เที่ยว “ญี่ปุ่น” แบบฟลุค ฟลุค สนุกแบบไม่ต้องทุบกระปุกตัวเอง (1)

เที่ยว “ญี่ปุ่น” แบบฟลุค ฟลุค สนุกแบบไม่ต้องทุบกระปุกตัวเอง (1)

เที่ยว “ญี่ปุ่น” แบบฟลุค ฟลุค สนุกแบบไม่ต้องทุบกระปุกตัวเอง (1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อยากไปญี่ปุ่น อยากไปญี่ปุ่น…พึมพำกับตัวเองแบบคนละเมอๆ มาหลายปีดีดัก หยอดเงินใส่กระปุกตั้งแต่สมัยเที่ยวญี่ปุ่นใช้เงินเป็นแสน ก็ยังไม่ได้ไป เห็นคนอื่นไปแล้วอยากทำปากคว่ำเบาๆ เพราะความอิจฉา ก็บางคนไปกันมาคนละรอบสองรอบ บ่อยเหมือนซื้อตั๋วนั่งรถตู้ไปหัวหิน แต่เราก็ยังไม่ได้ไป…มองดูเงินในกระปุกน้อยๆ หยอดวัน 10 -20 บาทแบบนี้แล้วเมื่อไรจะได้ไปญี่ปุ่น

แต่แล้วก็เหมือนบุญพาวาสนาส่ง เจ้ากรรมนายเวรพักร้อน เพราะออฟฟิศส่งตัวไปทำงานกึ่งเที่ยวญี่ปุ่น วินาทีแรกที่ได้ยินน้ำตาเอ่อมาก ความรู้สึกเหมือนบุญเก่าที่ทำกลับมาทับถม จนอยากจะแหกปากร้องกรี๊ด คุณพระ “ฝันเป็นจริง”

 

ทันทีที่ได้เมล์โปรแกรมเที่ยวญี่ปุ่นจำนวน 6 วัน ก็รีบดูว่าเค้าจะพาเราไปเที่ยวที่ไหนบ้าง สแกนคร่าวๆ แล้วจะเน้นวัดวาอารามกับสถานที่ช้อปปิ้งเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่เป็นไร เพราะเราไปฟรี ยังไงก็ดีกว่าเสียเงินไปเอง

 

นับจากวันแรกจนถึงก่อนวันเดินทางบอกเลยว่าชีวิตวุ่นมาก เพราะไหนจะต้องทำงานประจำวัน แถมต้องสต็อคงานไว้ในช่วงที่ตัวเองไม่อยู่ออฟฟิศหลายวัน ไม่งั้นจะเดินทางไปแบบทรมาน แล้วไหนจะเสื้อผ้า กระเป๋า แลกเงิน วางแผนซื้อของฝาก โอ้ย…เพลียเบาๆ แต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็เรียบร้อยทันวันออกเดินทาง

 

ช่วงที่เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นอากาศที่นั่นประมาณ 19-20 องศา แต่ป่านนี้อุณหภูมิน่าจะต่ำกว่านั้น ทันทีที่เดินออกจากสนามบินนาริตะก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นเฉียบ ดูเหมือนเสื้อผ้าที่เตรียมมาจะไม่หนาพอจึงต้องพอกผ้าพันคอ ใส่เสื้อสวมทับไปอีกชั้นหลังจากล้างหน้าแปรงฟัน (ทำทุกอย่างที่สนามบิน) เช้าแรกในญี่ปุ่นเราก็ออกเดินทางเที่ยวทันที แม้จะนั่งเครื่องมาเกือบ 6 ชม.แต่ความเหนื่อยอ่อนเพลียก็หายไปเกลี้ยง

ว้าววว! ญี่ปุ่นแวบแรกมันช่างสะดุดตาไปทุกอย่าง อะไรก็ดูเรียบร้อยเป็นระเบียบ จะจอดตรงไหนก็ต้องเก็บภาพ เปิดซิงญี่ปุ่นครั้งแรกมันเป็นแบบนี้นี่เอง สถานที่แรกที่คณะทัวร์พาเราไปคือ “เอโนะชิมะ”  เพื่อไปสักการะ “ศาลเจ้าเอโนะชิมะ” บรรยากาศระหว่างเดินทางทำได้เห็นอาคารบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่น ที่ดูแคบแต่เน้นใช้พื้นที่ไปทางด้านหลัง แบบที่พี่ไกด์เปรียบเทียบว่าเหมือน “กรงกระต่าย” หน้าบ้านก็มักจะมีสวนและต้นไม้เล็กปลูกอยู่

ชามนี้เป็นแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ

ทันทีที่ไปถึงเป็นเวลาใกล้มื้อเที่ยง ทางเจ้าภาพจึงเลี้ยงอาหารที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญและมีตามฤดูกาลของเมืองนั้น นั่นคือ “ ข้าวหน้าปลาข้าวสาร” หรือ SHIRASU DON ทางร้านมีให้เลือกทั้งแบบดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ และแบบเทมปุระ ไอ้เราก็กลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน เลยเลือกแบบเทมปุระมาลองทาน รสชาติอร่อยถูกปาก แต่ก็แอบชิมของเพื่อนข้างๆ ที่สั่งแบบสดๆ มากิน พอกัดเข้าไปเท่านั้นแหละ กรุบกรับดีค่ะ แต่ถ้าเลือกได้แบบสุกสบายใจกว่า

  

ตลอดสองข้างทางมีแต่ร้านน่าเสียสตางค์ให้มาก

พออิ่มหนำแล้วเราก็เดินเท้าไปตามเชิงเขาเพื่อขึ้นไปที่ “ศาลเจ้าเอโนะชิมะ” ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก เย้ายวนอยากให้ควักเงินในกระเป๋าออกมาจับจ่ายมาก แต่วันแรกเราต้องใจเย็นไว้ก่อน ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวนิยมมาขอพรเรื่องความรัก สังเกตได้จากแผ่นป้ายไม้ที่ติดไว้ตามจุดต่างๆ อ่อ…การไหว้พระที่ประเทศญี่ปุ่นคุณจะต้องชำระร่างกายให้สะอาดด้วยการล้างปาก ล้างมือให้เรียบร้อยเสียก่อน

ศาลเจ้าเอโนะชิมะ    

ป้ายไม้สำหรับเขียนอธิษฐานขอพรเรื่องความรัก

 

เพราะอากาศเย็นสบายเราจึงเดินเล่นไปได้เรื่อยๆ มีจุดชมวิว ที่อาจจะต้องเดินขึ้น-ลงบันไดเล็กน้อย บางคนก็เลือกที่จะไปเก็บภาพที่สามารถมองออกไปเห็นชายหาดสีดำอยู่ไกล (ดูแล้วหัวหินบ้านเราเริ่ดกว่าเยอะค่ะ)

ตั๋วรถไฟ

เจอน้องคนนี้บนขบวนรถไฟ น่ารักดีเลยเก็บภาพมาฝาก

จากนั้นไกด์พาเราเปลี่ยนบรรยากาศหลังลงจากศาลเจ้า โดยพาพวกเรานั่งรถไฟชมวิวริมทะเล โห! สุดยอดอ่ะ ให้อารมณ์คล้ายเดินทางไปเที่ยวจังหวัดเล็กๆ แถบชานเมืองที่สามารถโดยสารรถไฟข้ามอำเภอได้ ที่สำคัญรถไฟมาตรงเวลาเป๊ะ จากสถานทีเอโนะชิมะไปที่สถานีคามาคุระเพื่อไปเที่ยวชม “วัดพระใหญ่ ไดบุตสึ”

ด้านหน้าทางเข้าวัดพระใหญ่

ตั๋วเข้าชมค่ะ

ตามธรรมเนียมชำระล้างร่างกายก่อนไหว้พระ

 

องค์พระสร้างด้วยสำริดมีความสูง 13.35 เมตร เดิมทีองค์พระไม่ได้อยู่กลางแจ้งอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้ แต่เพราะภัยธรรมชาติพัดโบสถ์และสิ่งก่อสร้างบริเวณรอบๆ หายไปหมด เหลือแต่องค์พระที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นผู้ปกป้องแผ่นดินญี่ปุ่น ใครไปถึงที่นี่ก็ต้องเดินไปถ่ายรูป โดยมีทริคเล็กน้อยว่าต้องยืนทางด้านซ้ายหรือขวาขององค์พระถึงจะได้ใบหน้าพระที่ได้รูปมากที่สุด วันที่ไปนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ด้านข้างองค์พระมีทางลงให้เดินเข้าไปดูว่าภายในองค์พระเป็นอย่างไร ลงไปแล้วจะเป็นลมค่ะเพราะอากาศน้อยและคนเยอะ จนต้องรีบขึ้นมา

มุมทางด้านขวามือที่ทำให้เรามองเห็นภาพใบหน้าองค์พระชัดเจนขึ้น

ด้านในองค์พระ ช่วงที่ไปคนเยอะเบียดเสียดกันมาก อากาศไม่ค่อยถ่ายเท ถ้าใครคิดจะลงไประวังเป็นลมจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทางไปยังที่พักซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร เนื่องจากเป็นโรงแรมที่อยู่นอกเมือง ที่แซบไปกว่านั้นคือมื้อค่ำวันนี้เราจะได้กินขาปูยักษ์ ที่ถือเป็นเมนูแนะนำพร้อมน้ำจิ้มรสแซบ อยากบอกว่าไกด์รู้ทันเอาน้ำจิ้มซีฟู้ดส์เตรียมไปให้ แหม! ถูกใจจริงๆ ระหว่างเดินทางไปที่พัก ทุกคนดูจะอิดโรยจากการเดินทางจึงเผลอหลับไปกันทีละคนสองคน กว่าจะถึงที่พักฟ้าก็มืดแล้ว เหลือแต่อากาศเย็นเฉียบทิ้งไว้

โรงแรมและบรรยากาศรอบๆ

พอถึงที่พัก MOTOSU VIEW HOTEL เป็นโรงแรมที่คิดว่าน่าจะประมาณ 3 ดาว เพราะเป็นโรงแรมเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ในผืนป่า ทันทีที่ไปถึงทุกคนก็ได้แยกย้ายกันเข้าห้องพักซึ่งออกแบบห้องไว้เป็นเหมือนบ้านชาวญี่ปุ่นแบบโบราณ นอนฟูกที่ปูไว้กับเสื่อทาทามิ (เห็นแล้วนึกว่าย้อนกลับไปในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน) แม้ห้องนอนจะไม่ใหญ่แต่ก็สะอาดสะอ้านดี

ห้องนอนเป็นแบบนี้ค่ะ ชวนให้นึกถึงการ์ตูนโดราเอมอนนะคะ

มื้อค่ำวันนี้รู้สึกถูกปากแม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์ของโรงแรม แต่ได้ขาปูยักษ์มาช่วยทำให้ยิ่งรู้สึกดี หลังจากอิ่มหนำกับอาหารค่ำแล้ว ใครที่ใคร่จะลงไปนอนแช่ออนเซ็นที่ทางโรงแรมมีเตรียมห้องและสถานที่ไว้ที่ชั้นล่างก็ตามสบาย บอกเลยว่าเป็นอ่างแบบรวมแต่แยกห้องสำหรับหญิง-ชาย ไอ้เราเขินก็รอให้คนร่วมทริปทยอยลงแช่กันไปก่อน แต่ทางไกด์บอกว่าถ้าจะให้ครบสูตรต้องแช่หลังอาหารค่ำ กับตอนเช้าตรู่ เลยกะว่าจะตื่นแต่เช้าไปออนเซ็นแทนดีกว่า

ขาปูยักษ์ที่บอกว่าเลื่องชื่อ

บอกเลยว่าอาหารสด อร่อยมากๆ

ตอนเช้ารีบตื่นก่อนรูมเมทแล้วลงไปแช่ออนเซ็น ก่อนลงบ่อมีกฎว่าทุกคนต้องอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดก่อน ที่สำคัญต้องอาบให้คนอื่นเห็นด้วย และเปลือยหมดนะคะ เพราะเขาจะมีแค่ผ้าขนหนูผืนจิ๋วไว้ให้ติดมือไปเท่านั้น เลือกเอาว่าจะปิดส่วนบนหรือส่วนล่าง แต่โชคดีที่ตอนไปมันเช้ามาก ยังไม่มีใครมา พออาบน้ำเสร็จเตรียมจะลงอ่าง ถึงมีคุณป้าคนหนึ่งตามมาติดๆ โล่งอกไป

วิวโดยรอบของโรงแรม ระหว่างเดินถ่ายภาพอากาศเย็นมากหลังออนเซ็นแล้วรู้สึกร่างกายสดชื่นมากขึ้น พอขึ้นไปถึงห้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม แต่ก่อนจะออกจากโรงแรมขอไปเก็บภาพบรรยากาศความสวยงามรอบๆ โรงแรมก่อน เพราะมีทะเลสาบขนาดย่อม ที่หากเราไปถึงเช้ากว่านี้คงได้เห็นหมอกลอยเต็มผิวน้ำ

น่าภาคภูมิใจมากที่ได้เห็นต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนสี แค่นี้ก็มีความสุขแล้วโชคดีมีต้นเมเปิ้ลที่ใบเปลี่ยนสีแล้วให้เห็น 2-3 ต้น เลยต้องรีบไปเก็บภาพถ่ายคู่กับต้นเมเปิ้ลสักหน่อย ไม่อยากนึกเลยว่าถ้าเปลี่ยนสีทั้งต้นจะสวยงามขนาดไหนเช้านี้อากาศดีมากเรียกได้ว่าเป็นการมาพักในญี่ปุ่นที่รู้สึกว่าชีวิตดีงามเพราะได้ทานอาหารดีๆ สไตล์ออร์แกนิค ได้แช่ออนเซ็น นอนฟูกบนเสื่อทาทามิ แถมยังได้ถ่ายรูปกับใบไม้เปลี่ยนสีอีก ว่าแต่ขอจบภาคแรกไว้แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะมาเขียนภาคต่อของวันรุ่งขึ้นที่เรามีโปรแกรมไปไหว้ศาลเจ้าฟูจิเซ็นเก็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

อัลบั้มภาพ 84 ภาพ

อัลบั้มภาพ 84 ภาพ ของ เที่ยว “ญี่ปุ่น” แบบฟลุค ฟลุค สนุกแบบไม่ต้องทุบกระปุกตัวเอง (1)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook