"Lvcca" ร้านอิตาเลียนน้องใหม่สไตล์ทัสคานีที่ให้คุณสัมผัสอาหารรสเยี่ยมในราคาโดนใจ

"Lvcca" ร้านอิตาเลียนน้องใหม่สไตล์ทัสคานีที่ให้คุณสัมผัสอาหารรสเยี่ยมในราคาโดนใจ

"Lvcca" ร้านอิตาเลียนน้องใหม่สไตล์ทัสคานีที่ให้คุณสัมผัสอาหารรสเยี่ยมในราคาโดนใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้จะเพิ่งเปิดมาได้ไม่กี่เดือนแต่ร้านอาหารอย่าง "Lucca" ก็เริ่มสร้างชื่อเสียงด้วยฝีมือการทำอาหารอิตาเลียนอันยอดเยี่ยมที่ดึงดูดทั้งลูกค้าใหม่และสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเก่าจนวนเวียนกลับมาทานกันเนืองๆ กลายเป็นลูกค้าประจำกันไป

ได้ยินข่าวลือหนาหูถึงความอร่อยของร้าน Lucca เราเลยไม่พลาดที่จะพาทุกคนไปชิมพร้อมๆ กันค่ะ

2

Lucca ตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 65 เข้ามาได้ทั้งจากฝั่งสุขุมวิท และจากซอยปรีดี 15 (แยก 3)

1

ใครที่ขับรถมาไม่ต้องเป็นห่วงเลยค่ะ เพราะทางร้านจัดเตรียมลานจอดรถกว้างขวางไว้ให้ จอดได้หลายสิบคันไม่ต้องกังวล

แม้จะดูเหมือนต้องเข้าซอยไปค่อนข้างลึก แต่ความที่ปลีกตัวออกมาจากความจอแจก็ทำให้ร้านมีบรรยากาศสงบผ่อนคลาย ดูสบายๆ น่านั่งไปอีกแบบ

ใครอย่างกินลมชมวิว ทางร้านก็มีโซน outdoor ที่จัดไว้แบบคงความเป็นส่วนตัวแต่ได้บรรยากาศให้เลือกนั่งด้วยค่ะ

3

ชื่อ "Lucca" นั้นได้มาจากชื่อเมื่องเล็กๆ ในแคว้นทัสคานีที่โด่งดังทางด้านอาหารอิตาเลียน

ทางร้านตัดสินใจที่จะใช้ตัว v แทน u ตามตัวอักษรแบบ Etruscan อารยธรรมเก่าแก่ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มก่อตั้งเมืองลุคคา

4

ในตัวร้านตกแต่งแบบเรียบๆ แต่ดูดี คุณเจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่ามีโปรเจกท์จะทางสีผนังให้เป็นสีส้มแบบเมดิเตอร์เรเนียน โทนคล้ายๆ กับที่เห็นตาม Fresco แทนที่ผนังสีขาว เพื่อเพิ่มความรู้สึกให้ดูอบอุ่นเป็นกันเองด้วยค่ะ

5

ร้านลุคคานั้นคัดเลือกแต่สุดยอดวัตถุดิบ อย่างผักสดนั้น หลายๆ อย่างก็มาจากฟาร์มผักออร์แกนิคของเจ้าของร้านเอง แต่อีกหลายอย่างที่ทางฟาร์มไม่มีก็จะซื้อหามาจากโครงการหลวง ไม่ก็นำเข้าจากฝรั่งเศสหรืออิตาลีเข้ามาโดยตรง เช่นเดียวกับชีสและเห็ด สำหรับเนื้อวัวและเนื้อแกะ นั้นของที่นี่นำเข้าจากออสเตรเลีย

ฟังขนาดนี้แล้วก็อยากชิมขึ้นมาทันทีเลยสิคะ

ด้วยความที่เป็นคนชอบทานชีส อยู่แล้ว เห็นเมนูนี้ถึงกับตาลุกวาว กับเมนู Caprese (320 B) ที่เป็น Fresh buffalo mozzarella cheese

7

ส่วนตัวชอบมากที่ที่นี่สามารถนำ mozzarella cheese ที่นำจากนมควายจริงๆ มาเสิร์ฟให้ได้ชิมกัน

8

ชีสคุณภาพดีมากๆ เนื้อหนานุ่ม ทานกับ มะเขือเทศ ใบโหระพา และราดด้วย  balsamic reduction กับ extra virgin olive oil ฟินสุดๆ

ตามมาติดๆ ด้วยซุปร้อนๆ ควันฉุย

Onion soup (350 B) ของที่นี่นี่ถือเป็นเมนูแนะนำ เพราะทำสูตรต้นตำรับ รสไม่เค็มหรือหวานนำจนเกินไป

12

แต่ทีเด็ดจะอยู่ที่ชีสด้านบน ที่ใช้ Gruyère cheese

13

ซุปร้อนๆ ชีสยืดๆ ทานแล้วอบอุ่นมากทีเดียว

จานนี้เตือนก่อนเลยค่ะ ว่ามาร้อนจี๋ จับชามมีสิทธิ์ลวกมือ และตอนทานให้ค่อยๆ ทานนะคะ ไม่งั้นก็อาจจะลวกปากได้เช่นเดียวกัน

ต่อที่รายการโปรดของหลายๆ คน คือ Tasmanian black mussels in white wine sauce (320 B) อีกหนึ่งเมนูชูโรงของร้านที่ใครมาใครไปก็มักจะสั่งกัน

9

หอยแมงภู่ที่นี่สด ไม่คาว ให้เยอะ และพอมาคู่กับขนมปังกระเทียมกรอบๆ ก็กินคู่กันไปได้อย่างเอร็ดอร่อย

อีกจานที่เห็นแล้วต้องขอสั่งทันทีคือ Ravioli foie gras (490 B)

14

ราวิโอลีของที่นี่นั้นเป็นพาสต้าทำมือ รสสัมผัสจึงออกมาเป๊ะ

เมนูนี้จัดเต็มสอดไส้ฟัวกราส์และ ricotta cheese ราดด้วย truffle cream sauce อีกที

15

คุณเจ้าของและเชฟตกลงกันเลยว่าร้านนี้จะไม่ใช้ truffle oil ซึ่งเป็นการแต่งกลิ่นสังเคราะห์ ถ้าจะทำเมนูทรัฟเฟิล จะใช้เห็ดทรัฟเฟิลแท้ๆ เท่านั้น

ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นพาสต้าจานอร่อยที่ได้กลิ่นของเห็ดทรัฟเฟิลจริงๆ

จานถัดไปนี้เป็นจานที่เชฟเอาออกจากเล่มเมนูแล้ว แต่ใครที่อยากทานจะสั่งทางร้านก็ทำให้ได้ค่ะ

Homemade gnocchi with almonds and gorgonzola cheese 

อันนี้ที่ทราบเป็นเพราะเห็นรายการ gnocchi ในเมนู เลยเปรยๆ ว่าปกติเมนูที่ปลื้มสุดจะเป็น  gnocchi กับชีสกอร์กอนโซลา ทางร้านได้ยินเลยบอกว่าเคยมี และทำมาให้ชิมได้ค่ะ

10

จานนี้ชีสรสไม่แรงมากเท่าที่เคยๆ กินมา แต่ก็พอนึกออกว่าทำไมถึงกระเด็นออกจากเมนู

เพราะหลักๆ คนไทยไม่ค่อยชอบทานชีสกลิ่นแรงกันค่ะ และแน่นอนว่ากอร์กอนโซลามีกลิ่นเฉพาะตัวที่เข้มข้น

11

ส่วนตัวชอบที่ทางร้านใส่อัลมอนด์มาด้วย ทำให้มีรสสัมผัสที่ไม่น่าเบื่อจนเกินไป

แต่ตัว gnocchi ของที่นี่นั้นทำค่อนไปทางแบบฝรั่งเศสมากกว่าอิตาลี จึงออกเบาฟู และนวลๆ กว่าเนื้อหนืดข้นสไตล์อิตาเลียน พอกินกับชีสนี้ที่ปกติต้องเข้มจัดทั้งชีสและทั้งพาสต้าจึงยังไม่ค่อยสะใจค่ะ

จาน gnocchi ที่ทางร้านแนะนำจริงๆ จะเป็นเมนูชื่อยาวตัวนี้ค่ะ

Homemade gnocchi with sautéed Alaskan crab, cherry tomatoes, tomato sauce and fresh Italian basil (380B)

16

จานนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนไทยแน่นอนเพราะค่อนข้างไลท์ สดชื่นทานง่ายเพราะเป็นซอสมะเขือเทศ และซอสโหระพา ทำออกมาสีสันสดสวย

ด้านนอกของ gnocchi เหลืองทอง เพราะเชฟนำไปจี่ไฟนิดๆ จนออกกรอบๆ

ที่สำคัญที่สุดคือ Alaskan crab meat ที่ให้มาแบบจัดเต็มสุดๆ เรียกว่าทานพาสต้าหมด ปูยังทานตามไม่หมดเลยเชียวค่ะ

ชิมพาสต้าไปหลายจาน มาเอาใจคนชอบทานเนื้อบ้างดีกว่า

ที่ร้านมีเนื้อตัวเด่นคือ Angus Beef Rossini (1,250B) ค่ะ จานนี้จะเสิร์ฟมาพร้อมฟัวกราส์

ส่วนถ้าใครถนัดไปทาง Rib eye ทางร้านก็มี Rib eye steak (1090B) ด้วย

ซึ่งเนื้อสองแบบนี้จะมากับซอสไวน์แดง หรือซอสเกรวี่เห็ด แล้วแต่เลือกค่ะ

หรือใครชอบแนวเนื้อตุ๋นก็จะมีเมนู Braised Beef Short Rib (890B) ที่เชฟตุ๋นกับเครื่องเทศถึง 10 ชนิด นานกว่า 2 ชั่วโมง

ส่วนที่เราเลือกมาลองวันนี้ จะเป็น Australian lamb cutlets (890 B) ที่แน่นอนว่าไม่ทำให้เราผิดหวัง

18

จานนี้ให้แกะมาถึงสองชิ้น

บนจานมี polenta cream และ  sautéed spinach มาให้ทานเคียง

17

ตัวซอสจะเป็น  Red wine sauce

19

ที่ต้องชมคือ seasoning ค่ะ เพราะปรุงมาดี กลมกล่อม

ทำมารสเข้มข้น แต่ไม่เค็มจนเกินไป ทานแล้วอิ่มอกอิ่มใจมากจริงๆ

20

แม้จะค่อนข้างอิ่มแล้ว แต่เรามีที่ว่างสำหรับของหวานเสมอ

ทางร้านมีของหวานทำเองหลายอย่างที่ปรับสูตรจนได้ที่ มีแต่คนติดใจในรสมือ

เป็นร้านอิตาเลี่ยนทั้งที มีเมนูอย่าง Tiramisu (190B) และ Panna Cotta (200B) อย่างไม่ต้องสงสัย

ที่ไม่เหมือนใครและหาทานในเมืองไทยได้ค่อนข้างยากจะเป็น Cannoli (150 B)

ขนมหวานอิตาเลียนที่ใช้แป้งมาอบจนกรอบ จากนั้นสอดไส้ด้วยครีมชนิดต่างๆ

21

ในต่างประเทศมักจะใช้เป็น ricotta cheese สำหรับรส plain ค่ะ

จากนั้นจึงมีลูกเล่นกันไปว่าจะเป็นช็อกโกแลต nutella หรืออะไรอื่น

สำหรับของ Lucca ทาง pastry chef เลือกเป็น  cream mascarpone cheese เพราะรสชาติทานง่ายคุ้นปากคนไทย

22

ของหวานจานนี้ได้ชิมแล้วถึงกับกรี๊ดค่ะ มันอร่อยมากกกกกกก...

คือตัวแป้งเบากรอบ เนื้อที่เป็นครีสชีสหวานอมเปรี้ยวเล็กๆ แบบสุดแสนจะพอดี กินด้วยกันแล้วฟินขั้นสุด

ถึงกับต้องบอกทางร้านว่า ถ้าสนใจไปตั้งบูทขายเฉพาะ cannoli ตามห้างเมื่อไรให้เรียกไปร่วมทุน เพราะคาดว่าจะต้องขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน

ดังนั้นมาร้านนี้ต้องสั่ง cannoli ให้ได้นะคะ

ลืมบอกไปว่าสำหรับใครที่ชอบดื่ม ทางร้านก็มีไวน์ให้เลือกหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นไวน์นำเข้าจากอิตาลี แต่ก็มี house wine และ ไวน์จากโลกใหม่ให้ได้ลองชิมอยู่บ้าง

หากจะนำไวน์มาเองทางร้านคิดค่าเปิดอยู่ที่ขวดละ 500 บาท แต่ถ้าเปิดกับทางร้านหนึ่งขวด ขวดที่นำมาเองจะไม่เสียค่าเปิดขวดค่ะ

เท่าที่ชิมมาถือว่าราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับราชาติและคุณภาพ แต่ทางร้านยังมีไม้เด็ดนั่นคืออาหารชุดสำหรับมื้อเที่ยงค่ะ

เห็นราคาแล้วถึงกับตกใจ เพราะขายอยู่ที่ 2-course lunch set ราคา 390B 

Photo Jan 29, 6 40 38 PM

และ 3-course lunch set ราคา 490B

lucca menu

ดูเมนูแล้วมีแต่ของน่าทาน เรียกได้ว่า ถูกคุ้มค่า อย่างไม่น่าเชื่อ

ราคาโดนใจขนาดนี้บอกเลยว่า เซ็ตกลางวันเป็นอะไรที่ต้องมาจัดให้ได้

ส่วนตัวคิดว่าเพื่อนมีกี่กลุ่มๆ จะลากกันมาทานให้ครบเลยค่ะ เพราะอาหารดีบรรยากาศเลิศด้วยราคาแบบนี้หาแทบไม่มีอีกแล้วในกรุงเทพ

โดยรวมแล้ว Lucca เป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ทำให้เราประทับใจได้แทบทุกจาน ด้วยความเป็นอิตาเลียนแท้ๆ ที่สื่อผ่านพาสต้าทำมือ รสชาติของซอส ไปจนถึงชีสเด็ดๆ ที่นำเข้ามาให้เราได้ลิ้มลอง อีกทั้งฝีมือในการทำอาหารจานเนื้อที่ปรุงรสออกมากลมกล่อม และทำความสุกได้พอดิบพอดีทำให้ meat lovers อย่างพวกเราได้ปลาบปลื้มกัน จึงไม่แปลกใจเลยที่ใครๆ จะเริ่มเล่าขานปากต่อปากว่าเป็น hidden gem อีกที่หนึ่งของกรุงเทพฯ ที่คนรักอาหารอิตาเลียนไม่ควรพลาด ได้ยินอย่างนี้แล้ว ไม่ลองก็กระไรใช่ไหมล่ะค่ะ อย่าลืมพากันมาชิมให้ได้เลยค่า

 

***

ติดตามงานเขียนอื่นๆ ของเราได้ที่ www.foodiesjournie.com

และแวะไปพูดคุยทักทายกันได้ที่หน้าเพจ www.facebook.com/foodiesjournie นะคะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook