พานั่งรถไฟเที่ยวอยุธยาแบบประหยัดสุดๆ วันเดียวเที่ยวได้ครบทั้งเมือง!
บางครั้งการใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง ก็เบื่อความเร่งรีบและความแออัดเต็มที ครั้งนี้เลยปิ๊งไอเดียอยากนั่ง “รถไฟหวานเย็น” ช้าๆ ชิลล์ๆ ดูสักครั้งในชีวิต ถึงแดดจะแรงและแอร์ก็ไม่มี แต่ระหว่างทางคงมีความสุขได้ไม่น้อยกว่าเดินห้างฯ แอร์เย็นแต่คนแน่นแน่ๆ และในเมื่อจะเที่ยวแบบวันเดย์ทริป จังหวัดแรกที่นึกถึงคงหนีไม่พ้น “อยุธยา” นั่นเอง บอกเลยทริปนี้เน้นลุย เน้นประหยัด!
คืนก่อนออกเดินทาง แนะนำให้เสิร์ชข้อมูลเล็กน้อย อาจจะลองเปิด Google Maps ดูตำแหน่งและระยะทางของแต่ละโลเกชั่นที่เราจะไป จะได้แพลนชีวิตถูก และถึงแม้จะเป็นแค่วันเดย์ทริปก็ต้องเตรียมสัมภาระเล็กน้อย จะได้พร้อมลุยทุกสถานการณ์ ทั้งไอเท็มลุยฝน ลุยแดด จัดไปให้ครบ! ฝนตก แดดออก ฉันก็เที่ยวได้แบบสวยๆ ไร้ความกังวล!
มาถึงสถานีต้นทางเช้ามาก! แต่ทริปนี้ต้องกลั้นใจตื่นเช้าหน่อย จะได้เที่ยวให้คุ้มค่าตั๋วรถไฟ จุดนี้ขอนั่งริมหน้าต่างชมวิวข้างทางเพลินๆ ละกัน ตอนรถไฟแล่น ลมโกรกมาก เรียกว่าฟินตั้งแต่เริ่มทริปเลย
นั่งฟังเพลง ถ่ายรูปเล่นไม่นานก็ถึงที่หมายแล้ว แต่พอถึงอยุธยา สิ่งแรกที่ผู้หญิงอย่างเราควรทำ คือ หยิบหมวก หยิบแว่น และทาครีมกันแดดก่อนเลย เพราะกิจกรรมที่เราแพลนไว้มีแต่กลางแจ้ง ถึงไม่ค่อยกลัวแดดแต่ป้องกันไว้ดีที่สุด โดยเฉพาะแดดบ้านเราที่ร้อนแรง และสำหรับ NIVEA Sun Protect & Refresh Cooling Sun Mist SPF50 สาวๆ หมดห่วงเรื่องความเหนียวเหนอะหนะไปได้เลย เพราะเป็นกันแดดชนิดสเปรย์ที่มีเนื้อบางเบา แค่ฉีดผิวบริเวณที่ต้องสัมผัสกับแดดชัวร์ๆ ไม่ต้องพักไว้ก็ออกแดดได้เลย และยังให้ความเย็นสดชื่น ยิ่งฉีดใหม่ๆ แล้วลมพัดมา แดดแรงแค่ไหนก็รู้สึกเฟรชได้ ที่สำคัญไม่ต้องกลัวเลอะด้วย เพราะเป็นสูตรไร้สี เอาล่ะ! ทุกสิ่งพร้อมแล้ว ลุยสิ!
ถ้าใครอยากมาอยุธยา แต่กังวลเรื่องการเดินทาง บอกเลยว่าหมดห่วงเพราะเขามีบริการทั้งสามล้อเที่ยวรอบเมือง, เช่ามอเตอร์ไซค์ เช่าจักรยาน ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเลย สะดวกมากๆ แต่วันนี้ขอเลือกขี่จักรยาน แบบไม่สนไม่แคร์แสงแดดใดๆ ทั้งสิ้น บอกแล้วเน้นลุย! ซึ่งแพลนช่วงเช้า คือ ปั่นไปเช็คอินวัดแลนด์มาร์คสัก 2-3 วัด แล้วค่อยหาอะไรอร่อยๆ กิน
ก่อนจะเช่าจักรยาน เราต้องนั่งเรือข้ามฟากก่อน (ค่าบริการ 5 บาท) แล้วเดินตรงดิ่งไปที่ร้านเช่าจักรยานที่อยู่ใกล้ๆ เลย (คันละ 50 บาท) จากนั้นเราก็ปั่นฝ่าแดดอันร้อนแรงมาได้สักพัก ก็มาถึงวัดมหาธาตุ หมุดแรกของเราในวันนี้ สำหรับคนไทยค่าเข้าชม 40 บาทเท่านั้น ซึ่งวัดนี้ เป็นวัดที่มีเศียรพระพุทธรูปในรากต้นโพธิ์อันโด่งดังนั่นเอง ต้องเก็บภาพไว้สักหน่อย เพราะปกติเห็นแต่ในอินเทอร์เน็ต
สถานีต่อไปคือ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งภายในวัดมีทั้งเจดีย์และซากปรักหักพังของพระวิหาร หอระฆัง พระอุโบสถ ถ้ามาอยุธยาแล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับสถานที่เก่าแก่และสวยงามแบบนี้ คงเรียกว่ามาไม่ถึงอยุธยาเลยทีเดียว
เพื่อไม่ให้เสียเวลา เขยิบไปเดินเล่นที่คุ้มขุนแผน ที่อยู่บริเวณเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์นี่เอง จุดนี้ ต้องขอสารภาพว่าถึงแม้จะทำใจมาก่อนว่าวันนี้ก็ต้องตากแดดเปรี้ยงๆ ทั้งวัน แต่พอเจอเข้าจริง ต้องหยิบครีมกันแดดขึ้นมาทาทุก 2 ชั่วโมง เอาให้มั่นใจว่าจะปกป้องผิวเราได้เต็มที่ อุตส่าห์หลบขึ้นมาถ่ายรูปเล่นบนเรือนไทย แต่แดดก็ยังคงตามมาหลอกหลอน
ถ่ายรูปเล่นไปมา จู่ๆ เหมือนท้องจะร้องเรียกหาอาหารหนักมาก และร้องได้รู้เวลาจริงๆ เพราะนี่ก็จะบ่ายแล้ว งั้นขอแวะกินข้าวเติมอาหารให้ร่างกายสักหน่อย แต่อย่างที่บอกทริปนี้เน้นลุย ไม่เน้นกิน เจอร้านไหนก็กินร้านนั้นเลย พออิ่มแล้วแต่ไม่กลับง่ายๆ เพราะมาอยุธยาทั้งที ก็ขอไหว้พระให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสักหน่อย เพราะอยู่ไม่ห่างจากร้านอาหารมาก เราเลยเลือกมาที่วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งที่นี่พระพุทธรูปสง่างามสมคำร่ำลือจริงๆ
จากนี้ ขอเปลี่ยนจากกลางแจ้งมาพักในร่มกันบ้าง เพราะถึงผิวจะยังไม่เปลี่ยนสีหลังจากที่ตากแดดมาตั้งแต่ช่วงสาย แต่ร่างกายเริ่มเพลียซะแล้ว ช่วงนี้ขอมาแอ๊บเด็กที่พิพิธภัณฑ์ล้านของเล่นของ รศ. เกริก ยุ้นพันธ์กันหน่อย บอกเลยว่าที่นี่ของเล่นเยอะมาก ก.ไก่ ล้านตัว แถมน่ารักด้วย (ค่าเข้าคนละ 50 บาท) นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้ได้เสียทรัพย์เล่น พร้อมหอบของติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วย
ก่อนกลับขอแวะซื้อของฝากอย่างโรตีสายไหมเจ้าเด็ดตรงข้ามโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาก่อนละกัน
สรุปค่าเสียหายทริปนี้ หมดไปแค่ 300 บาทเท่านั้น! บอกแล้วว่าเราเน้นประหยัดแล้วก็ประหยัดจริงๆ เน้นลุยเราก็ลุยจริงๆ แบบไม่กลัวแดดกลัวดำเลย ซึ่งส่วนหนึ่งยอมรับว่าเพราะใช้ไอเท็มตัวช่วยของนีเวีย ซันเขานี่แหละ ถ้าไม่ได้ทากันแดด ป่านนี้ผิวไหม้ไปแล้ว บอกเลยว่ามีแต่คำว่า “เลิศ เลิศ เลิศ” ถึงจะเป็นวันเดย์ทริปที่ใช้พลัง แต่ก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
[Advertorial]
