกาหลี"

"สมรักษ์ คำสิงห์" ยอดนักมวยเหรียญทองโอลิมปิกชื่อดัง หันมาเอาดีทางร้านอาหารหมูกระทะ

"การทำธุรกิจร้านอาหาร มันไม่เหมือนกับการเป็นนักกีฬา นักกีฬาต้องแข่งให้ชนะได้เหรียญ ถ้าแพ้กลับมาก็เหมือนตั๊กแตนทอดตัวหนึ่ง แต่ถ้าชนะก็โอเคได้เงิน ได้ทอง ได้อะไรเยอะแยะ แต่การทำร้านอาหารมันได้เงินทุกวัน" นี่คือคำพูดจริงๆ ที่ไม่ได้โม้ !?! ของ "สมรักษ์ คำสิงห์"หรือเจ้าบาส นักชกจอมโว โม้อมตะ วีรบุรุษเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของเมืองไทย ที่แม้ว่าในกีฬาโอลิมปิกครั้งล่าสุดเขาจะล้มเหลวกับการขึ้นสังเวียนในฐานะตัวแทนชาติไทย แต่ว่ากับกิจการหมูกระทะของสมรักษ์กับตรงกันข้าม เพราะนับวัน ยิ่งทำยิ่งโต จากสาขาเดียว ขยายเป็น 2 สาขา และในอนาคตอาจจะมีการเปิด เฟรนไชส์หมูกระทะสมรักษ์ตามมา ถ้าเจ้าบาสไม่ได้โม้!?! และไม่เพียงแต่สมรักษ์เท่านั้น กับนักกีฬาเหรียญโอลิมปิกครั้งล่าสุดอีก 2 คน อย่าง "น้องวิว" : เยาวภา บุรพลชัย นักเทควันโดเหรียญทองแดง และ "น้องแวว" : สายสุนีย์ จ๊ะนะ" เหรียญทองฟันดาปเอเป้ พาราลิมปิกเกมส์ ก็นับเป็นหนึ่งในผู้ที่มีชื่อชั้นในเรื่องของการเป็นนักกีฬา ที่คลุกคลีกับร้านอาหารเหมือนกัน หมูกระทะสมรักษ์ ของจริง ไม่ได้โม้!?! เอ่ยชื่อ สมรักษ์ คำสิงห์ หรือเจ้าบาส คนส่วนมากหากไม่นึกถึงเขาในฐานะฮีโร่นักชกเหรียญทองโอลิมปิกคนแรกของเมืองไทย ก็จะนึกถึงเขาในฐานะนักชมจอมโว ขี้โม้อมตะ แต่อีกด้านหนึ่งของเหรียญทองและด้านหนึ่งของความขี้โม้ สมรักษ์เป็นเจ้าของร้าน"สมรักษ์ ย่างเกาหลี"ที่ประสบความสำเร็จอย่างแรง!!! สมรักษ์ เล่าให้ฟังถึงความเป็นมาของการมาเปิดร้าน "สมรักษ์ ย่างเกาหลี"แห่งนี้ ให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2545 ที่เขาจะต้องไปชกมวยเอเชี่ยนเกมส์ที่เกาหลี แล้วปรากฏว่าเขาโดนตัดชื่อออกไม่ได้ไปร่วมการแข่งขัน ทำให้มีเวลาว่าง จึงอยากจะหาอะไรทำ เพื่อปั้นปลายชีวิตของเขา
ที่จริงแล้วสมรักษ์มีธุรกิจหลายอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ปั๊มน้ำมัน หมู่บ้านจัดสรร โรงงานน้ำดื่ม แต่ส่วนมากจะตั้งอยู่ที่ต่างจังหวัดเสียหมด เลยทำให้ไม่ค่อยมีเวลาได้กลับไปดูกิจการของตัวเองสักเท่าไหร่ จึงคิดอยากจะหาธุรกิจทำที่กรุงเทพ เพราะจะได้มีเวลามาควบคุมดูแลได้ง่าย ผนวกกับความที่ภรรยาอยากเปิดร้านอาหาร เขาจึงตัดสินใจจะทำธุรกิจร้านหมูกระทะ เพราะเห็นว่าระบบการดูแลและการทำงานไม่มีความยุ่งยากมากนัก "แต่กว่าผมจะเปิดร้านได้นี่ ก็ต้องคิดค้นสูตรน้ำจิ้มอยู่นาน แค่สูตรน้ำจิ้มอย่างเดียวนะ เพราะว่าผมอยากจะเปิดร้านแต่ว่าไม่มีสูตร เวลาที่ผมไปนั่งร้านอาหารไหนในกรุงเทพฯ ไปแล้วก็ไปถามระบบงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าของร้านก็แนะนำดี เพราะเห็นว่าเป็นนักมวย แต่ว่าสูตรน้ำจิ้มนี่ไม่มีร้านไหนให้ เพราะว่าเป็นสูตรของใครของมัน เราก็ว่าไม่เป็นไร กลับมาเราก็มาคิดค้นสูตรเอง" "คือคอนเซ็ปต์ผมต้องการอยากจะได้อะไรที่มันแปลก ทั้งตัวร้านและตัวสูตรอาหาร เพราะถ้าทำแบบง่ายๆ มันก็เหมือนธรรมดาไป แล้วที่เห็นส่วนมากร้านหมูกระทะมักจะเป็นเตนท์ ตั้งริมฟุตบาทมากกว่า และน้ำจิ้มผมก็อยากได้สูตรที่มันแปลกๆ ไม่เหมือนใคร ภรรยาผมใช้เวลาในการลองทำน้ำจิ้มอยู่นานเป็นเดือน ลองทำแล้วทิ้งก็หลายหม้อ ให้นักมวยในค่ายลองชิม เรียกว่าเหมือนเป็นหนูทดลองยาเลย จนในที่สุดก็ได้สูตรน้ำจิ้มที่ถูกใจ และก็เปิดร้านอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา"

น้ำจิ้ม 4 หม้อสูตรเด็ด ที่สมรักษ์ตั้งชื่อมาจากแม่ไม้มวยไทย

หลายคนอาจจะมีคำถามอยู่ในใจว่า สมรักษ์ เป็นนักมวย ผู้เก่งกาจทางด้านการชกมวย แล้วมาเปิดร้านอาหารแบบนี้ซึ่งไม่มีความชำนิชำนาญมาก่อน ไม่กลัวเจ๊งหรือ ถามไถ่เจ้าตัวบอกว่า ตอนแรกก็กลัวไม่กล้าเปิด เพราะเงินที่นำมาลงทุนกับร้านนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเงินที่ได้มาจากที่ได้รับเหรียญทองโอลิมปิก เมื่อครั้งที่ไปแข่งที่แอตแลนต้าเกมส์(โอลิมปิก1996) แล้วชนะกลับมาครั้งนั้น และช่วงก่อนที่จะเปิดร้านนั้นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีข่าวออกมาว่าเขาหมดตัว แล้วมาเปิดร้านอาหารใหญ่โตอย่างนี้ หลายคนก็กลัวว่าจะไปไม่รอด แต่เขาก็ทำให้ใครหลายๆ คนรู้แล้วว่า การที่เขาหันมาเป็นพ่อค้าก็ทำได้ดีไม่แพ้ชกมวยเหมือนกัน ถามถึงว่าสมรักษ์ เข้ามาบริหารงานดูแลร้านอาหารตรงส่วนไหนบ้าง ทำหน้าที่อะไรบ้าง สมรักษ์ตอบทันควัน ว่า "ผมเข้ามาบริหารงานแบบอยากทำอะไรก็ทำ อยากตกแต่งร้านแบบ อย่างทำนู่นทำนี่ก็ทำ อยากให้มีดนตรีก็มี อยากให้มีตลก ผมก็ติดต่อตลกให้มาเล่น แต่ว่าเกี่ยวกับระบบงาน เกี่ยวกับเรื่องน้ำจิ้ม เรื่องอาหารผมจะให้แฟนผมเป็นคนคุม อย่างถ้าวันไหนผมชิมแล้วบอกว่าทำเป็นอย่างนี้ ผมก็จะติ"

หมูกระทะหน้าตาชวนกิน ของร้าน "สมรักษ์ ย่างเกาหลี"

"ยกตัวอย่าง อย่างที่ผมอยากให้มี ด้วยความที่ผมเป็นนักมวยก็เลยอยากให้มีเวทีมวย ผมก็เลยจำลองเวทีมวยมาไว้ ซึ่งกะเอาไว้โชว์เฉยๆ แบบว่าน่ารักๆ เป็นสัญลักษณ์ว่าผมเป็นนักมวย แต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ เพราะจะมีนวม มีกระสอบทรายให้เด็กเตะ มันก็เป็นของเล่นที่แหวกแนวกว่าของเล่นตามร้านอาหารทั่วๆไป เด็กขึ้นไปเล่นกันเยอะมาก จนนี่ต้องเปลี่ยนเป็นอันที่สามแล้ว" "ชื่อน้ำจิ้มผมก็ตั้งขึ้นมาเองมี ศอกกลับ หมัดตรง จระเข้ฟาดหาง ทีเคโอ ซึ่งชื่อพวกนี้ ผมว่ามันจำง่าย และขายความแปลก เพราะผมเป็นนักมวยเลยเอาชื่อศิลปะแม้ไม้มวยไทยมาตั้งเป็นชื่อน้ำจิ้ม เรียกว่าเอาเอาเอกลักษณ์มวยไทยมาผสมผสานกับเรื่องอาหาร ให้มีความลงตัวเข้ากัน" สมรักษ์สาธยายให้ฟัง สมรักษ์ บอกต่อว่า สำหรับตอนนี้การมาเปิดร้านหมูกระทะแห่งนี้ เขารู้สึกภูมิใจกับร้านนี้มาก เพราะว่ามีลูกค้ามานั่งแน่นร้านทุกวัน และรายได้ก็ดีมีเงินเข้ามาทุกวัน ถึงตรงนี้พอถามว่า คิดว่าอะไรที่ทำให้ลูกค้ามาอุดหนุนร้านหมูกระทะของสมรักษ์เยอะ มารอต่อคิวนั่งกินกันแน่นร้านทุกวัน สมรักษ์บอกว่าส่วนหนึ่งคงมาจาก ชื่อของเขาที่ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ เป็นจุดขาย เพราะด้วยความที่ทุกคนรู้จักเขาในฐานะเป็นนักกีฬาฮีโร่เหรียญทอง และพอเมื่อลูกค้าได้ลองกินเองแล้วก็รู้ว่ารสชาติหมูกระทะร้านเขาก็ใช้ได้ ไม่ได้โม้ เหมือนอย่างชื่อ ก็เลยกลายมาเป็นลูกค้าประจำ

"ผมเปิดขยายหมูกระทะสาขา 2 ที่พระโขนง เพราะว่าที่ร้านนี้ลูกค้ามานั่งต่อคิวกันมาก เลยขยายสาขาไปเปิดสาขา 2 ที่สามแยกพระโขนง เปิดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว โครงการในอนาคตจะมีเปิดสาขาอื่นๆ อีก และจะเปิดขายเป็นแฟรนไชส์ด้วย ก็เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาเยอะแล้ว" สมรักษ์บอกแบบไม่ได้โม้ ท้ายที่สุดนี้สมรักษ์ เขาก็ฝากบอกถึงแฟนๆ มวย และคนที่ติดตามผลงานของเขาอยู่ว่า "ตอนนี้แฟนกีฬาก็คงรู้ว่าผมปิดฉากนักมวยไปแล้ว ตอนนี้ผมมาทำธุรกิจหมูย่างเกาหลี มั่นใจได้ว่าผมไม่ได้โม้ ก็มาดูว่าเป็นยังไง ทุกคนมาแล้วก็บอกเป็นเสียงเดียวว่า ไม่ได้โม้จริงๆ เพราะของนี่ผมไม่เอาเปรียบลูกค้า คอนเซปต์ผมคือว่า ผมจะไม่เอาเปรียบลูกค้า ถ้าไม่ดีตรงไหนขอให้บอก ผมไม่ได้เป็นคนโลภมาก ผมแค่พออยู่ได้ แค่มีร้านมีพรรคพวกมานั่ง ผมก็แฮปปี้แล้ว ตรงนี้ผมถือว่าผมคืนกำไรให้กับผู้มาบริโภคมากกว่า" สมรักษ์กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงใจ

"น้องวิว" กับร้านโจ๊กของแม่ หยุดขาย (ชั่วคราว)เพราะความดัง

"น้องวิว" เยาวภา บุรพลชัย เมื่อครั้งได้มีโอกาสทำโจ๊กให้นายกทักษิณกิน

อีกหนึ่งร้านอาหารของนักกีฬาโอลิมปิกที่ดังไม่แพ้กันถึงขนาดที่ว่าเคยทำให้ท่านนายกทักษิณกินมาแล้วเชียวนะ หลายคนเริ่มร้อง อ๋อ!! หลายคนยังนึกไม่ออกว่าเป็นร้านของใคร เอาเป็นว่าขอเฉลยเลยละกันว่าก็ร้าน "โจ๊กแม่น้องวิว" ที่ตอนนี้ดังไม่แพ้ "น้องวิว" เยาวภา บุรพลชัย นักกีฬาเทควันโดเหรียญทองแดง เอเธนเกมส์ หรือโอลิมปิกครั้งล่าสุดที่เพ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ "ร้านโจ๊กนี้ไม่มีชื่อ เพราะว่าอาศัยอยู่ในแฟลต ปตอ. ตรงแจ้งวัฒนะ พอดีทางแฟลตเขาก็มีร้านสวัสดิการให้เช่าร้าน ก็เข้ามาเช่าแล้วก็ขายโจ๊กมาตลอด ขายมาได้ประมาณ 7-8 ปีแล้ว เรียกว่าน้องวิวก็โตมากับโจ๊กร้านนี้เลย ตอนเช้าๆ จะไปโรงเรียนก็ต้องกินโจ๊กใส่ไข่ เพราะว่าสมัยก่อนแถวนี้จะไม่มีอะไรขายเลย" สมศรี บุรพลชัย แม่ของน้องวิวพูดถึงร้านโจ๊กให้ฟังพอสังเขป ถามว่าตอนนี้น้องวิวกำลังดังเปรี้ยงปร้างจากการที่เป็นนักกีฬาโอลิมปิกเหรียญทองแดง และเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้นอย่างนี้ ส่งผลให้ร้านโจ๊กของแม่น้องวิวเป็นที่รู้จักและมีคนมาซื้อโจ๊กเยอะขึ้นไหม เรื่องนี้แม่น้องวิวกลับตอบว่า เป็นที่น่าเสียดายที่ตอนนี้ร้านโจ๊กหยุดขายมานานแล้ว ตั้งแต่ที่ตอนไปรับน้องวิวที่กรีซ และช่วงนี้ก็ไม่มีเวลา เพราะต้องเป็นดูแลน้องวิวในเรื่องของการเดินทางไปโชว์ตัวตามงานต่างๆ จึงทำให้ต้องหยุดขายและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเปิดร้านขายโจ๊กอีก แต่ก็มีลูกค้าแวะเวียนมาถามไถ่ถึงบ้างว่าโจ๊กร้านแม่น้องวิวเมื่อไหร่จะเปิดขายเสียทีจะได้มากิน

ใครๆ ก็พูดว่าตอนนี้น้องวิวกำลังดัง ทำอะไรก็เป็นที่สนใจของหลายๆ คน อย่างเรื่องร้านโจ๊กแม่น้องวิวที่เป็นที่รู้จักได้ จนถึงขนาดที่ว่าได้ไปทำให้นายกทานมาแล้ว ก็เพราะมาจากความดังของตัวน้องวิวเอง เรื่องนี้มีคนพูดกันหนาหูว่าคุณแม่คิดจะเอาความดังของน้องวิวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ช่วยให้ร้านโจ๊กดังไปด้วยหรือเปล่า "แม่ไม่ได้คิดว่าจะเอาความดังของน้องวิวมาช่วยทำให้ร้านโจ๊กขายดีขึ้น มีคนพูดเหมือนกันว่าตอนนี้ถ้าคิดจะทำทำก็ทำ เพราะว่ากำลังดัง และก็มีคนพูดเยอะว่าน้องวิวมีส่วนทำให้ร้านดังได้ อันนี้ก็ว่ามีส่วนเหมือนกัน แต่ว่าการที่เราจะทำให้คนทานได้ ต้องอร่อยด้วย ถ้าเกิดเราทำไม่อร่อย คนก็ไม่มาทานอยู่ดี แต่ว่าชื่อน้องเขาก็มีส่วนทำให้คนรู้จักว่าแม่น้องวิวขายโจ๊ก" แม่น้องวิวชี้แจง คุยกับแม่น้องวิวมาก็เยอะ ถ้าจะไม่คุยกับ "น้องวิว" (เยาวภา บุรพลชัย) ก็คงไม่ได้ เพราะอย่างน้อยๆ ร้านโจ๊กเล็กๆ ร้านนี้ก็เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้เธอโตขึ้นมาเป็นนักเทควันโดเจ้าเหรียญทองแดงขวัญใจของชาวไทยในตอนนี้ "หนูก็ช่วยคุณแม่ขายมาโจ๊กตั้งแต่เด็ก และก็กินโจ๊กของที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าแถวนี้ไม่มีอะไรขาย ก็ต้องกินโจ๊กที่บ้านตัวเอง หนูก็คิดว่าโจ๊กที่บ้านก็มาตรฐานเหมือนโจ๊กทั่วๆ ไป ก็อร่อยดี" น้องวิวพูดถึงร้านโจ๊กของคุณแม่ที่เธอกินมาตั้งแต่เด็ก ถามน้องวิวว่าตอนนี้ดังเป็นพลุแตก ใครๆ ก็รู้จักน้องวิวกันทั้งบ้านทั้งเมือง น้องวิวคิดว่าที่ตัวเองกำลังดังอยู่ในขณะนี้จะเป็นตัวช่วยพลอยพาให้ร้านโจ๊กของแม่ดังไปด้วยหรือเปล่า "ก็คงจะช่วยให้ดังมั้งคะ เพราะว่าถ้าหนูไม่ได้เหรียญกลับมา ก็คงไม่มีใครรู้จักว่าแม่หนูขายโจ๊ก" น้องวิวตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจเล็กๆ

" 258 สเต็ก" ร้านเล็กๆ ของ "สายสุนีย์" หญิงแกร่ง

ถ้าใครเคยไปเมืองทองธานี แล้วเคยแวะเวียนผ่านไปทางตึกที 5 จะด้วยความตั้งใจ หรือว่าหลงทางไป อันนี้ไม่ว่ากัน แต่ถ้าเคยสังเกตข้างๆ ทางที่ขับรถผ่านไป บริเวณใต้ตึกที 5 นั้นจะเห็นว่ามีร้านสเต็กเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง มีชื่อติดป้ายร้านไว้ว่าชื่อ "258 สเต็ก" แล้วละก็ อยากจะบอกว่าให้จอดรถแล้วลองเข้าไปนั่งในร้านดู จะเห็นผู้หญิงร่างเล็กๆ นั่งวิลแชร์ออกมาต้อนรับลูกค้าอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส หลายๆ คนอาจจะแปลกใจ แต่ถ้าใครตามข่าวก็จะรู้ได้ว่า ร้านสเต็กร้านนี้ มีสายสุนีย์ จ๊ะนะ (แวว) นักกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ที่เพิ่งไปคว้าเหรียญทองฟันดาบเอเป้ เป็นเจ้าของร้าน "ร้านอาหารนี้เพิ่งเริ่มได้ประมาณ 5 เดือน เพราะว่าพอดีเพื่อนอยู่ที่นี่ เขาเซ้งร้านนี้ต่อจากเจ้าของเก่า แล้วช่วงนั้นพอดีกำลังจะเก็บตัวที่จะไปแข่งขันที่กรีซพอดีเหมือนกัน เพื่อนโทรมาบอกว่า มีร้านสเต็กอยู่ร้านหนึ่งเขาจะให้เซ้งต่อสนใจไหม ด้วยความใฝ่มันอยากมีร้านอาหารอยู่แล้ว และเป็นคนที่ชอบทำกับข้าว ชอบกินด้วย เลยตอบตกลงว่าจะทำ" "แต่จริงๆ แล้วตั้งใจอยากจะทำร้านอาหารอีสาน แต่พอดีจังหวะที่ร้านสเต็กนี้เขาอยากจะเซ้งให้พอดี และสเต็กก็เป็นอาหารเหมือนกัน เราก็เลยตกลง โดยร่วมลงทุนกับเพื่อน 2 คนที่เป็นคนพิการเหมือนกัน แต่ส่วนมากที่ร้านนี้เพื่อนจะเป็นคนคอยบริการ ตัวเองจะไม่ค่อยมีเวลาได้มาสักเท่าไหร่ เพราะว่าเก็บตัว แล้วจะเข้ามาเฉพาะเสาร์อาทิตย์ ส่วนมากจะเข้ามาทุกวันเสาร์ตอนเย็น" แววเล่าที่มาที่ไปของร้านนี้ให้ฟัง

"258 สเต็ก" ร้านอาหารเล็กๆ ตามความฝันของสายสุนีย์

"สายสุนีย์ จ๊ะนะ" (แวว) หญิงแกร่งที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แววบอกว่าตั้งแต่ร้านนี้เปิดมาได้ประมาณ 5-6 เดือนนี้ ลูกค้าก็ให้การตอบรับดี เป็นเพราะว่าที่จริงร้านนี้ก็มีลูกค้าประจำอยู่แล้ว และด้วยความที่ร้านขายอาหารฝรั่ง โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเวียร์ก็ตั้งอยู่ตรงนี้ด้วย จึงทำให้มีลูกค้าประจำ แต่ทางร้านก็ได้มีการคิดเมนูใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมา จากที่เคยเป็นอาหารฝรั่งเสียเกือบหมดทุกอย่าง ก็ทำการปรับเปลี่ยนให้มีอาหารอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็น ส้มตำ ลาบ หรือว่าอาหารตามสั่งทั่วๆ ไปเพิ่มเติมขึ้นมา ถามแววว่าตอนนี้ตัวเองก็ดังพอสมควรแล้ว คิดว่าด้วยความดังของเราจะช่วยทำให้คนรู้จักร้านสเต็กเราขึ้นหรือเปล่า แววหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะตอบว่า "ก็ไม่แน่ใจ คือถ้าให้มองว่าเราเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียง และดัง แล้วทำให้คนเข้าร้านเยอะ อันนี้คิดว่ายังไม่ใช่ ยังไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย แต่ก็เห็นน้องๆ บอกว่ามีคนมาถามเหมือนกันว่า ร้านเหรียญทองเหรอเดี๋ยวจะเข้ามากิน ลูกค้าคงอยากจะมาเจอเรา แต่ลูกค้ามาก็ไม่ค่อยจะได้เจอ เพราะว่าเราไม่ค่อยเข้าร้าน ด้วยความที่ไม่มีเวลาจริงๆ" ถึงแม้แววจะบอกว่าตัวเองไม่ค่อยมีเวลาเข้าดูแลร้านสักเท่าไหร่ ด้วยความที่กีฬาฟันดาบก็ยังต้องเล่น ต้องซ้อมต่อไป และภารกิจอย่างอื่นอีกมากมายที่ตามมาอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้ดูเหมือนว่าเธอจะต้องเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ถามว่าระหว่างการเป็นนักกีฬากับมาเป็นเจ้าของบริหารร้านอาหารแบบนี้อันไหนเหนื่อยกว่ากัน แววบอกว่าถ้าถามตอนนี้ขอบอกว่าเป็นนักกีฬาเหนื่อยกว่า เพราะต้องซ้อมหนัก แต่การเป็นเจ้าของร้านสเต็กไม่เหนื่อยมากนัก เพราะแววไม่ได้ลงมาคุมด้วยตัวเองเต็มที่จะเป็นเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนดูแลมากกว่า

แววกำลังเอร็ดอร่อยกับลาบทอด เมนูโปรดที่มีขายในร้านด้วย

"มันมีความแตกต่างกัน คือนักกีฬามันจะมีความรับผิดชอบในตัวเอง รับผิดชอบในหน้าที่เหมือนกัน แต่ร้านอาหารนี่ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเหมือนกัน คือ ลูกน้องเราด้วย ถ้าเราบริหารไม่เป็น หรือว่าเราทำอะไรให้มันไม่ดีขึ้นทุกคนก็ตายกันหมด แต่ถ้าเป็นการฟันดาบ มันอยู่ที่ตัวเรา เราทำด้วยตัวเอง ถ้าทำไม่ดีก็ตัวเรา แต่ถ้าร้านอาหารมันต้องคุมหลายๆ อย่าง ลูกน้อง ผู้บริโภคด้วย ว่าเราทำดีไหม ทำอร่อยไหม ลูกน้องเราด้วยถ้าเราไปไม่รอดเขาจะอยู่อย่างไร ถามว่าอะไรเหนื่อยกว่ากัน ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นนักกีฬาเหนื่อยกว่า เพราะว่าตรงร้านอาหารนี่เราไม่ได้ทำเต็มที่" แววบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายสุนีย์ จ๊ะนะ ผู้หญิงร่างเล็กๆ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้วิลแชร์ ทำหน้าที่ทั้งเป็นนักกีฬาพาราลิมปิกของประเทศ และอีกหน้าที่หนึ่งคือการเป็นเจ้าของดูแลกิจการร้านสเต็กร้านเล็กๆ ร้านนี้ขอเธอ เธอต้องทำหน้าที่ทั้ง 2 อย่างของเธอให้ออกมาดีที่สุด เมื่อเธอเหนื่อยและท้อขึ้นมาเธอมักจะคิดถึงตัวเอง และครอบครัวก่อนเสมอ เพราะถ้าเธอไม่ทำแล้วครอบครัวเธอจะอยู่ได้อย่างไร "แววจะพูดกับตัวเองเสมอว่าถ้าเราไมทำ แล้วคนข้างหลังจะทำยังไง ก็เลยเริ่มใหม่ เริ่มใหม่ตลอด เหมือนกับล้มก็ลุกขึ้นมาเริ่มใหม่ ถ้าเวลาแววท้อ แววจะคิดไว้ก่อนว่าถ้าแววไม่ทำแล้วทางบ้านจะทำยังไง น้องแววจะได้เรียนไหม แล้วพ่อแววจะทำยังไง ถ้าเราล้มเราไม่สู้ เราจะอยู่ยังไง ในกรุงเทพค่าใช้จ่ายก็เยอะแยะ เราก็เลยต้องสู้เพื่อตัวเองและเพื่อคนที่บ้าน เพื่อพ่อแม่ เพื่อน้อง ทุกวันนี้รายได้ก็มาจาก การเป็นนักกีฬา แล้วก็จากร้านอาหารร้านนี้" แววฝากบอกถึงลูกค้าทุกคน ที่อยากจะมาอุดหนุนร้านสเต็กของเธอว่า "ฝากถึงลูกค้านะคะ ยังไงถ้าอยากกินสเต็ก รับรองว่าสเต็กที่นี่อร่อยจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้มีแค่สเต็ก เรามีอาหารทุกอย่าง ตามสั่งทุกอย่าง เท่าที่ร้านอาหารจะมีได้ ก็เลยอยากจะให้ช่วยมาอุดหนุนหน่อย เพราะว่าตอนนี้ที่ร้านก็ยังไม่ได้อะไรมากมาย ก็พออยู่ได้ แถบจะไม่ได้กำไรเยอะ เพราะแถวนี้ก็มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ถ้ายังไงก็เห็นใจแววก็มาอุดหนุนกันหน่อย รับรองว่าอร่อยคะอร่อยจริงๆ" แววพูดด้วยน้ำเสียงเชิญชวน

ข้อมูลจาก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook