Wwoof in Little Forest: เมื่อฉันได้ไปวูฟในฟาร์มคาเฟ่ ณ บ้านนอกญี่ปุ่น

Wwoof in Little Forest: เมื่อฉันได้ไปวูฟในฟาร์มคาเฟ่ ณ บ้านนอกญี่ปุ่น

Wwoof in Little Forest: เมื่อฉันได้ไปวูฟในฟาร์มคาเฟ่ ณ บ้านนอกญี่ปุ่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไปลองใช้ชีวิตกับโฮส family ที่ญี่ปุ่นกันดูไหม ทดลองทำงานร้านอาหาร เป็นคนสวนชั่วคราวแบบญี่ปุ่นๆ กัน ชีวิตนี้มีอะไรมากกว่าที่คุณคิดไว้นะ ถ้าไม่เชื่อลองตามคุณบานาน่าทุตตี้ฟรุตตี้ ไปดู

สวัสดีค่ะ

ฟาร์มคาเฟ่ & โฮส

เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว เราโชคดีมากที่ได้มีโอกาสไปวูฟที่เมืองเล็กๆ ในจังหวัดนากาโนที่ญี่ปุ่น เมืองที่เราอยู่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาสูง อากาศเลยค่อนข้างดีตลอดปี จริงๆ เราไม่ได้ดูเรื่อง Little Forest จริงๆ จังๆ สักที จนเราวูฟเสร็จแล้วได้มาเปิดดู เท่านั้นแหละ นี่มันชีวิตโฮสของเรานี่นา 55

งานทีเราได้ไปทำจะเน้นหนักไปทางร้านคาเฟ่เป็นหลัก (เป็นร้านอาหารเล็กๆ กึ่งร้านกาแฟ) เราเรียกว่า Farm cafe เพราะวัตถุดิบหลายกอย่างโฮสก็เก็บมาจากสวนข้างๆ ร้าน และก็ได้ไปดูแลสวนนิดหน่อย คิดเป็น 60/40 เปอร์เซนต์ ที่จะเน้นไปทางร้านมากกว่า อีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือโฮสเราถ้าให้บรรยายเป็นภาษาไทย 1 คำ เราก็ขอบอกว่าเป็น "ฮิปสเตอร์" ของแท้เลย 

โฮสเราเป็นผู้หญิงที่เก่งมากๆ นึกดู ผู้หญิงคนเดียว ทำร้านอาหารเอง ทำสวนเล็กๆ คนเดียวแล้วก็มีทัศนคติที่แอบแปลก (อธิบายไม่ถูกต้องไปอยู่เองถึงรู้ 55) หรือคนญี่ปุ่นส่วนมากเป็นคนแปลกอยู่แล้วก็ไม่รู้ จนพอเราวูฟเสร็จมีคนญี่ปุ่นมาถามเราว่าที่ไปวูฟมาอะไรที่ประทับใจ เราตอบอย่างไม่ลังเลว่า "โฮสซัง" ถ้าโฮสเป็นผู้ชายนี่เราจีบไปแล้ว (ใครจะไปวูฟกับโฮสคนนี้อย่าไปบอกเขานะ เขิน //o//) แต่จริงๆ นางแต่งงานไปละ

วันนี้มีเวลาว่าง ก่อนเปิดเทอมวันจันทร์ก็เลยขอมาแชร์เรื่องราวการไปวูฟครั้งนี้ ตั้งแต่การเดินทาง หาโฮส เตรียมตัว และที่คาดไม่ได้ก็คือเกร็ดวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากมายที่เราได้เรียนรู้มา ด้านท้ายเดี๋ยวจะมีแถมเรื่องเล่าที่เราไปเที่ยว คนเดียวในโตเกียวด้วย  อาจเขียนช้าหน่อย เพราะเราเขียนสดค่ะ (มันได้อารมณ์กว่าเขียนค้างไว้ใน word) และแน่นอนว่าไม่มีการค้างโพสไว้แน่ เพราะเราตั้งใจเขียนให้จบก่อนเปิดเทอม ขอกำลังใจด้วยนะคะ

การไปโฮสครั้งนี้ก็คือการให้รางวัลกับตัวเอง ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้เที่ยวเลย ทั้งเรียนและทำงานตลอดเวลา นี่ก็คือของขวัญให้ตัวเองค่ะ (คนตามเพจใน FB อาจบอกว่าไม่จริง เห็นเที่ยวตลอด 55) 

การเลือกโฮส http://pantip.com/topic/33812824/comment1
การเตรียมตัว http://pantip.com/topic/33812824/comment3
วันออกเดินทาง http://pantip.com/topic/33812824/comment6
ไปเจอโฮส (ของปีทีแล้ว)  http://pantip.com/topic/33812824/comment7

เดินทางไป WWOOF http://pantip.com/topic/33812824/comment8
Wwoof วันแรก (ทักทาย/ ดำนา) http://pantip.com/topic/33812824/comment11
Wwoof day 2 - ทำงานวันแรก http://pantip.com/topic/33812824/comment14
Wwoof day 3 - ปลูกมัน เตรียมอาหาร เก็บมิ้นต์ http://pantip.com/topic/33812824/comment17
Wwoof day 4 http://pantip.com/topic/33812824/comment20
Wwoof day 5 - สนทนาเรื่องนิสัยคนญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/33812824/comment20
Wwoof day 6 - สนทนาเรื่องอาหารการกิน http://pantip.com/topic/33812824/comment20
การจากลา http://pantip.com/topic/33812824/comment60

อาหารการกิน http://pantip.com/topic/33812824/comment19
ชีวิตเกษตรกรญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/33812824/comment22
คำแนะนำ การทำงานกับคนญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/33812824/comment39
ลูกค้าของฉัน...อีกหนึ่งความประทับใจ http://pantip.com/topic/33812824/comment41
รีวิวการเดินทาง รถบัส รถเมย์ ฯลฯ http://pantip.com/topic/33812824/comment47
มุม (มอง) มืดในสังคมญี่ปุ่น http://pantip.com/topic/33812824/comment58

เที่ยวโตเกียว
เรื่องเล่าจากโฮสเทล  http://pantip.com/topic/33812824/comment70
Asakusa/ Ueno (วัดเซนโซจิ/ ห้องสมุดเด็ก)  http://pantip.com/topic/33812824/comment72
Jiyugaoka / Korean Town  http://pantip.com/topic/33812824/comment73
ชวนกินซูชิจานหมุน  http://pantip.com/topic/33812824/comment74
Harajuku (สวน Yoyogi / ศาลเจ้าเมจิ/ ฮาราจุกุ) http://pantip.com/topic/33812824/comment76

The reflection of my Journey บทสรุป http://pantip.com/topic/33812824/comment77


สำหรับใครที่อยากอ่านโพสเก่าของเราปีที่แล้ว ที่เราไปเรียนภาษาระยะสั้นและใช้ชีวิตกับโฮส family ที่ญี่ปุ่นก็มาอ่านได้ที่http://pantip.com/topic/32815854 และ https://www.facebook.com/parfaitsinseoul

Hatake แปลว่าสวนผัก

สำหรับการไปวูฟครั้งนี้ เราใช้เวลาการตัดสินใจนานมากว่าจะไปดีไหม แล้วก็จะไปที่ไหน เกือบมีเหตุให้ไม่ได้ไปอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ดีใจมากที่เราเลือกไปวูฟ นอกจากเรื่องราวและประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว การไปวูฟครั้งนี้ยังทำให้บางอย่างในตัวเราเปลี่ยนไปตลอดกาล อะไรที่เปลี่ยนไป รอติดตามนะคะ

เริ่มแรก คือการเลือกโฮส

เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในการไป WWOOF เลย โฮสดีชีวิตดี โฮสไม่ดีหรือเข้ากับเราไม่ได้ พังอย่างเดียว

หลังจากสมัคร wwoofjapan.com แล้ว ก็เข้าไปอ่านและเลือกโฮสได้เลย สิ่งแรกคือถามตัวเองก่อนว่า

1. ที่ๆ อยากไป
ทริปนี้ เรามีเวลาไม่เยอะ ตอนแรกกะว่าจะไปสัก 20 วันแต่เราต้องกลับมาเรียนวันจันทร์นี้ แผนเลยถูกเปลี่ยนหมด นากาโนเลยกลายเป็นคำตอบเพราะเดินทางไม่ไกลมาก เป็นเมืองที่เราเคยมาแล้วเราประทับใจ ที่สำคัญคือมีโฮสให้เลือกเยอะดี

2. งานที่อยากทำ
ตอนแรกกะจะไป 2-3 โฮส ก็จะสลับทำงานไม่เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ เหลือแค่คนเดียวก็เลยเลือกงานที่อยากทำที่สุด ส่วนตัวเราอยากทำร้านอาหารญี่ปุ่นมานานแล้ว ก็เลยได้โฮสนี้แหละ ทำ Farm Cafe

3. ช่วงเวลาที่จะเดินทาง
สำคัญมาก เพราะบางโฮสจะไม่รับวูฟเฟอร์ในบางเดือน เพราะไม่มีงานให้ทำ

หลังจากนั้นปัจจัยที่ใช้เลือกโฮส เราเลือกจาก รีวิวอย่างเดียวเลย ต้องมีรีวิวและรีวิวต้องดี

นอกจากนี้ก็จะมีอย่างอื่นที่ควรใส่ใจก็เช่น
1. ภาษา
ของเราคืออยากไปฝึกญี่ปุ่นไง ก็หาโฮสที่พูดอังกฤษไม่ได้เลย เอาแบบต้องพูดญี่ปุ่นได้ถึงไปทำได้
2. กินข้าว
เราขอกินกับโฮส เพราะเราทำเองไม่ค่อยได้
3. จำนวนชั่วโมงทำงาน
เราตัดทุกอันที่บอกว่าต้องทำเกิน 6 ชั่วโมงทิ้งไปเลย คือเหนื่อยและขี้เกียจ
4. สมาชิกในบ้าน
ผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก คนแก่ ฯลฯ
5. อ่านหน้าที่งานที่ต้องทำดีๆ นะ

ที่สำคัญคืออย่าลืมอ่านว่าตอนนี้เขารับวูฟเฟอร์ไหม แล้วเขารับผญหรือผช ต้องพูดญี่ปุ่นได้ไหม คือโฮสเราบ่นมาว่ามีคนผู้ชายส่งมาบ่อย คนที่พูดญี่ปุ่นไม่ได้ส่งมาก็เยอะ ทำไมไม่อ่านดีๆ ก่อน หลังจากตกลงกับโฮสเรื่องวันเวลาแล้ว ก็พร้อมเดินทางละนะ

การเตรียมตัวก่อนไปวูฟ

วันเดินทางใกล้มาถึงแล้ว ตื่นเต้นไหมๆๆๆๆ เราก็ตื่นเต้นปนมึนๆ 55

ขอเน้นที่ร่างกายก่อน การไปวูฟคือการไปทำงาน (ใช้แรงงาน) แลกที่พักและอาหารพร้อมของแถมคือวัฒนธรรมญี่ปุ่น ฉะนั้น ร่างกายต้องฟิตค่ะ ใครที่ไปวูฟนานๆ (เกิน 1 อาทิตย์) อยากแนะนำให้ 1 เดือนก่อนหน้าไปเข้าฟิตเนส ไปวิ่ง ไปออกกำลังกายยังไงก็ได้ให้ร่างกายแข็งแรง จะได้วูฟแบบเต็มที่สนุกสนาน สำหรับผู้หญิง ถ้าเลี่ยงไปวูฟช่วงนั้นของเดือนได้ก็ดีนะ เพราะอย่างเราปกติไม่เคยปวดท้องเมนส์มาก คือปกติเมนส์มาก็ต้องไปทำงาน (ใช้แรงงาน) แต่แค่ปวดหลัง แต่ครั้งนี้อยู่ๆ เราก็ปวดท้องมาก จนต้องกินยาเลย ปกติไม่เคยกิน

ต่อมาคือข้าวของ
1. เสื้อผ้า
เอาไปไม่ต้องเยอะหรอก 3-4 ชุดก็พอแล้ว พอหมดวันแนะนำให้ซักมือไปเลยเราก็ทำแบบนี้ ถ้าที่ๆ จะไปหนาวก็เอาเสื้อหนาวไปด้วย ส่วนมากแนะนำให้เอาเสื้อแขนยาวกับขายาวไป สีอะไรก็ได้นะ แต่โฮสเราบอกว่าพยายาม "อย่า" ใส่สีดำ เพราะพวกแมลงมันชอบ

2. อุปกรณ์ประกอบ
ผ้าพันคอ หมวกกันแดด ถุงเท้า ถุงมือ(ชาวสวน) รองเท้าถ้าเป็นพวกแตะได้จะดีนะ (เราแตะหนีบเลย 55) ครีมกันแดดด้วยก็ดีนะ

3. ข้าวของเครื่องใช้
เราเอาพวกแชมพู สบู่ขวดเล็กๆ โลชั่นไปเอง

4. เงิน
เราคำนวณรายจ่ายที่ขาดว่าจะใช้ + เงินสำรองสัก 3-4 คืน กรณีที่ถูกลอยแพหรือโฮสไม่ดีไรงี้ จะได้มีเงิน มีที่อยู่
รายจ่ายที่ต้องใช้คือ
- ค่าที่พัก ไปถึงญี่ปุ่นคงต้องพักกันก่อน (หรือใครจะตรงดิ่งไปวูฟเลยก็ตามใจ) และก่อนกลับก็คงอยากเที่ยวบ้าง ช็อปปิ้งบ้าง
- ค่าอาหาร ในวันที่ไม่ได้อยู่กับโฮส
- ค่าเดินทาง กด hyperdia เอาแล้วก็ตีไปเกินๆ เพื่อนั่งผิดต้องย้อนกลับมา 55
- เงินสำรอง

5. ของฝากโฮส (เราไม่ได้เอาไป ลืม =_=)

เราเน้นให้พยายามใช้กระเป๋าใบเล็กๆ ไป ใช้ใบใหญ่เดินทางลำบากมาก เพราะส่วนมากสถานที่ wwoof มันเป็นบ้านนอกต้องต่อรถหลายเที่ยว เครื่องสำอาง พวกเสื้อผ้าแฟชั่นอะไรไม่ต้องเอาไปเยอะหรอก ชีวิตชาวสวนง่ายๆ และชิลๆ (แต่ทำงานจริงจังนะ) 

 

The Journey Begin

ในที่สุด วันเดินทางมาถึงแล้ว ความกังวลสารพัดมีหมด จะพูดญี่ปุ่นรอดไหม ไม่ได้ใช้ภาษานี้มา 1 ปีเต็มๆ เราต้องทำได้สิ มั่นใจๆ 55 เราเดินทางจากซานฟราน อเมริกา (เราเรียนอยู่อเมริกา เดี๋ยวพอไปวูฟแล้วจะมีแทรกเรื่องราวญี่ปุ่นกับอเมริกานิดหน่อย) ได้บินสายการบิน ANA เป็นครั้งแรก ชอบมาก เพราะเครื่องโล่งดี 55 การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองก็ใช้รถไฟ อยู่ชั้นใต้ดิน เราใช้บัตร Passmo ก็ต้องเข้าไปเติมเงินก่อน ใครจะซื้อเขาก็มีขาย Suica นะ อยู่ก่อนทางเข้า ใครมีพวกไอโฟน ไอแพด ก็ใช้เน็ตฟรีใต้ดินเสิร์ชดูจาก Hyperdia.com ว่านั่งรถไฟสายกี่โมงเข้าเมืองเร็วสุดเพราะมันจะมีทั้งรถธรรมดา/ รถด่วน/ ด่วนพิเศษ/ Skyaccess ฯลฯ ถ้าเป็น Skyliner ต้องจ่ายเงินเพิ่ม (ถ้ามี JR Pass นั่งฟรี)

โรงแรมที่เราพักคือ Toco อยู่สถานี Iriya แถว Ueno ซึ่งเราเคยพักครั้งที่แล้ว ก็แบบมั่นใจมากไงว่าจำได้แน่ๆ เลยไม่ได้ปริ๊นต์ที่อยู่มา สรุปลืมจ้ะ เดินหาแทบตาย 55 เป็นโรงแรมที่ดีตรงที่ไม่ต้องจ่ายมัดจำ ราคาคืนละ 3 พันเยน (แต่ส่วนตัวเราชอบข้าวสารมากกว่า เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังตอนท้าย) พอเก็บข้าวเข้าที่พักแป๊บ เราก็แทบพุ่งไป Ueno ทันที ณ ตลาด Ameyoko จะไปกินข้าวหน้าปลาดิบที่คนเขาร่ำลือกัน อยากกินมา 1 ปีแล้ว วันนี้เลยจัดสักที เป็นลูกค้าคนสุดท้ายเลยจ้ะ เราไปตอน ทุ่มนิดๆ เขาปิด 1 ทุ่ม

กินไรดีน๊าาาาา สุดท้ายก็จบท้ายด้วยแซลมอนกับมากุโร่ของโปรด เราต้องจ่ายเงินที่หน้าร้านก่อน แล้วเขาจะให้บัตรเรา เราก็เข้าไปหาที่นั่งได้เลย มีน้ำชาฟรีให้กิน สักพักเขาก็ออกมาพร้อมอาหาร เราก็กินอย่างอร่อยยยย

รสชาติเราว่าสู้อีกร้านหนึ่งที่เรากินรอบที่แล้วไม่ได้ แต่ก็โอเคค่ะ หลังจากนั้นก็ไปหาเสบียงตามพวกซูปเปอร์ชั้นใต้ดินแถว Ueno เพราะมั่นใจว่า พรุ่งนี้ เราตื่นเช้าแน่ 55 อาการเจ็ตแลตค่ะ (ใช่ซี่ พวกเธอบินจากไทยไม่ต้อง Jetlag นี่) เหมือนตอนนี้ที่เราพิมอยู่ ก็ Jetlag ค่ะ ตื่นมาตั้งแต่ตี 4

รีบไปนอน พรุ่งนี้จะไปเที่ยวนิดๆ ตอนเช้าก่อนแวะไปหาอาจารย์และโอก้าซัง (โฮสแม่) ค่ะ 1 ปีไม่ได้เจอกันจะเป็นยังไงกันบ้างนะ 

The reminder of the past

วันนี้เป็นวันที่จะพาตัวเองย้อนกลับไปสู่บรรยากาศและผู้คนจากปีที่แล้วอีกครั้ง เริ่มต้นด้วย ตื่นมาตั้งแต่ตี 4 (เพื่อ?) นั่งเล่นรอให้สายอีกนิด เราก็ออกเดินทางกันเลย แผนการวันนี้คือมีนัดเจออาจารย์พร้อมไปเอาของตอนเที่ยงและไปเจอโฮสแม่บ่าย 4 ที่เดียวกัน ตอนเช้าก็จะไปไหนดีล่ะ ไม่มีที่ไหนเปิดเท่าไหร่ เราก็เลยตัดสินใจไปมหาวิทยาลัยในฝันเรา Waseda University รอบที่แล้วเดิน Todai หลายรอบมาก รอบนี้ขอมาวาเซดะแล้วกันนะ ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย แวะกินข้าวเช้าแป๊บ กับเมนูที่คนไทยส่วนมากไม่น่ากล้ากิน 55

มันคือ..นัตโตะโซบะจร้า

แต่เอาจริง เราว่าคนทั่วไปก็กินได้นะ เพราะนัตโตะในชามนี้เหมือนเป็นถั่วทั่วไปมากกว่า ไม่ค่อยมีกลิ่นเน่าเลย การกินร้านโซบะแบบนี้ สิ่งที่ยากก็คือ เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย แต่ส่วนมาก หน้าร้านจะมีเมนูแนะนำนะ ชอบอันไหนก็ถ่ายรูปแล้วไปยื่นให้พนักงานเลยก็ได้ แต่ถ้าเป็นร้านตู้กดก็นั่งหารายชื่อในตู้ไปนะ (การใช้ตู้กดอาหาร คือเราต้องใส่เงินไปก่อนนะ แล้วถึงเลือกเมนูได้) เมนูที่คนญี่ปุ่นสั่งบ่อยสุดก็น่าจะเป็น かけそば (คาเคโซบะ) คือโซบะเปล่าๆ ใส่ในน้ำซุปโรยต้นหอม? แต่ถ้าใครชอบผักเน้นๆ ก็แนะนำเมนูของเราเลยคือ 山菜そば  (ซังไซโซบะ) ผักเน้นๆ ปกติเราก็กินแค่อันนี้แหละ

ไปเดินวาเซดะสักนิดนะ ช่วงที่เราไปน่าจะเป็นเวลาเข้าเรียนพอดี เด็กมากันเยอะมากเลย 

ความแตกต่างของนศ ญี่ปุ่นกะอเมริกาหรอ คือเราว่าคนญี่ปุ่นแต่งตัวเป๊ะมาก ผู้หญิงอย่างน้อยก็คือแต่งตัวแบบออกไปนอกบ้าน เซ็ทผม แต่งหน้า ถ้าเมกาหรอ...เช้าขนาดนี้ พวกใส่เกือบๆ ชุดนอนไปเรียนก็มี 55 เดินเล่นไม่ทันไร ก็ถึงเวลาไปหาเซนเซ (อาจารย์แล้ว) ก็ขึ้นรถไฟไป Ikebukuro แล้วต่อ JR ขึ้นไปสถานี Omiya แห่งเมืองไซตามะ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เราจากมา...... 久しぶり〜〜 (ไม่ได้เจอกันมานาน) พอออกจากสถานีมารอปุ๊บ เซนเซก็เดินมาเลย เซนเซคนนี้เป็นคนเดียวที่เราพูดโดยใช้รูปธรรมดา (ไม่ใช่รูปสุภาพ) ยกเว้นถ้าเขียนก็ยังใช้สุภาพอยู่ พอเจอกัน เซนเซก็เข้ามากอดแล้วก็แบบ 久しぶり (hisashiburi) เราก็แบบบอกไปว่าไม่ได้ใช้ญี่ปุ่นมาปีนึง ลืมหมดแล้วนะ 55 เซนเซก็เหมือนรู้ว่าเราอยากได้อะไร หยิบผลสอบออกมาให้เลย เป็นผลสอบ JLPT ของปีที่แล้ว รอคอยมานานมากมาย จากนั้นก็ออกไปเจอเพื่อนที่เคยเรียนร่วมชั้น แล้วก็ไปกินข้าวร้านใกล้ๆ เป็นร้านราเม็ง ก็นั่งคุยไป เพื่อนกลุ่มนี้เป็นคนเวียดนามแต่พูดแล้วใช้ญี่ปุ่นกันนะ เราก็เป็นคนเงียบๆ 55 ก็ดีใจที่ได้เจอ ถึงเราจะจำชื่อไม่ค่อยได้ ชื่อจำยากเกิน 55 พอแยกย้าย เซนเซก็ชวนไปกินของหวาน เป็นร้าน wagashi คือพวกขนมญี่ปุ่นที่เป็นถ้วยๆ เช่นถั่วแดว ชาเขียว ฯลฯ ก็ได้คุยกับอาจารย์มากมายสารพัดเรื่อง เรื่องชีวิต เรื่องทั่วไป ส่วนมากเราเป็นฝ่ายพูดมากกว่า ก็แบบ เออ Speaking skill เรายังอยู่ครบ

แยกย้ายจากอาจารย์ก็ไปเดินเล่น รอโฮสแม่ โฮสแม่ก็รู้ใจพาไปกินขนม  นั่งคุยกันไป 2 ชั่วโมงถึงเรื่องนู่นนี่ ส่วนมากก็เป็นเรื่องของเรา ว่าเราทำอะไร แล้วก็เลยบอกโฮสแม่ว่าย้ายเมืองนะ มาอยู่ที่นี่ บอกชื่อมหาวิทยาลัยไปแบบเห้ย! โฮสแม่รู้จักด้วย ความรู้สึกเรา คือเรารู้สึกว่าเราเป็นเหมือนลูกอีกคนจริงๆ ด้วยความที่เหมือนลูกๆ ของโฮสแม่ก็ทำงานกันแล้ว มีแต่เราที่ยังว่างๆ ร่อนไปมา 55 ชีวิตโชคดีมากๆ ที่ได้มาเจอโฮสแม่ที่เข้ากันได้ อาจเพราะเราเป็นคนกรุ๊ปเลือด B เหมือนกัน (เกี่ยวไหม) ชีวิตเราตอนนี้ถ้าจะไปหาโฮสอีกครั้ง จะต้องถามกรุ๊ปเลือดไหมเนี่ย 55 ชอบความชิลของคนกรุ๊ป B 55 ที่มหัศจรรย์ตัวเองคือ เราสามารถพูดญี่ปุ่น ฟังญี่ปุ่นตลอดหลายชั่วโมงได้โดยไม่รู้สึกเหนื่อย ปกติแค่พูดไม่กี่ชั่วโมงก็เหนื่อยแล้วตอนสมัยเริ่มเรียนแรกๆ แต่แสดงว่าเราดีขึ้น!!! (หลอกตัวเอง 55) 

Let's Go for Wwoof

วันเดินทางมาถึงแล้ววว พร้อมแล้ววว ปลุกใจตัวเองเบาๆ บอกตามตรงว่าก่อนหน้านี้ เรามีเรื่องคิดมากมาย ทั้งเรื่องย้ายที่เรียน คอร์สเรียน ชีวิต ฯลฯ เป็นช่วงที่เราเครียดมากๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า 1 อาทิตย์ต่อจากนี้ เราสามารถหลุดออกจากบ่วงนั้นได้ ทำให้เรารู้สึกว่าเออ ชีวิตมันยังมีอะไรอีกมากมายนะ 
การเดินทาง เราผิดตรงที่เราอ่านว่าโฮสอยู่เมืองนากาโน แต่จริงๆ เขาอยู่อีกเมือง เราก็เลยจองบัสมานากาโน ของ Willerbus โดยรวมประทับใจนะ ถ้ามีโอกาสอาจได้ใช้อีก สะอาด สุภาพ ขับดี จากโตเกียวไปนากาโนใช้เวลา 4 ชั่วโมงนิดๆ ราคา 1500 เยนถือว่าถูกดี 55

บรรยากาศในรถก็เงียบมาก คือเขามีใบแนะนำการนั่งเลย นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้วก็จะเป็นควรมีมารยาท คิดถึงคนอื่น เช่นอย่าเสียงดัง ถ้าจะเอนเบาะให้ไปถามคนข้างหลังด้วยไรงี้ (แต่เราก็ไม่ได้ถาม...ถามไม่เป็น55) แต่ตอนขากลับ คนข้างหน้าเราหันมาถามนะ เราก็ไฮๆ ไป 55 จากนากาโนก็ต้องนั่งรถไฟมา 40 กว่านาทีมาอีกเมืองนึง แล้วก็ต่อรถบัสไปตามที่ๆ โฮสบอก แล้วคือเราลงสถานีผิด ก็ต้องรอไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่าอีกคันจะมาแบบว่า โฮสจะยังรอเราไหม 55

พอไปถึงที่ โฮสก็มองๆ มาแล้วก็แบบ ไอจัง ใช่ไหม เราก็แบบใช่ๆ แล้วโฮสตอนคุยกันก็ใช้รูปสุภาพนะ แต่พอมาพูดจริงก็ใช้รูปธรรมดาตลอด ตามปกติเราจะถนัดรูปสุภาพมากกว่า (มัสสึ) เพราะเป็นคนสุภาพ 55 ไม่เกี่ยว เพราะหนังสือเรียน แต่พออยู่กะโฮส 1 อาทิตย์ เราแทบจะใช้รูปสุภาพไม่ถูกละ 55

ตอนแรกเรื่องภาษาก็ต้องจูนกันก่อน คือที่เราเขียนในเมลล์คุยกัน เราเขียนได้ไง เพราะเปิด translate google เอา แต่พอพูดจริงๆ เราพูดได้แค่ง่ายๆ เท่านั้น ก็พอหลังๆ โฮสก็เริ่มจับแนวถูก 55 จนหลังๆ ต้องมาเป็นล่ามให้เราเวลาเราคุยกะคนญี่ปุ่นคนอื่น 55 ขำดี

おつかれさま
ถึงบ้านโฮสแล้ว แบบว่าสวยมาก สวยเว่อร์ สวยจนต้องบรรยายความสวยให้ฟัง...... เพราะไม่มีรูป 55

นึกถึงบรรยากาศในหุบเขา แล้วบ้านโฮสเป็นบ้านที่อยู่ตีนเขาที่สูงที่สุด (ด้านหลังคือป่าและเขาจริงจัง) ฉะนั้นจากประตูกระจก จะเห็นเมืองด้านล่างทั้งเมือง ช่วงที่ไปเป็นพระจันทร์เต็มดวงก็จะเห็นดวงจันทร์ด้วย บ้านโฮสเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว เพิ่งสร้างเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเอง ใหม่มาก สไตล์บ้านค่อนข้างเป็นโมเดิร์นนะ ภายในบ้านโปล่งและโล่งมากก เป็นบ้านที่เราเห่อมาก ช่วงวันแรกๆ ด้านล่างบ้านเป็นสวนแอปเปิ้ล

ไกลสุดคือภูเขาที่โอบกอด
มองขึ้นไปคือท้องฟ้า ที่มีดวงจันทร์และดวงดาว
มองลงไปคือบ้านเรือนพร้อมแสงไฟระยิบระยับ
ปล่อยใจฟังกับเพลงเบาๆ ที่โฮสเปิด (บ้านนี้ชอบฟังเพลง)
กับอาหารยามค่ำคืน ที่อร่อยมวากกก

นอนหลับฝันดี 
Wwoof Day 1

ตื่นมาเตรียมพร้อมมาเลย แบบว่าพร้อมลุย!! สรุปวันนี้ร้านปิด 55

ตอนเช้าโฮสทำอาหารเช้าให้ทาน แล้วก็พาไปเดินเล่นรอบๆ เจอผลสตอร์เบอรี่ขึ้นเองอยู่ในป่าด้วย คุยนู่นนี่ไปเรื่อย ก็ยังจับแนวไม่ค่อยถูกอยู่ (ก็เน้นคุยกว้างๆ อย่าเพิ่งไปเจาะลึกอะไร) ก็พอรู้ว่าโฮสพื้นฐานเป็นคนโตเกียว เกิด โตที่นั่น แต่ค่อยชอบชีวิตในเมือง แล้วก็ชอบทำสวนมากๆ เคยไปทำงาน Part time ในสวนในไรอยู่ปีนึง จนสุดท้ายก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่นากาโน เมืองเล็กๆ กลางหุบเขา ชอบชีวิตกับธรรมชาติ ชอบ Slow Life ฯลฯ ส่วนมากก็จะอยู่บ้านคนเดียว กินข้าวคนเดียว ที่ร้านก็ทำงานคนเดียว (คือนางชอบชีวิตแบบนี้) นางเอก Little Forest ป่ะละ 55 คือตอนแรกเราไม่ได้ดู Little Forest ไง ความรู้สึกตอนแรกคือโฮสเราโคตรฮิปสเตอร์เลย เปิดร้านกาแฟ ทำสวนผัก กินอาหารเพื่อสุขภาพ บ้านแบบโมเดิร์นธรรมชาติ ชอบถ่ายรูป เล่นโซเชียล ชอบฟังเพลง ใช้ MAC Iphoneคือแบบครบ 55 แต่มีอย่างหนึ่งที่เรารู้สึกก็คือสิ่งที่โฮสเขาทำ คือเขาไม่ได้คิดเท่าไหร่ว่าทำแล้วดูเก๋ ดูอะไร อย่างเช่นไปบอกใครว่ามาอยู่ตจว เปิดร้านกาแฟ ทำสวนคนเดียว คือโคตรเก่งและเท่มาก แต่สำหรับโฮสเหมือนเขาก็แบบเฉยๆ นะ ไม่ได้รู้สึกว่าเท่อะไรมากมาย แค่อยากมาอยู่ตจว เพราะชอบทำสวนมากกกก เท่านั้นเอง วันนี้ได้เจอสามีโฮส คือเขาเป็นคนที่ฮาและประหลาดมาก เจอตอนเช้าครั้งแรก (พอดีเขาเพิ่งกลับมาเมื่อคืนดึกๆ) ตกใจมาก เพราะว่าเดินใส่ชุดตีผึ้งเข้าบ้าน 55 รู้สึกเหมือนเพิ่งออกไปตีรังผึ้งมา แล้วที่ตลกคืออะไรรู้ป่ะ ทั้งโฮส สามีโฮส เพื่อนสามีที่มาค้างด้วยและเรา เกิดเดือนเดียวกันเลยจร้า แถมเรากะสามีโฮสเกิดใกล้กันมาก เป็นราศีด้วยกัน พักหลังๆ โฮสเลยชอบแซว อ้อ พวกราศีมีนเป็นคนประหลาด 55 เราก็ตอบไปว่าเป็นคนปกติ ถามโฮสว่าสามีโฮสประหลาดไหม เขาก็บอกว่าใช่ เราเคยคุยด้วยแค่วันเดียวก็สัมผัสได้ เหมือนเขาเป็นคนติสต์ๆ หน่อยๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ญี่ปุ่นมีเยอะไหม... เพราะปกติไม่ค่อยเห็น บอกแล้วเราสัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างจากบ้านนี้ 55

พอแดดเริ่มไม่แรง เราก็ได้ไป....
ดำนาจร้า ครั้งแรกเลย แถมโฮสถอดรองเท้าดำเท้าเปล่าเลย เราก็เลยถอดด้วย 55 เป็น Feeling ที่ดีนะ สนุก 55แบบแอบไฮโซนะ นั่งรถเก๋งไปดำนา 55 มีข้อแม้คือห้ามล้ม ถ้าล้มต้องไปขึ้นรถกระบะ ของสามีโฮสกลับบ้าน 55 ตอนเย็น ค่ำๆ ไปรอสามีโฮสที่บ้านคุณลุงคนหนึ่ง คุยเรื่องผัก แมลงกันอย่างยาว(ฟังไม่ทัน...) แล้วลุงก็พาไปดูสวนของลุง ได้เห็นดอกผักชีครั้งแรก โฮสเราเกลียดผักชีมาก55
นึกว่าผักชียักษ์ ต้นอย่างใหญ่

ตอนเย็นๆ ก็ไปกินข้าวนอกร้าน เป็นร้านราเม็งเล็กๆ บรรยากาศญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ที่สัมผัสได้ก็คือท่านั่งโฮสเราแมนมาก 55 จะแมนกว่าสามีอยู่ละ คือแบบมองไปรอบๆ ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนมากจะนั่งพับเพียบ คือโฮสแม่เคยบอกว่านั่งขัดสมาธิไม่เรียบร้อย แต่โฮสเรา นั่งแบบชันขาเลย 55 แถมโต๊ะเราเสียงดังด้วย 55 หัวเราะกันอย่างเยอะ อยู่ที่นี่เลยสบาย เรากินข้าวที่บ้าน นั่งเก้าอี้เราก็นั่งขัดสมาธิ 55 ไม่ต้องเกรงใจ (โฮสอาจแอบนินทาในใจ55) โดยรวมคือได้มาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น version ชิล 55
กลับมาแล้วจร้า เพิ่งไปกินข้าวมา ร้านอาหารสไตล์อเมริกัน ไม่อร่อยเลย 55 คิดถึงอาหารไทยและอาหารญี่ปุ่นมากๆ TT

Wwoof Day 2 เริ่มทำงานจริงจัง
始めましょう!

วันนี้จะได้ทำงานจริงจังแล้ว คือที่ผ่านมา 2 วันโคตรเกรงใจ รู้สึกเหมือนกินฟรี อยู่ฟรี 55 ตื่นเช้ามา โฮสก็ทำอาหารให้กิน เป็นไข่คนกับผลไม้แล้วก็ขนมปังจิ้มน้ำผึ้งป่าที่สามีโฮสไปเก็บมาเมื่อวาน แบบว่า เห้ยยย น้ำผึ้งสดอร่อยมาก หอมมาก สดเว่อร์ จะหวานไม่เท่าน้ำผึ้งขวด ไม่ข้นเท่าด้วย แต่แบบได้สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติ 55 วันนี้โฮสบอกว่าออกจากบ้าน 8 โมง สรุปออก 8 ครึ่ง ชิลป่ะล่ะ 55 ขับรถผ่านภูเขาล้อมรอบแป๊บเดียวก็มาถึงร้านของเราแล้ว ขอบรรยากาศสักนิด
ทางเข้าร้าน
เข้าไปในร้านปั๊บ ก็จะเป็น Step เปิดร้านตามนี้
- ทำความสะอาดร้าน (กวาด ถู เช็ดโต๊ะ คลีนห้องน้ำ)
- รดน้ำต้นไม้ (เฉพาะพวกต้นอ่อน พวกต้นแก่ๆ ที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้วไม่ต้องรด)
- ช่วยโฮสเตรียมอาหาร หน้าที่หลักเราคือเตรียมผักสลัด เด็ดผัก ล้างงี้ 

วันแรกมาโฮสก็จะบอกว่า โอเค ทำอันนี้ก่อน เสร็จแล้วค่อยก็ทำอันนี้ๆ ง่ายๆ ไม่ยาก (ถ้าเทียบกับงานเก่าที่เราเคยทำ) เพราะเป็นวันแรก ทำ 2 ข้อบนเสร็จ โฮสก็ให้ไปศึกษาเมนู
ง่ายๆ ไม่ยาก ถ้าภาษาญี่ปุ่นคุณดีพอ 55 (แต่พอดีไม่ดีไง)
เมนูที่ร้านหลักก็คือ ช่วงมื้อเที่ยงจะมี 3 set ให้เลือก คือพิซซ่า แกงกะหรี่(ข้าวหรือนัน) และซุป มาพร้อมเครื่องดื่มให้เลือก ส่วนเครื่องดื่มก็คือมึนมาก มีเยอะมากประมาณเกือบ 20 อย่าง กาแฟมี 3 ชนิด/ ชามี 4 อย่างที่เหลือก็จะเป็นพวกแบบสมูตตี้ โกโก้ Chai ไรงี้  แล้วถ้าคนเรียนญี่ปุ่นจะรู้ว่าคำพวกนี้มันทับศัพท์ต้องเขียนเป็นคาตาคานะ ซึ่งแบบว่า....เราเขียนช้ามากกกก

11:00 น. เวลาเปิดร้าน
ลูกค้ามาเลยจร้า ตรงเวลาเป๊ะ ด้วยความที่วันนี้เป็นวันอาทิตย์...โฮสก็ทำหน้าแบบ ออกไปรับลูกค้าเลย ภายนอกเราก็แบบค่ะๆ ภายในคือแบบ....จะรอดไหม ไม่มีเทรนไรเลยนะว่าต้องพูดไง ความรู้เก่าล้วนๆ
เริ่มแรกคือยกน้ำไปเสิร์ฟ แล้วก็ออกไปรับออร์เดอร์ มาบอกโฮส ตอนโฮสทำอาหารเราก็เตรียมสลัด เตรียมช้อนส้อม(ให้ถูก เพราะอาหารแต่ละอย่างใช้อุปกรณ์ไม่เหมือนกัน) เอาอาหารไปส่ง รอจนกินเสร็จไปเก็บจานมา แล้วก็ยกน้ำและหรือของหวานไปเสิร์ฟ ถ้าลูกค้ากินเสร็จก็ไปเก็บจานเปล่ากลับมา ประมาณนี้ แล้วตอนจดออร์เดอร์ เราอย่างช้า 55 กว่าจะนึกออก เขียนถูกๆ ผิดๆ อาศัยประสบการณ์เคยทำงานร้านอาหารกับร้านสปามาช่วยล้วนๆ เลยรอดมาได้แล้ววันนี้แบบว่า Busy มากกกก โฮสบอกว่าปกติไม่เยอะขนาดนี้ 55 ขนาดตอนเย็นโฮสโทรคุยกะสามียังบอกเลยว่าวันนี้คนเยอะมาก โชคดีที่ทำกัน 2 คน ถ้าคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ ฟังแล้วก็ดีใจที่เราเป็นตัวช่วยไม่ใช่ตัวถ่วง 55
โดยรวมแล้วเราก็จะทำพวกรับออร์เดอร์ ส่งอาหาร ล้างจานเป็นหลัก ให้รับออร์เดอร์ปกติพอไหวนะ แต่อย่าถามอะไรที่ Advance มาก มีลุงคนหนึ่งชวนคุยแล้วคือไม่รู้ว่าเป็นภาษาคนแก่ แกกำลังเมาหรือเราโง่เอง ก็คือฟังไม่ออกจ้ะ ภาษาญี่ปุ่นก็ใช่จะรู้เยอะ พวกประโยคสวยๆ จำเขามาทั้งนั้น

ตอนเย็นกลับบ้านโฮสพาไปแช่ออนเซ็นเท้า คือเพิ่งรู้ว่ามันช่วยได้เยอะมากกกก อยากเอาออนเซนมาไว้ที่อเมริกาจัง 55 เย็นนี้กินสลัดเป็นมื้อเย็น โฮสกับเราเหมือนกันอย่างคือไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์ (จริงๆ นะ แต่วันก่อนมาญี่ปุ่นเพิ่งแทะ Rib อยู่เลย 55) จริงๆ คือผักอะไรมาก็ได้ เรากินได้หมด เดี่ยวมาเมาท์เรื่องอาหารให้ฟังอีกที

นั่งนอนเล่นในบ้านแสนสวยของโฮส ชอบบ้านโฮสมาก ชีวิตดีสุดก็ชีวิตโฮสนี่แหละ55 ถามโฮสว่าอยากทำอะไรบ้าง โฮสบอกว่าอยากไปตปท แต่ตอนนี้ต้องเก็บตังค์ หมดไปกะบ้านหลังนี้55 
มาต่อละจร้า ไม่ได้หนีไปไหนนะ เพิ่งตื่น 55 นอนกลางวันตื่นกลางคืน คือชีวิตเรา

Wwoof day 3
山笑 (ยามะวะราอุหรือภูเขายิ้ม) คือชื่อร้านของเรา มีฉากหลังเป็นป่าเขาด้านหลังเป็นป่าเขา

หน้าที่ในร้านก็เหมือนเดิม เริ่มลงตัวลูกค้าไม่เยอะด้วย โฮสให้ขึ้นไปหาของชั้นข้างหมด หานานมากกว่าจะเจอเพราะฟังซ้ายขวาผิด
วันนี้ได้ลองแต่งหน้าเค้ก จัดจาน เตรียมสลัดด้วย มีออร์เดอร์น้ำที่ต้องใช้ใบมิ้นต์มา โฮสก็หันมาถามว่า "รู้จักมินต์ไหม" เราก็งงๆ ตอบไปว่า รู้ดิ โฮสก็เลยบอกว่าให้ออกไปตัดยอดมิ้นต์มา ออร์แกนิกป่ะล่ะ กว่าจะหาต้นมิ้นต์เจอนานมาก
ทำให้เรารู้ว่า มิ้นต์หรือใบสะระแหน่เป็นพืชที่ปลูกง่ายมาก ควรปลูกไว้ตามบ้าน ขึ้นไว แพร่พันธ์ง่าย ประหนึ่งเป็นวัชพืช

วันนี้ไม่ยุ่งเท่าเมื่อวาน เลยมีเวลาพักผ่อนเมาท์มอยเยอะ นั่งดูพวกราศีวันเกิด โฮส สามีโฮส เรา เกิดเดือนเดียวกันเลย 2 20 24 อ่านหนังสือราศีไปโฮสก็ขำไป เราก็แบบ......แปลไม่ออก55
มุมนั่งชิลในร้าน

ส่วนมากพอกินข้าวเที่ยงเสร็จ (กินประมาณบ่าย 2 โฮสก็จะให้ไปพักประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงแล้วก็มาทำงานต่อ)

หน้าที่ในสวนวันนี้คืออกไปปลูกมันด้วย เราเพิ่งรู้นะว่ามันฝรั่งกับมันหวาน ถึงแม้หน้าตามันจะเหมือนกัน แต่วิธีการปลูกต่างกันลิบลับเลยนะ อย่างมันฝรั่ง (じゃがいも)เอาหัวมันลงดินได้เลย แต่ถ้ามันหวาน (薩摩芋) ต้องเอาต้นลงดินเหมือนปักชำ พอดีเพื่อนฝากถามมาเรื่องปลูกมันก็เลยโฮสก็ฝากบอกว่า แต่ถ้าซื้อพวกหัวมันที่กินมาปลูก มันขึ้นยากนิดนึง ส่วนมากขึ้นมาแล้วจะเป็นโรคเยอะ พอคุยเรื่องมันก็ไปต่อเรื่องชา โฮสรู้เรื่องชาแบบเยอะมาก พูดให้ฟังเยอะมาก (แต่เราจำไม่ได้) อยู่กะโฮสคนนี้ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดแต่ก็สนุกดี บอกโฮสว่าไม่อยากกลับ นางบอกให้มาอีก55 เลยตอบไปว่า もちろん (แน่นอน!) 
อาหารการกิน

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง การ Wwoof ก็ต้องกินอาหารอร่อยๆ สำหรับคนที่อยากทานอาหารที่ใช่ ที่ชอบ ให้เขียนรวมไปเลยตั้งแต่ส่งเมลล์หาโฮสว่ากินอะไร ไม่กินอะไรบ้าง สำหรับของเราคือชอบกินผัก ไม่ชอบกินเนื้อ ไม่กินไข่ดิบ ไม่กินของทอด กินนัตโตะผักดองอะไรพวกนี้ได้หมด  อาหารที่เราได้ทานก็เลยเป็นแบบนี้

 

แม่เราบอกว่า เหมือนอาหารเจ 55 แล้วเราเพิ่งมารู้ทีหลังว่าโฮสเรา ไม่ชอบกินเนื้อ (ไก่ หมู วัว) และไม่ชอบของทอด แต่ชอบกินผัก และพวกอาหารเพื่อสุขภาพ (คลีนๆ) คือง่ายๆ กินเหมือนกัน 

อันนี้มื้อกลางวัน กินที่ร้าน อร่อยมาก ฟินมากกกกกก

อร่อยมากกกกก
เป็นเมนูที่ขายในร้านค่ะ แต่ปกติจะจัดจานอลังการกว่านี้ อันนี้สำหรับเรากิน อร่อยมาก เป็นซุปญี่ปุ่นใส่ผักตากแห้ง (ผักตากแห้งทำเอง) แล้วก็เครื่องเคียง จากที่เราเคยไปอยู่ญี่ปุ่น มาเที่ยวญี่ปุ่นหลายครั้ง ถ้าถามว่าอาหารที่อร่อยที่สุดที่ได้กิน ก็ขอตอบว่าบ้านโฮสที่นี่ค่ะ อร่อยทุกอย่าง อาจเพราะเป็นอาหารที่เราชอบพอดีด้วย
หลังจากกลับจากวูฟที่นี่ เราเลยเปลี่ยนการกินเลยค่ะ พยายามกินเหมือนตอนมาวูฟที่นี่ เพราะรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น อาจเพราะได้ใช้แรงกายและอากาศก็ดี๊ดี เป็นสิ่งหนึ่งที่เราได้จากการมาวูฟครั้งนี้เลย คือเมื่อก่อนเราเป็นคนชอบทานของหวานมาก พวกเค้ก ช็อกโกแลต ไอติม แต่ช่วงนี้ เราได้อ่านเยอะ ก็เริ่มกลัวขึ้นมา ยิ่งมาฟังโฮสพูดถึงของหวานทำนองว่าจริงๆ ร่างกายเราไม่ได้ต้องการของหวานหรอก มาอยู่นี่ก็จริงนะ ทุกวันกินของคาวเป็นหลัก ก็ยังอิ่มสบาย เดี๋ยวนี้เลยกินของหวานน้อยลงไปเลย ฉะนั้นใครมาวูฟที่นี่ เราไม่ชัวร์ว่าโฮสจะทำพวกเนื้อให้ทานหรือเปล่านะ เพราะว่าเมนูในร้านก็ไม่มีเนื้อสัตว์ ที่บ้านก็ไม่เห็นมี พูดแล้วหิวเลย ^^ 
Wwoof day 4
วันนี้ โฮสให้ออกไปเก็บผักในสวนมาทำกับข้าว เขาบอกชื่อผักมา พร้อมคำอธิบาย (ลูกโตๆ ออกแดงๆ อย่าสลับกับอีกอันนึงนะ) ก็โอเค ไปถอนออกมาหมดทั้งแถว โชคดี เด็ดมาถูกอัน

ลูกค้าในร้านมีไม่เยอะมาก มีคนนึงถามว่าเกี่ยวกับเมนูทาร์ตรูบาบ ว่ารูบาบคืออะไร โชคดีที่เราเคยกินที่อเมริกามาก่อนเลยตอบถูก ก็อธิบายไปว่า "เป็นผลไม้ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน" เฮอ ลูกค้าเข้าใจ รอดไปนะ 55 (จริงๆ มันคือผักนะ เพราะเราใช้ก้านมันทำอาหาร นิยมใช้ทำขนมค่า)
เราจัดจานเค้กได้แล้วนะ อันนี้เป็นเค้กชาเขียวกับอะไรสักอย่าง เมนูของหวานจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในร้านจะมีเค้กหรือทาร์ต 2 ชนิด พอบ่ายแกๆ โฮสก็ออกไปตัดหญ้าบ้าง (หลังจากเราถอนหญ้าไปแล้วช่วงเที่ยง) บอกเราว่าถ้ามีโทรศัพท์ให้รับเลย เราก็บอกไปว่า ค่ะๆ (ในใจคือจะฟังรู้เรื่องไหม ขนาดภาษาอังกฤษยังฟังไม่รู้เรื่องเลย สมัยเทรนงานที่สปา เทรนเป็นอาทิตย์นะ กว่าเจ้านายจะยอมให้รับโทรศัพท์) สรุปมีโทรมาสายหนึ่ง โชคดีฟังออก ก็บอกไปสวยๆ ว่า ちょっと待ってください (โปรดรอสักครูนะคะ) แล้วก็ถือโทรศัพท์ออกไปให้โฮส 
ชีวิตเกษตรกรญี่ปุ่น
ทุ่งนาข้างร้าน ทำงานเหนื่อยๆ ออกมามองวิวเล่น
พอมาอยู่ญี่ปุ่นได้ 1 อาทิตย์ เราก็รู้สึกเข้าใจชีวิตเกษตรชาวญี่ปุ่นมากขึ้น งานเกษตรกรรมเป็นงานที่เหนื่อยมาก แค่ถอนหญ้าพื้นที่แมวดิ้นตาย เรายังใช้เวลานานมากเลย แถมทั้งร้อนทั้งปวดหลังปวดขา แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังรักในงานเกษตร เช่นคุณลุงคุณป้าแถวบ้านโฮส โฮสเราและนางเอก Little Forest ถ้าถามว่าความสวยงามของงานเกษตรคืออะไร คำตอบก็คือการได้มีโอกาสอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ เราไม่ต้องไปฟาดฟันฝูงชนไปทำงาน ไม่ต้องยุ่งยากกับความสัมพันธ์อันซับซ้อน  ชีวิตของเราคือการตื่นมาดูแลต้นไม้ แปลงผัก ที่เป็นแหล่งอาหารของตัวเอง ปัญหาในด้านการเกษตรก็มี เช่นรายได้น้อย ภัยธรรมชาติ สัตว์ป่าบุกรุกฟาร์ม ฯลฯ งานเอาจริงๆ ก็หนักนะ เหนื่อยกาย แต่ก็ดีกับสุขภาพ ไม่ต้องไปออกกำลังกายเลย (แค่ยกฝักบัวรดน้ำ จากร้านออกมารดแปลงวันละ 4-5 กระบวย ก็เหนื่อยละ 55) เจอถอนหญ้าเข้าไป...จบเลยเรา อารมณ์คล้ายๆ ใน Little Forest แหละแต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ผ่านโฮสและชาวสวนคนอื่นๆ ก็คือพวกเขาเป็นคนที่มีความรู้และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้มาก ขนาดโฮสเราทำสวนมาได้ 7 ปี ความรู้ก็เยอะแล้วนะ เขาก็ยังหาความรู้เพิ่มเติมเสมอ เช่นจากหนังสือหรือจากชาวสวนรุ่นใหญ่ เราได้ไปบ้านลุงท่านหนึ่ง เป็นบ้านที่โฮสชอบไปขอยืมเครื่องมือเกษตร ในบ้านมีชั้นวางหนังสืออยู่ ทั้งชั้น (ประมาณ 4 ชั้น) มีแต่หนังสือเกี่ยวกับต้นไม้ เกษตรกรรมหมดเลย เพราะความรัก ทำให้เขาขยันที่จะเรียนรู้ การเรียนรู้ทำให้เกิดปัญญาและทำให้สวนของพวกเขาสวยงาม พอได้มาคุยกับโฮสทำให้เราเกิดความคิดหนึ่ง หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า "สำนักรักบ้านเกิด" ซึ่งส่วนมากจะถูกตีความไปในแง่ของเกษตกร สำหรับเรา เราว่าการทำงานไม่ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกบังคับ หากรุ่นลูกไม่อยากทำงานเกษตรมันก็ฟังดูเศร้าทีจะต้องขายพื้นที่สวนทิ้งไป แต่ทำอย่างไรได้ ถ้าหัวใจเขาไม่ได้มีให้กับการเกษตร การฝืนทำไปก็ไม่มีประโยชน์ เมล็ดพันธ์ต่างชนิด ย่อมต้องการพื้นดินที่แตกต่างในการเติบโต เราเชื่อว่าคนเรา ปกติถ้าเรารักสิ่งนั้น เราก็จะพยายามดั้งด้นหาวิธีให้มันดีเองป่ะ แต่ถ้าคนเราไม่รัก ถูกสั่งหรือจำเป็นต้องทำ เขาก็จะแค่ทำให้ผ่านไปวันๆ ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไร แต่สำหรับเรา เราอยากบอกว่าการเกิดเป็นเกษตร มีพื้นที่ไร่เป็นของตัวเองนั้น โชคดีมากเลย งานอาจหนัก แต่คุณคือนายของตัวเอง อาหารทีคุณกิน คือสิ่งที่คุณปลูก คือสิ่งที่คุณมั่นใจว่าปลอดภัย 
ทรัพย์ในดิน
เมื่อวันก่อน เราได้ดูสารคดี(ชาวนาเงินล้าน) เรารู้สึกว่าการทำเกษตรไม่มีวันจน ตราบใดที่คุณทำการเกษตรแบบมีความรู้และไม่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เน้นอีกทีนะ ต้องมีความรู้แบบมากๆ อีกอย่างการทำการเกษตร เราว่าเป็นศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากๆ เลยนะ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ ต้องมีการวางแผนเช่น สภาพดิน สภาพพื้นที่ตรงนี้เป็นยังไง น้ำถึงไหม อากาศล่ะ ทุกอย่างมีเหตุมีผล เกษตรกรที่คนปลูก ก็ต้องค้นคว้าหาวิธีที่จะพัฒนาต่อไปไม่หยุดนิ่ง ^^ โฮสบอกมา ปีนี้แล้ง ผลผลิตเลยไม่ค่อยดี 
 
Wwoof day 5
โถด้านบนคือชาประเภทต่างๆ
วันนี้ตอนเย็น มีคุณลุงมาทำโซบะให้ทาน คุณลุงคนนี้งานอดิเรกคือการทำโซบะ ทำให้ทานเสร็จเขาก็ชวนคุยต่อ คนญี่ปุ่นตอนแรกๆ ก็จะแบบว่าไอจัง พูดญี่ปุ่นได้ไหม พอบอกว่าได้นิดหน่อยเท่านั้นแหละ มาต่อเป็นชุดเลย โฮสเลยต้องบอกว่าต้องใช้คำง่ายๆ ลุงชวนคุยหลายเรื่องมาก ตั้งแต่เรื่องอาหาร ชีวิต มาจบลงที่อยากมาเที่ยวไทย เหตุผลคือ.....อยากมาตกปลาที่แม่น้ำโขง ลุงบอกว่ามีปลาตัวใหญ่มาก 55 แล้วสักพักลุงก็ถามเราเรื่องกินว่า กินอาหารญี่ปุ่นได้ไหม โฮสก็บอกว่า เขากินได้หมด ลุงก็เริ่มจาก อันนี้ต้องกินไม่ได้แน่ "นัตโตะ" (กินได้ค่ะ) อันนี้ล่ะ พวกของหมักดอง (กินได้ค่ะ)... ดูลุงเสียความมั่นใจเบาๆ 55 แล้วลุงแกรู้เรื่องเยอะนะ ทั้งข่าวเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ เราว่าจริงๆ ลุงแกพูดอังกฤษได้นิดหน่อยนะ แต่ก็พยายามพูดกะเราเป็นญี่ปุ่น  โฮสบอกว่า ต้องพูดช้าๆกับเรา ลุงบอกว่า ถ้าพูดช้าก็ไม่เก่งสักทีดิ 55 วันนี้หลังปิดร้านมีทีมโปรดิวเซอร์หนังมาคุยกะโฮสและเพื่อนโฮส เหมือนมาหา Inspiration 
แล้วของเมื่อวาน (ลืมเล่า) นั่งเมาท์กะโฮสมันมาก ยาวมาก เรื่องนิสัยคนญี่ปุ่น  (จากที่โฮสเล่ามานะ จริงไม่จริงไม่รู้) โฮสบอกว่า คนเกียวโตจะมารยาทดีมาก แต่แบบแอบน่ากลัง คือแสดงออกไม่ตรงกับใจเลย ภายนอกคนเกียวโตจะเรียบร้อย ยิ้มแย้ม เป็นมิตรมาก แต่ก็จะมีวัฒนธรรมบางอย่างเช่น ถ้ายกไม้กวาดขึ้นไว้ทางเข้าประตูตอนแขกเดินออก แสดงว่าไม่ต้องการให้กลับมาอีก คือนึกออกป่ะ ภายนอกจะแบบ "แล้วเจอกันใหม่นะ กลับบ้านดีๆ ลาก่อนนะ" เดินไปถึงประตู ปะ เข้าใจนะ 55 ถึงเกียวโตจะใกล้กับโอซาก้า นิสัยคนก็แตกต่างกันมากมาย คนโอซาก้านี่จะแสดงออกค่อนข้างตรง จนบางทีดูล้นไป คนเมืองอื่นก็จะไม่ค่อยชอบคนโอซาก้าเท่าไหร่ เพราะบางทีก็จะพูดแบบ "ข้าหล่อ ข้าดี" ไรงี้ ซึ่งคนญี่ปุ่นส่วนมากไม่ทำกัน ที่ตลกคือ ทั้งเกียวโตและโอซาก้าจะพูดสำเนียงเดียวกัน คือคันไซเบง ต้องฟังดีๆ ถึงจะแตกต่าง โฮสบอกว่าของเกียวโตจะนิ่มนวลกว่า แต่บางทีคนนอกก็ฟังไม่ค่อยออก (เหมือนสำเนียงเชียงใหม่ ลำพูน แพร่ อะไรอย่างนี้ คนภาคอื่นก็แยกไม่ค่อยออก)  ถึงจะพูดสำเนียงเดียวกันแต่คนเกียวโตกับโอซาก้าก็ไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่ (ตรงนี้ฟังไม่ทัน)ประมาณว่าผู้หญิงโตเกียวชอบหนุ่มโยโกฮาม่าเพราะหุ่นดี (เมืองติดทะเล) คนชิบะ/ไซตามะมาอยู่โตเกียวเยอะมาก อารมณ์แบบคนนนทบุรี/ปทุม มาทำงานในกทม คนพวกนี้ก็จะถือว่าตัวเองเป็นคนโตเกียว เพราะเวลาพูดก็ไม่มีสำเนียง เนียนๆ เป็นคนโตเกียวได้ แต่จริงๆคนโตเกียวไม่นับรวมด้วย Ikebukuro เป็นย่านที่น่ากลัวมาก มีทังปล้น. ยา ฯลฯ โฮสบอกว่าขนาดฉันเองยังไม่ค่อยอยากไป สำเนียงแถบฟุกุโอกะ/คิวชูน่ารัก สาวโตเกียวชอบมาก คนแถบเหนือๆ หนาว พวกโทโฮกุ พูดจะไม่ค่อยขยับปาก ชอบตัดคำเหลือสั้นๆ เช่น วาตาชิ (ฉัน) เหลือแค่ "วา" โฮสบอกก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกันคนโอกินาว่าพูดภาษาประหลาดฟังไม่ออกเลยสักคำ โฮสบ่นๆ นิดๆ เรื่องภาษาว่า คนเดี๋ยวนี้ใช้คำว่าคาวาอี้ฟุ่มเฟือย อะไรๆก็คาวาอี้ไปหมด55 แล้วเราพึ่งรู้คำว่า 超 เช่น 超面白い ที่เป็นคำเติมหน้าคำวิเศษแปลว่ามาก โฮสบอกว่าเป็นภาษาเด็กรุ่นใหม่ สมัยโฮสไม่ค่อยนิยมใช้ 
 
จะรอดไหมเนี่ย หนูน้อยของฉัน

มีแตะเรื่องวัฒนธรรมนิดๆ คือเราถามโฮสเรื่องภาษาว่า ถ้าเราใช้คำ (ผู้ชาย) เช่น わからねい・知らねい ไรพวกนี้ถือว่าโอเคเปล่า โฮสบอกว่า ใช้กับเพื่อนสนิทมากๆ ก็โอเคแต่เป็นผู้หญิงอย่าใช้เลย 55 คือเราได้ยินโฮสหลุดพูดมาหลายครั้งไง โฮสเลยบอกว่าส่วนตัวสมัยเรียนอยู่ชมรมกีฬา ผู้ชายเยอะเลยติดมา แล้วโฮสก็บอกว่านั่งชันขาอย่างนี้ นั่งเท้าแขนแบบนี้ ฯลฯ ไม่เรียบร้อย ทั้งหมดคือโฮสบอกมาจริงไม่จริงไม่รู้แต่ที่รู้คือฟังๆไม่ผิด55 คุยไป เกือบ 3 ชั่วโมง สมองล้าเลยทีเดียว 
 
คำแนะนำการทำงานกับของญี่ปุ่น
(wwoof version)
แวะเอาขนมจากร้านที่เราทำมาเสิร์ฟ
คำแนะนำจริงๆ มีข้อเดียวคือให้ตั้งใจทำงาน มันเหนื่อยอ่ะบางที แต่ก็พยายามทำไป สำหรับเรา งานร้านอาหารนี่สบายมาก เพราะเราเคยทำงานร้านอาหารมาก่อน เยอะและยุ่งกว่านี้เยอะ ฉะนั้นเราว่าเราทำได้โอเคนะ จุดดับของเราคืองานสวน แบบว่าให้ทำงานร้านอาหารทั้งวันเราทำได้นะ แต่แค่ถอนหญ้า 2-3 ชั่วโมง เราจะเป็นลมแล้วอ่ะ ไม่รู้ทำไม

ข้อสำคัญของคนญี่ปุ่นก็คือเวลาทำงานเขาจะจริงจังกันมาก ที่เราสังเกตคือไม่ค่อยคุยเล่นเวลาทำงาน อย่างคนไทยบางทีเวลางานก็ (ถ้ามีโอกาสก็จะหาเรื่องเมาท์กันใช่ป่ะ) คนญี่ปุ่นจะน้อยกว่ามาก ขนาดโฮสเราเป็นญี่ปุ่นสายชิล เวลาทำงานก็คืออารมณ์แบบเขาเป็นเจ้านายไรงี้ ให้เราทำอะไรเราก็ทำไป ด้วยความที่เราเป็นเด็กกว่าด้วยแหละ จะให้ทำไรก็แบบ "โอเคค่ะ"

หลักๆ นิสัยคนญี่ปุ่นที่เขาร่ำลือกันก็จะปรากฏในการทำงานเป็นหลักค่ะ
- ตรงเวลา
- สะอาด เป็นระเบียบ
- สุภาพเรียบร้อย
- คิดถึงลูกค้า

ฯลฯ

เห็นโฮสบอกมาว่าพวกบรรดาโฮสชอบวูฟเฟอร์ชาวไต้หวันมาก เพราะขยันทำงาน แบบให้นั่งถอนหญ้าก็ถอนได้ทั้งวัน ต่างจากฝรั่งที่ทำได้แบบ 2 ชั่วโมงก็เบื่อ ต้องไปทำอย่างอื่น ส่วนคนไทย โฮสบอกว่ายังไม่เคยมีมา เราเป็นคนแรก (แถวๆ นี้ก็อาจยังไม่เคยมีด้วยมั้ง) หวังว่าจะไม่ทำให้คนเสื่อมเสียค่ะ อีกอย่าง คือก่อนไปทำงานอ่านคำบรรยายหน้า Profile ของโฮสให้ดีนะ 
ลูกค้าของฉัน คืออีกหนึ่งประทับใจ
เมนูซุปประจำสัปดาห์ ของหวาน วันหยุดร้าน และข่าวสารต่างๆ

เมื่อก่อน เราเคยกลัวการทำงานคนของญี่ปุ่นมากๆ มันดูต้องดี ต้องเรียบร้อย งานก็เหมือนจะหนักมากๆ โดยเฉพาะงานบริการ แต่พอเอาเข้าจริงก็ไม่ได้หนักไปกว่างานที่อเมริกาเท่าไหร่ และลูกค้าก็เป็นอีกคนที่น่ารักมากๆ ลูกค้าญี่ปุ่น คนเรื่องมากน้อยค่ะ คนทำร้านอาหารจะรู้ว่าไม่ค่อยชอบลูกค้าที่เรื่องเยอะ วุ่นวาย ที่ญี่ปุ่นนี่ลูกค้าเรื่องน้อยอันดับต้นๆ เลย อย่างเช่นพอไปถึงตอนรับออร์เดอร์ เขาก็จะบอกมาว่าจะเอาอะไร (ตามเมนู) ไม่มีการมาแบบ เค็มน้อย เผ็ดขึ้นอีกนิด น้ำมันน้อย ฯลฯ ตอนทานก็ไม่ค่อยขออะไรเพิ่มเท่าไหร่เลย  แถมที่ประทับใจก็คือ ลูกค้าเกือบทุกคนแบบเกิน 90 เปอร์เซนต์ กินอาหารหมดจาน แบบหมดเกลี้ยงจริงๆ (เวลาล้างเลยง่ายมาก) ชอบตรงที่เขาไม่กินทิ้งกินขว้าง แบบบางทีลูกค้าอยากทานของหวาน ก็จะสั่งเป็นอย่างๆ เช่นรอทานข้าวเสร็จก่อนแล้วสั่ง และก็ทานหมดเกลี้ยงเลย มันดูเป็นการเคารพคนทำนะ
อันนี้เราจัดจานเอง (แค่เอาเค้กออกจากกล่อง ปาดครีม ปักคุกกี้ เสียบใบมิ้นต์)

อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้รู้เพิ่มก็คือการใช้คำศัพท์ แน่นอนว่าคนญี่ปุ่นจ่ายเงินที่เคาร์เตอร์ แต่เราควรพูดว่าอะไรดีล่ะ?
すみません ซุมิมาเซง ไหม หรือจะ ありがとう อะริกาโตะดี หรือควรพูดเหมือนที่เรียนมาคือ お勘定お願いします (เก็บเงินด้วยค่ะ) แต่จริงๆ แล้วคนญี่ปุ่นร้อยละร้อย เดินมาถึงเคาร์เตอร์ปั๊บ เป็นนัยๆ ว่าจะจ่ายเงินจะใช้คำว่า โกะจิโซซามะเดชิตะ (ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้) ごちそうさまでした ทุกคน พอโฮสคิดเงินเสร็จ โฮสก็จะพูดขอบคุณ บางคนก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าบางคนก็จะตอบกลับมาอีกครั้งด้วยประโยคเดิมว่า ごちそうさまでした (จะไม่ใช้อะริกาโตะเลยนะ)

สมัยเราเรียน เราก็เข้าใจว่าคำนี้ใช้แค่ตอนกินข้าวเสร็จแล้วพูดอย่างเดียว แต่จริงๆ ใช้ในร้านก็ได้นะ พอเรากลับโตเกียว ไปเที่ยวเล่น เลยได้ลองใช้เลย ตื่นเต้น 55 
รีวิวการนั่งรถบัส รถเมย์ รถไฟ

เริ่มจากรถไฟก่อน
- เช็คตารางได้ที่ Hyperdia.com
- ถ้าใช้บัตรพวก Suica หรือ Passmo เหมือนบัตรแรบบิตจะได้ลดราคาต่อเที่ยว (ประมาณ 5-10 เยนมั้ง ไม่แน่ใจ) เวลาใช้ก็แตะเอา
- ถ้าไม่มี ก็ต้องไปกดตู้เอา วิธีการมีหลายแบบ บางที่ก็ใช้กด Destination บางที่ก็กดราคาตั๋วเอา (หาแผนที่แถวๆ นั้น ส่วนมากอยู่เหนือตู้กด) ตู้จะมีเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แต่ถ้ายังงงก็ลองถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นดู ตอนนั่งรถไฟจากนาโกโนไปเมืองโฮสเราก็กดหาไม่เจอ เจ้าหน้าที่ก็มาช่วย
- รถไฟถ้าเป็นต่างบริษัท ต้องแตะออก แล้วก็แตะเข้าใหม่ (เสียเงินใหม่) แต่ถ้าเป็นบริษัทเดียวกันเช่นในเครือ Tokyo Metro ไรงี้ เปลี่ยนรถไฟได้ ไม่ต้องแตะออก
- แถบคันโต (โตเกียว) ชิดซ้าย คันไซ (โอซาก้า) ชิดขวา แต่ถ้าเป็นเมืองอื่น...เราไม่รู้ 55 กระเป๋าเดินทางก็ต้องเอามาวางไว้ขั้นบันไดหน้าเราหรือหลังเราด้วย
- ไม่คุยเสียงดัง และไม่คุยโทรศัพท์ เต้นแร้งเต้นกาบนรถไฟนะคะ
ต่อด้วยรถเมล์
- รถเมล์ญี่ปุ่นส่วนมากขึ้นประตูกลาง ลงประตูหน้า ง่ายๆ คือตามคนส่วนมากไป
- ความท้าทายของรถเมย์คือ ส่วนมากมีแต่ภาษาญี่ปุ่น
- เวลาขึ้นประตูกลางแล้ว ด้านขวามือจะมี Ticket ออกมาให้หยิบมา มันจะบอกว่าเราขึ้นจากไหนมา  พอตอนลงก็ดูตัวเลขเราว่าในป้ายด้านหน้ารถ ขึ้นราคาเท่าไหร่
- รถเมล์เหมือนไม่มีเงินทอนนะ แต่อาจมีเครื่องแลกเงิน (เราใช้ไม่เป็น)

รถบัส
- เป็นการเดินทางข้ามเมืองที่ประหยัดกว่ารถไฟ เด็กพวกนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่นนิยมใช้
- ครั้งนี้เรานั่งเป็นครั้งแรก ใช้ของ Willer ได้มาถูกมาก จากโตเกียวไปนากาโน 4 ชม. ไปกลับ 3 พันเยนเอง
- มารยาทการนั่งรถบัสก็เหมือนเดิม ไม่คุยโทรศัพท์ คุยเบาๆ เกรงใจคนอื่น
- รถของ willer คุณภาพดี คนขับดี แล้วก็จะจอที่มีหนัง มีเพลงฟังด้วย เหมือนในเครื่องบินเลย 55
- ของเราแวะจอดประมาณ 2 ที ให้พักไปเข้าห้องน้ำ ซื้อขนม ต้องดูเวลาดีๆ ว่าต้องกลับมาขึ้นรถกี่โมง
- ที่นั่งแยกชายหญิง ชายอยู่ด้านหน้า หญิงนั่งด้านหลัง
- รถออกตรงเวลาและกลับตรงเวลา แบบเป๊ะมากกกก

เดี๋ยวมาต่อนะคะ ขอพักตา เราไม่ไหวแล้ว ปวดตามาก 
ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ ดีใจที่มีคนชอบอะไรเหมือนกันๆ
มุมโปรดในร้าน

Wwoof day 6
เอาจริงๆ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะทำงานแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องกลับโตเกียว ดินแดนอันไกลโพ้น 55 แต่เรื่องราวยังไม่จบนะ มีเกร็ดมากมายที่อยากเล่า

วันนี้ถอนหญ้าทั้งวันเลยค่ะ 55 เป็นวันแรกที่ได้ทำงานสวนแบบเต็มๆ ส่วนตัวเป็นคนรักธรรมชาตินะ แต่งานทำสวนนี่เหนื่อยจริงๆ โฮสเราบอกว่า เขาชอบถอนหญ้ามาก ถอนไปก็มองต้นไม้ที่ปลูกไป หน้าคือแบบฟินมาก พร้อมแนะนำแมลงต่างๆ ให้เรารู้จักด้วย ว่าแบบ ตัวนี้ดี (ปล่อยมันไป) ตัวนี้ร้าย (ฆ่ามันเลย)

บ่ายๆ ถึงเย็นๆ ก็คุยกับโฮสแต่เรื่องอาหาร ก็แลกเปลี่ยนกันเรื่องกระแสออร์แกนิก เราก็บอกโฮสว่า คนทำสวนออร์แกนิก (ไม่ใช้ยา) แต่สวนข้างๆ ใช้ยานี่ลำบากนะ เพราะแมลงก็จะมารุมสวนนี้สวนเดียว โฮสก็ทำหน้างงนิดๆ ... เราก็แบบ โฮสเข้าใจที่เราพูดหรือเปล่า โฮสบอกว่า สำหรับชาวสวนญี่ปุ่น คนที่ใช้ยา เขาเชื่อว่าพวกที่ไม่ใช่ยานี่แหละ เป็นตัวเรียกแมลงมา จนส่วนมากจะขอร้อง กดดันให้พวกนี้มาใช้ยา...คือญี่ปุ่นก็แอบดาร์กนะเนี่ย 55

แล้วก็พูดเรื่องอาหาร โฮสก็บอก กินอาหารให้ระวังนะ อย่างเช่นพวกอาหารที่ขายตามคอนบินี (ร้านสะดวกซื้อ) เช่นข้าวปั้น เราก็แบบ หะ อะไรนะ ทำไมหรอ? โฮสบอกว่า ลองดูส่วนประกอบดิ มีพวกยา สารเคมีเยอะมาก แล้วโฮสก็ไปยกขวดซอส ขวดน้ำสลัดออร์แกนิกมาให้ดู แล้วก็บอกว่า เวลาซื้อพยายามซื้อที่มีคำนี้ จำเอาไว้เลย (ความหมายประมาณไม่มีสารปรุงแต่ง) จบเลยค่ะ เมื่อก่อน กินอะไรคิดไม่ออกก็คอนบินีเพราะง่ายดี จบทริปนี้ เลี่ยงได้ก็ไม่กินเลย

แล้วโฮสก็บอกว่า ที่ญี่ปุ่นใช้ยากันเยอะมาก เราก็แบบจริงหรอ ดูญี่ปุ่นปลอดภัยออก เขาก็บอกว่าญี่ปุ่นสะอาด เรียบร้อย ปลอดภัยก็จริง แต่ใช้ยาเยอะมาก คนเดี๋ยวนี้ถึงป่วยกันไง  แล้วเราก็แลกเปลี่ยนกันเรื่องออร์แกนิกเราเล่าว่าที่อเมริกา ออร์แกนิกก็มีข้อเสียเหมือนกัน คืออย่างเช่นฟาร์มสัตว์แออัด สัตว์มันเป็นโรคใช่ป่ะ แต่มันห้ามใช้ยา ส่วนมากก็ปล่อยให้ป่วยไป คนกินก็กินเนื้อป่วย นมป่วยไป โฮสก็บอกว่า ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่ ถ้าเป็นออร์แกนิก จะหมายถึงเลี้ยงแบบไม่ใช้ยาและปล่อยให้วัววิ่งเล่นได้ในทุ่งหญ้า

โฮสบอกว่า พวกตัดแต่งกรรมพันธ์ก็น่ากลัว ด้วยความที่ร้านฟาสฟู้ดชื่อดัง เน้นขายน่องไก่ แต่ไก่ตัวนึงมันมีแค่ 2 มันก็ไม่พอไง เลยตัดแต่งจนกลายเป็นไก่ 4 ขา โฮสบอกว่าตอนดูสารคดีน่ากลัวมาก (รู้สึกจะเป็นที่จีน) ในฟาร์มอัดแน่น มีไก่ 4 ขาเดินเต็มไปหมด แล้วโฮสก็พูดอวดๆ ว่าเนี่ย สวนของเค้าไม่ต้องใช้เน็ตกันสัตว์ ใช้ขวดใส่น้ำสีดำเป็นสมุนไพรไล่สัตว์ โฮสแบบภูมิใจมากกับขวดนี้ ค้นพบโดยลุงคนนั้นที่บ้านเขามีหนังสือเยอะๆ มารอลุ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับขวดนี้ วันพรุ่งนี้นะคะ 

 

พระอาทิตย์ตกดินแล้ว ถึงเวลากลับบ้านแล้วสินะ

มุม(มอง) "มืด" ในสังคมญี่ปุ่น  เรื่องนี้เราเพิ่งเขียนลงเพจตัวเองก็ขอมาแชร์ในนี้ด้วยแล้วกันนะคะ ในฐานะคนที่เคยอยู่ญี่ปุ่นสั้นๆ 55

เอาเค้กมาให้กินก่อน เผื่ออ่านแล้วน้ำตาลในเลือดลดกระทันหัน 55

อย่างที่บอกไปคือด้วยความที่เราไม่ได้เรียนเอกญี่ปุ่น ไม่เคยไปแลกเปลี่ยนยาวๆ ไม่ได้มีเพื่อน มีแฟน มีไอดอล มีอะไรเลยเป็นคนญี่ปุ่น และยังไม่เคยเข้าไปใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันของสังคมญี่ปุ่นแบบฟูลทามส์ มันก็อาจแตกต่างจากคนอื่นนะคะ

ฉะนั้น โพสนี้จะเป็นแค่ความเห็นจากเรา หนังสือ วิชาจิตวิทยาที่เคยเรียนและคนญี่ปุ่นที่เคยคุยมาด้วยค่ะ

เรื่องนี้ขอเท้าความไปถึงบทความที่ถูกพูดถึงมากมายตอนนี้ เกี่ยวกับด้านมือของสังคมญี่ปุ่น ส่วนมากก็เห็นด้วยตามคนเขียนค่ะ
http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1434540244

เรื่อง ลูกครึ่งแอฟริกันได้มง แล้วคนญี่ปุ่นโวยวาย - จุดนี้เราเคยเรียนมา (ฟังดูมีความรู้นะ) มันคือการตีความคำว่า สัญชาติ
ในหนังสือเรียนก็มีเขียนไว้ประมาณว่า ถ้าสมมติเราพูดกับคนเมกันว่าเรา "เป็นอเมริกัน" สำหรับคนอเมริกันแล้วจะหมายถึงสัญชาติ/ ถือพาสปอร์ตเมกัน
แต่ถ้ามาเป็นพูดกับคนญี่ปุ่นว่า "ฉันคือ Japanese" คนญี่ปุ่นจะตีความ 2 อย่างพร้อมกัน ทั้งสัญชาติญี่ปุ่นและเชื้อชาติญี่ปุ่น (หน้าตาต้องเป็นญี่ปุ่นด้วย)
ฉะนั้นมันก็เลยกลายเป็นการตีความคำว่า "คนญี่ปุ่น" มันกว้างแค่ไหน ซึ่งเหมือนใน Textbook จะพูดทำนองว่าสังคมเอเชียจะเป็นแบบนี้เกือบหมด
ลองนึกภาพ มีฝรั่งผมทองมาบอกว่า "I'm Thai" ดูดิ ก็มีงงอ่ะ หรือนึกภาพ miss Thailand แต่เป็นฝรั่งผมทอง หรือคนแบบแอฟริกันได้ดูสิ ทั้งๆ ที่เขาอาจเกิดและเติบโต พูดไทยคล่องก็ได้......
การเหยียดผิว เรามองว่ามีกันทุกชาติ ที่ไทยก็ยังมีเยอะเหมือนกัน เมกาก็ตามข่าวแหละ 55

ส่วนตัวเราว่าเรื่องการเหยียดสีผิว มันขึ้นอยู่กับบางสังคมที่ด้วย อย่างเช่นคนอเมริกาที่มีข่าวโวยวายเรื่องเหยียดสีผิวเยอะ คือคนอเมริกันเราบอกเลยว่าค่อนข้าง sensitive กับเรื่องนี้มากๆ
ตัวอย่างๆ
สมมติเราเดินอยู่ แล้วมีคนเดินสวนมา เป็นคนขาวหรือคนดำหรือโฮมเลส หรือใครก็ได้ แล้วจู่ๆ ทักเราว่า หนีเฮา (พร้อมอาจหัวเราะนิดๆ) เราจะคิดยังไง
เราเชื่อว่าคนไทยส่วนมากก็คงแบบเฉยๆ อย่างมากก็คงแบบ ชั้นไม่ใช่คนจีน ฯลฯ แค่นี้

แต่สำหรับคนอเมริกัน (เราเคยคุยแค่กับคนขาว) เขาบอกว่านี่คือการเหยียดสีผิวมากๆ
ตอนนั้นเราเดินกลับรูมเมทคนขาว ก็โดนคนบ้า (มั้ง) สวนมาแล้วหนีเฮา รูมเมทเราได้ยินเท่านั้นแหละ พูดเลยว่า That's so bad. I feel really sorry for you แล้วนางก็บ่นยาวมาก ไปเล่าให้เพื่อนอีกคนที่เป็น front desk นางก็บอกว่า เฮ้ย That's too bad ฯลฯ เราแบบ เห้ย ไม่เป็นไร ฉันโอเคมากๆ (เรายังขำๆ เลย)

กลับๆ มาญี่ปุ่นต่อ

การเป็นคนในนอก อันนี้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าสังคมญี่ปุ่นมันเป็นเอกเทศมากๆ  แต่ชาติอื่นก็มีนะ เช่นอเมริกา เราเคยลองเวลาคนเขาถามว่ามาจากไหน เคยลองตอบว่าไทยแลนด์ กับ บอสตันบ้าง นิวยอร์คบ้าง ต่างกันอยู่นะ เรารู้สึกพอเราบอกว่ามาจากในอเมริกาเขาจะยอมรับนัยๆ มากกว่า แต่คนญี่ปุ่นอินเนอร์เขาค่อนข้างแรง

สิ่งที่สำหรับเราว่า Dark จริงๆ ของญี่ปุ่นก็คือ
- ความเครียด:
มนุษย์กับความเครียดเกิดมาคู่กัน แต่ความต่างทางวัฒนธรรมทำให้เราแสดงออก/กำจัดความเครียดไม่เหมือนกัน อย่างเมกา ตามท้องถนนได้ยินพวกคนโมโหตะโกนด่ากันบ่อยมาก ไปเล่าให้คนญี่ปุ่นฟัง คนญี่ปุ่นแบบหะ? มีอย่างนี้ด้วยหรอ 55
ความจริงคือญี่ปุ่นจะสอนว่า การเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ คิดถึงใจคนอื่น ฯลฯ แต่สำหรับคนอเมริกัน เขาจะสอนว่าการเป็นผู้ใหญ่ต้องรู้จักตัวเอง กล้าที่จะพูดความคิดตัวเองออกมา พวกที่ไม่กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการคือเด็ก
เคยไปเล่าทฤษฏีนี้ให้คนญี่ปุ่นฟัง เขาแบบแปลกใจมาก ไม่รู้ว่ารู้เรื่องเปล่า เล่าเป็นญี่ปุ่นด้วย 55 อย่างมั่ว
ถามว่าแบบไหนเครียดก็กัน เอาจริงๆ เราว่าพอๆ กัน ในญี่ปุ่นก็คือเครียดเพราะบางทีเราต้องคิดถึงความคิดคนอื่นมากไป แล้วก็ต้องกดอารมณ์ของตัวเอง

แต่ของอเมริกาล่ะ เครียดยังไง?
คือมันก็เครียดนะ การที่จะ present ความเชื่อ ความคิดตัวเองมันต้องใช้ความกล้ามหาศาลเลยนะ ต้องก้าวผ่านความอาย ความกลัวว่าสิ่งที่เราพูดคือผิด หรืออย่างเช่นไปสัมภาษณ์งาน คนอเมริกันมันจะมีคำถามที่ชอบถามมากว่า "คุณมีคุณสมบัติไรเด่น/ คุณจะทำอะไรให้บริษัทบ้าง (ให้เริ่มงานก่อนดีไหม?? 55) / คุณเหนือว่าผู้สมัครคนอื่นยังไง/ ทำไมเราต้องเลือกคุณ ??"

อเมริกาก็เป็นสังคมที่จะฝึกให้คนต้องกล้าพูด กล้าแสดงความคิด พอไม่พูดก็จะกลายเป็นคนขี้อาย ฯลฯ ก็เครียดกันคนละแบบ
อย่างตัวเราเอง ถ้าอยู่อเมริกา เราก็จะเป็นคนที่เหมือนมั่นใจในตัวเองน้อย แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่น คนเขาก็บอกว่าบุคลิกเราดูมั่นใจ (แต่เราก็ต้องพยายามคุมให้อยู่ในกรอบของวัฒนธรรม ซึ่งจากที่คุยคนญี่ปุ่นเขาก็ชอบ อยากมีความมั่นใจไรงี้นะ แต่ถ้ามันล้นไปก็คงไม่ดี)
คนเมกาที่ฆ่าตัวตายก็มีนะ ไม่งั้นเราคงไม่ได้เจอรูมเมทของเราหรอก
จริงๆ ความเครียดเราว่าไม่ได้เป็นสาเหตุหลักของการฆ่าตัวตายหรอก อันดับแรกคือพวก Mental illness เช่น Depression (ความรู้สึกหดหู่ ) Anxiety (ความวิตกกังวล) ใครที่มีอารมณ์หดหู่แบบต่อเนื่องนานๆ ลองไปคุยกับหมอดูนะ smile emoticon รองลงมาก็คือพวกคนที่ผ่านประสบการณ์ร้ายๆ เช่น สงคราม / ปัญหาการเงิน / ความเจ็บป่วยโดยเฉพาะพวกระยะท้ายๆ/ ความรู้สึกอยากหนีออกจากเหตุการณ์ ณ ตอนนั้น/ ความสัมพันธ์ และพวกที่มีความเชื่อว่าอยากตาย
ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน สาเหตุของการฆ่าตัวตายก็คล้ายๆ กัน แต่ที่แน่ๆ คือความเครียดก็เป็นเหมือนยากระตุ้นทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้นได้เหมือนกัน


- การกลั่นแกล้งในโรงเรียน
อันนี้แหละ มืดจริงจัง เดือนก่อนไปเจออาจารย์ที่ญี่ปุ่น บอกอาจารย์ว่าย้ายมาเรียนจิตวิทยา ก็คุยไปซักพัก อาจารย์ก็ถามว่า ถ้าเด็กไม่อยากไปรร. จะทำไง.. แล้วก็พูดเรื่อง Bully
อีก 2 ชม. ต่อมา เจอโฮสแม่ ก็คุยเรื่องว่าย้ายคณะ โฮสแม่ก็พูดเรื่องว่าทำปรึกษาก็ดีนะ เช่นเด็กไม่อยากไปโรงเรียน เพราะถูกแกล้ง ฯลฯ
คือแบบเห้ย! เรื่องนี้ฮิตจริงๆ นะ เชื่อเลย

ส่วนตัวบอกได้เลยว่าพวกคนที่ชอบ Bully คนอื่น ถ้าเป็นภาษาไทยก็น่าจะเรียกว่าคนที่ชอบแบนเพื่อนในโรงเรียน เราว่าจริงๆ แล้วพวกนี้มีปัญหาทางจิตอ่อนๆ  ทุกคน อย่างน้อยก็เครียดเงียบและเก็บกดแน่ๆ ส่วนมากจะเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ จึงต้องมาลงที่เพื่อนใกล้ตัว


- สังคมคนในคนนอก
เราทำงานร้านไทยในอเมริกา ลูกจ้างครึ่งหนึ่งเป็นคนไทย ก็จะจับกลุ่มเมาท์ภาษาไทยกัน (เจ้านายก็ไทย) พวกฝรั่งก็รู้สึกตัวนะว่าตัวเองเป็นคนนอกนะ มีมาเปรยๆ ว่าดีนะ ยูไม่เคยถูกเจ้านายด่าเลย... คือโดนค่ะ แรงกว่าแกด้วย เพราะเขาด่าเป็นภาษาไทยไง
เรื่องนี้ เราว่ามันมีรากมาจากภาษาและวัฒนธรรมล้วนๆ ขนาดเราตอนหาคนมาเช่าบ้านต่อ เรายังเริ่มจากคนไทยก่อนเลย ไม่ใช่เรื่องคนใน คนนอกอะไรหรอก แต่คือ ขี้เกียจพูดภาษาอังกฤษแล้วคนไทยน่าจะคุยง่ายกว่ามั้ง...

แต่เรื่องสังคมในนอกของญี่ปุ่น (内と外) เราว่ามันเป็นเอกลักษณ์ดีนะ เราชอบ ด้วยความที่เราต้องเขียนเปเปอร์ ก็เคยเอาเรื่องนี้ไปเขียน คนอเมริกาดูตื่นเต้นดี

- ความย้อนแย้ง
อันนี้เป็นเหมือนความย้อนแย้งทางจิตใจ ซึ่งจริงๆ เราว่าอันนี้แหละที่ทำให้เกิดความเครียดข้างบนแล้วก็กดดันให้คนแสดงออกด้านมืดออกมา
ย้อนแย้งยังไง คือที่ญี่ปุ่นเราคงเคยชินกับภาพคนยิ้มตลอดเวลา บริการดีเริศ ขี้เกรงใจ ฯลฯ (ทั้งตามร้านค้าและชีวิตส่วนตัว) แต่เอาจริงๆ คือคนญี่ปุ่นหลายคนก็เหนื่อยและเบื่อกับการต้องทำแบบนี้มากๆ
คือเราเคยคุยกะหลายคน โฮสทั้งสองก็บ่นๆ เรื่องนี้ เขาาก็บอกว่า น่ากลัวป่ะล่ะ ใจคิดอย่างแต่หน้ายิ้ม พูดว่า "ไม่เป็นไร"
ปัญหาคือ คนญี่ปุ่นจริงๆ ก็เบื่อกับการต้องฝืนทำตรงข้ามกับความคิด แต่ก็ทำตรงกับความคิดไม่ค่อยเป็น (เพราะถูกสอนมานาน) และพอฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำแบบตามธรรมเนียมญี่ปุ่น เช่นพูดตรงไป คนญี่ปุ่นส่วนมาก (ไม่รวมโอซาก้ามั้ง) ก็รับไม่ได้


ญี่ปุ่น & อเมริกา

จากที่ไปอยู่โฮส ไปวูฟมา ไปเที่ยวมา ก็รู้สึกว่า การบอกว่าตัวเองเรียนอยู่อเมริกาคือยันกันภัยที่ดีชนิดหนึ่ง คือพอบอกว่าเป็นคนไทย การตอบสนองจะครึ่งๆ บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็เฉยๆ บางคนก็ไทยอยู่ไหน แต่พอบอกว่า "เรียนอยู่อเมริกา" ปั๊บ เท่านั้นแหละ การตอบสนองดีร้อยละร้อย 55

แนะนำตัวก็บอกไปเลยว่า "เป็นคนไทย เรียนอยู่อเมริกา" ทั้งๆ ที่ปกติ ถ้าอยู่ไทย เราแทบไม่ค่อยพูดว่าเรียนอยู่อเมริกา
คนญี่ปุ่นก็นะ เหมือนเกาหลีคือค่อนข้างยกย่องอเมริกามากกกก แล้วเราพูดญี่ปุ่นได้(บ้าง) พูดอังกฤษได้ คนก็จะแบบ อยากพูดได้บ้าง นั้นนี้
ส่วนตัวก็กลัวนะ ที่แบบจะโดนดูถูกว่ามาจากไทยฯลฯ ก็เลยแปะยันกันไว้ก่อน ก็เลยยังไม่เคยเจอการดูถูก หรือบางทีเริ่มสัมผัสได้ถึงรังสีไม่ค่อยดี ก็เอายันต์ออกมาแปะเลยค่ะ


ตอนเรามาอยู่ญี่ปุ่นแรกๆ เราก็เครียดนิดๆ งงมากๆ นะ แบบประเทศกฎระเบียบเคร่งมาก ทุกเรื่อง แต่พอเราได้ลองถอยตัวเองออกมามอง อย่าไปยึดติดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ๆ มันไม่ใช่ตัวตนชั้นเลย ถ้าคิดแบบนี้จะเครียดมาก
เหมือนตอนเรามาอเมริกาใหม่ ต้องกล้าพูด กล้าเสนอตัวเอง กล้านู่นนี่ เราเครียดมากนะ คือเราไม่ใช่ไง ที่แบบจะยืนขึ้น ฉันคิดยังงี้ มันต้องเป็นอย่างงี้ แต่อยู่ไปก็เริ่มเปลี่ยน แค่เข้าใจ เข้าเมืองเขาก็ทำตาม มันก็แค่วัฒนธรรมหนึ่ง เป็นสิ่งที่คนเขาทำกัน เราก็ทำๆ ไปเหอะ

เหมือนคนไทยห้ามใช้เท้า ห้ามเล่นหัว ฯลฯ
ถ้าฝรั่งมาแล้วคิดว่า มันไม่ใช่ตัวตนฉันเลย ฉันทำมาตลอด คิดแบบนี้ก็ทรมานเปล่าๆ ป่ะ
สู้ทำๆ ไปเถอะ ถ้ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง

ญี่ปุ่นก็มีกฎเหมือนกัน ก็ทำๆ ไป
ทุกวันนี้คนญี่ปุ่นเวลาเขาสอนเรื่องมารยาทเราก็จำๆ ไป ทำๆ ไป มึนๆ บ้างก็เนียนๆ มันไม่ได้สำคัญว่าเราต้องกลายเป็นคนแบบนั้น แบบนี้ คือก็แค่ทำๆ ไป ไม่งั้นถ้าต้องเอาวัฒนธรรมรับเข้ามาจนเปลี่ยนตัวตนเรามากๆ เราก็ไม่คงสับสนตาย เพราะอเมริกา/ ญี่ปุ่น วัฒนธรรมทุกอย่างแทบจะสลับกันหมด
กฎในสังคม ส่วนมากก็คือเพื่อการเคารพซึ่งกันและกันจะแค่แกล้ง Pretend ว่าเป็นอย่างนั้น หรือจะเพราะเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก .....


อันนี้เราก็เพิ่งรู้ตัวว่า เวลาเราพูดญี่ปุ่น หน้าเราก็จะเป็นเหมือนคนญี่ปุ่นทั่วไป แต่พอพูดอังกฤษปั๊บ เราจะแบบหน้าเยอะมาก 55 ติดจากพวกฝรั่งมาก
มารู้ตอนพูดกับคนญี่ปุ่น ตอนแรกพูดญี่ปุ่นกัน เราก็พูดปกติไป แล้วฮีแกบอกว่าอยากฝึกอังกฤษ ก็เลยสลับมาพูดอังกฤษ เท่านั้นแหละ... รู้ตัวอีกที เหมือนเป็นคนละคน 55 (ทั้งเสียงดัง ทั้งการแสดงออกทางหน้าอย่างเยอะ)


ส่วนตัว เราจะพยายามไม่ปล่อยตัวเองจมไปกับวัฒนธรรมอะไรมากๆ คือชอบได้ ศึกษาได้ แต่พยายามดึงตัวเองมาอยู่ข้างบน อยู่แบบผู้สังเกตการณ์ ออกมามองกว้างๆ มองด้วยความเข้าใจ
(ทุกวันนี้ก็พยายามจะเข้าใจวัฒนธรรมไทยอยู่นะ 55 แต่ยากจังเลย มันเหมือนเราอยู่มาจนชิน)


สำหรับเรา เรารู้สึกว่าไม่มีประเทศไหนบนโลกที่ดีเพอร์เฟคหรอก (รวมถึงไทยและเมกาด้วย)
ทุกที่มีข้อดี ข้อเสีย (หรือข้อเสียบางข้อมันก็คือข้อดีก็มี) อยู่ที่มุมมองของเราและนิสัยโดยพื้นฐานของเรา
หาที่ๆ เราอยู่แล้วเหมาะกับเราที่สุด(ทั้งสภาพแวดล้อม การงาน ผู้คน) และอยู่แฮปปี้ที่สุดอ่ะ อันนั้นแหละดีที่สุด 

การจากลา

นาฬิกาต่างกับเวลาตรงที่เวลามีเคลื่อนไปข้างหน้า


วันนี้ถึงเวลากลับแล้ว
ใจนึงก็อยากกลับ (เพราะอยากกลับไทย คิดถึงมากไม่ได้เจอกันมาเกือบ 1 ปี) แต่อีกใจก็ยังไม่ค่อยอยาก

เราก็อ่อยๆ โฮสไป ว่าแบบ "ชอบบ้านนอกจัง ไม่อยากกลับเลย" (รอดูว่าโฮสจะตอบยังไง ถ้าเชิญแสดงว่าโอเคกลับมาได้อีก ถ้าเฉยๆ แสดงว่าโฮสไม่ชอบเรา เราไม่ควรกลับมา 55) โฮสก็บอกว่า ไว้วันหลังมาอีกสิ มาเที่ยว เดี๋ยวฉันจะไปไทย แล้วไอจังพาเที่ยวนะ ... เลยบอกโฮสไปว่า ค่ะ แต่โฮสมาเมกาดีกว่านะคะ ของไทยหนูอีกนาน 55

ระหว่าง ที่ขับรถไปส่งเราที่สถานีรถไฟ ก็มีสายโทรเข้ามา โฮสก็มองนิดนึงแล้วก็บ่นเบาๆ ว่าใครโทรมาแต่เช้า สรุปเป็นป้าที่เราเจอเมื่อวานตอนไปถอนหญ้า เป็นเจ้าของสวนใกล้ๆ โทรมาบอกว่า

ว่า

เมื่อคืนสวนโฮสโดนกวางกินถั่วอิดามาเมะไปครึ่งหนึ่ง และกินมันฝรั่งไปเยอะเหมือนกัน

โฮสแบบ อืมมมมมมม

แทบจะพูดพร้อมกับเราว่า "ขวดสีดำช่วยไม่ได้สินะ" แล้วโฮสก็บ่นว่า งานเพิ่มขึ้นอีกแล้ว (วันนี้เป็นวันหยุด)

เพื่อนบ้านญี่ป่นจะว่าไปก็น่ารักเนอะ ทุกวันนี้เราก็ไม่รู้ว่าเป็นไงต่อไป รวมถึงมันหวานที่เราเป็นคนปลูกด้วย สภาพมันดูใกล้ตายมากอ่ะ TT

จากสถานีนั่งมาไม่หลงแล้ว ถึงนากาโนะก็ได้เดินเล่นนิดนึง เมืองนี้เป็นเมืองโปรดเรานะ บรรยากาศดี๊ดี ได้หนังสือคันจิของเด็กประถมมาด้วย 55

จุดนี้เราเคยมาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว สมัยที่ภาษาญี่ปุ่นยังอ่อนด้อยไร้ประโยชน์
ได้กลับมาอีกครั้ง บอกได้คำเดียวว่า 懐かしいいいい

ชอบบรรยากาศเมืองนากาโน่มากๆ ค่ะ มันกว้างๆ โล่งๆ ไม่แออัดดี ^^ เดี๋ยวจะกลับมาอีกนะ สัญญาๆ

มีคนบอกว่าไม่มีการจากลาใดไม่เจ็บปวด
ส่วนตัวเรากลับมองมันเป็นเรื่องปกติ

อย่างที่บอกว่าเวลาหมุนไปข้างหน้าตลอดเวลา
เราก็ไม่สามารถอยู่ที่เดิมไปได้ตลอด
แม้แต่เราจะดึงรั้งอยู่ที่เดิม ทุกอย่างรอบตัวก็เปลี่ยนไปเสมอ

แค่ยอมรับ และเตรียมพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าดีกว่านะ
ส่วนตัวเราเชื่อเสมอ ว่าทุกคนมีอนาคตที่ดีรออยู่
มันอยู่ที่เรา พร้อมจะเดินไปหาอนาคตดีๆ นั้นไหม

ตอนหน้าพาไปเที่ยวเล่นโตเกียวนะคะ 

สวัสดีตอนเช้าทุกคน (เช้าเรา)

จากร้านหนังสือญี่ปุ่น (ตอนแรกนึกว่าจะขายอาหาร 55)


วันนี้เดี๋ยวจะเขียนให้จบแล้วค่ะ ต้องจบเพราะว่าพรุ่งนี้เปิดเทอม TT ไม่จริงใช่ไหม เรายังไม่พร้อมมมมม (เดี๋ยวตอนเที่ยงต้องไปย้ายบ้านไปอยู่อพาร์ทเม้นต์แล้ว) แต่ยังเข้ามาเช็คกระทู้ตลอด ใครมีคำถาม ถามได้เลยนะคะ เดี๋ยวมาตอบค่า

"เรื่องเล่าจากโฮสเทล"

หลังจากการเดินทางอันยาวเหยียด เราก็มาถึงโตเกียวแล้วค่ะ เราเลือกพักที่ข้าวสารเพราะว่า.....อยากลอง เลือกพักข้าวสาร Original เพราะถูกสุดค่ะ เราชอบตรงที่ Location ดีมากๆ ของกินมากมาย มีที่เที่ยว ที่เดินเล่นเยอะดี โรงแรมก็เดินไม่ไกลจากสถานีด้วยค่ะ

กว่าจะมาถึงก็เย็นๆ แล้ว เราก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะว่าฝนตก TT เดินไปตอนแรกจะออกไปทานพวกขนมญี่ปุ่น ตระกูล あんみつ ชาเขียวไรงี้ แต่ร้านอีก 10 นาทีปิด โอเคไม่กินก็ได้ ไว้มากินวันหลัง ก็เลยไปเดินหา เจอร้านซูชิจานหมุน (เดี๋ยวมาเล่าวิธีการกินให้ฟังในคอมเม้นต์ต่อไปนะ)

ไหนๆ อากาศไม่ดี ก็ขอตัวกลับโรงแรมก่อนแล้วกัน

เรากลับไปปั๊บ ก็มีกลุ่มฝรั่งนั่งคุยกันอยู่ข้างล่างประมาณ 5 คน ตอนเราจะเข้าห้องน้ำ มันก็แกล้งปิดไฟ (สาบานได้ว่าไม่รู้จักกัน) เราก็ตะโกนออกมาว่า เออ ฉันไม่กลัวความมืดหรอก 55 แล้วพอออกมา เขาก็ชวนคุยว่าแบบมาจากไหนไรงี้ ก็เลยอยู่คุยต่อไปเกือบ 2 ชั่วโมง 55

ได้ความว่าคนหนึ่งมาจากอังกฤษ อีก 2 คนมาจากออสเตรเลีย (ว่าแล้ว สำเนียงฟังดูเหน่อๆ ประหลาดๆ) ส่วนอีกสองสาวเป็นชาวเยอรมันและฝรั่งเศส  เราก็เลยแซวไปบอกว่า "ก็ว่า accent ประหลาด 55"

คนมาจากอังกฤษก็เริ่มละ บอกว่ามะเขือเทศเรียกว่าอะไร (คนที่มาจากอังกฤษพยายามบอกว่ามะเขือเทศต้องออกเสียงว่า โท-มา-โท เมกันจะออกว่าโท-เม-โท) แน่นอน เราใช้โท- เม - โท เขาก็บอกว่าวิธีที่ถูกต้องคือโทมาโท. ส่วนโทเมโทคือ "the wrong way to say"
แล้วก็ลอง water ด้วย ออส/อังกฤษ/เมกันออกไม่เหมือนกันเลย55
แล้วก็คุยไร้สาระไปเรื่อย หนุ่มอังกฤษบอกว่าเนี่ย ไม่เข้าใจว่าทำไมญี่ปุ่นถึงเรียน American English ต้องเรียนอังกฤษ-อังกฤษสิถึงถูก เป็นต้นแบบ แล้วก็คุยเรื่องเที่ยวไป บอกว่าเคยมาไทย ชอบ สวยดี ฯลฯ

แล้วผู้ชายอังกฤษสักพักก็มาดราม่าให้ฟังบอกว่า อังกฤษไม่ดีเลย ไม่เห็นน่าอยู่ อากาศก็แย่ งานก็ไม่มีทำ ฯลฯ เราก็เลยถามไปว่า มันไม่ดีจริงๆ หรือว่าเพราะแกไม่ชอบมันกันแน่ 55 เขาก็บอกว่า อืมม อาจเป็นทั้งคู่

สักพัก พวกผู้ชาย 3 คนโดนเจ้าหน้าที่มาไล่ออกไปข้างนอกค่ะ เพราะพวกนางไม่ได้มาพักที่นี่ อารมณ์มานั่งหาคนเมาท์ด้วย 55

คนอังกฤษคนนี้หล่อนะ สูง ขาว ตาสีฟ้า (แต่ไม่ใช่แนวเรา55) เขาก็บ่นๆ กันว่าอยู่ญี่ปุ่นเจอพวกแบบชอบแอบถ่ายหรือตื่นเต้นเวลาเห็นเขาตลอด  เราก็แบบ บ้าหรอ จริงอ่ะ ไม่ขนาดนั้นมั้ง

วันรุ่งขึ้นไปเดินที่ฮาราจุกุ พอดีเดินตามหลังผช ฝรั่ง มี 2 สาวญี่ปุ่นเดินสวนมา พอสวนผู้ชายเสร็จได้ยินเลยจร้า 格好いい (คนนี้ดูดีอ่ะ)

แวะเอา 海鮮丼 มาเสิร์ฟ ของโปรดเราเลย ข้าวเป็นข้าวซูชิ กับปลาที่สดมากก

หลังจากนั้น เราก็ขึ้นไปจัดของบนห้อง กลับลงมาข้างล่าง บรรยากาศเปลี่ยนละ มีคนไทยคนนึงนั่งเมาท์อยู่กับคนญี่ปุ่น ก็เลยไปคุยด้วย ได้รู้เรื่องนู่นนี่เยอะเหมือนกัน คนนี้เรียนเอกอังกฤษแต่เขาบอกว่าสมัยเรียนไม่ค่อยได้เรียน เลยไม่ค่อยเก่ง คุยไปประมาณชม. นึงเขาก็บอกว่า จริงๆ เขามาที่นี่อยากคุยอังกฤษนะ

เราก็แบบ อ้าวหรอ โอเค จัดไป

ก็เลยเล่าเรื่องความคิดที่แตกต่างของชาวญี่ปุ่นกับอเมริกาเรื่องการโตเป็นผู้ใหญ่ไรงี้ ว่าแบบญี่ปุ่นถ้าโตแล้ว ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ คิดถึงจิตใจคนอื่นมากๆ รู้จักกดการแสดงออกได้ ต่างจากเมกา ตรงที่การโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องกล้าที่จะแสดงออก พูดในสิ่งที่คิด ประมาณว่ารู้ว่าตัวเองคิดยังไงและกล้าพูดออกมา

ตอนเข้าฟังก็อึ้ง ประมาณว่า มันจะเป็นผู้ใหญ่ได้ไง

ก็เลยเล่าประวัติศาสตร์คร่าวๆ ให้ฟัง เกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ ญี่ปุ่นกับเมกา เขาก็แบบ เออจริงด้วย

ด้วยความที่เขาเป็นคนมาจากโกเบ มีคันไซเบง (สำเนียงแถบคันไซ) เราก็เลยลองให้เขาพูดสำเนียง โกเบ โอซาก้า เกียวโตให้ฟังสิ ฟังดีๆ มันก็ต่างกันนะ แต่เราแยกไม่ออก มันจะต่างที่การขึ้นสูง ลงต่ำของคำ

เขาคนนี้แหละที่ถามว่าไปวูฟชอบอะไรมากที่สุด ก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าชอบโฮสซัง เพราะทำอาหารอร่อย 55

ตอนนี้จำได้แค่นี้ แต่จริงๆ คุยเยอะมาก
ถ้านึกออกเดี๋ยวจะมาเพิ่มนะคะ

Asakusa/ Ueno 


ไปเที่ยวแล้วค่าาาาาา  มีข้อความมาถามเกี่ยวกับอายุเราหลายคน เลยบอกไว้ในนี้ด้วยเลยนะคะ
เราอายุ 21 ค่ะ

วันนี้ตื่นเช้ามา ขอไปไหว้พระที่วัด 浅草寺 senso-ji แป๊บ

เค้าไปเสี่ยงเซียมซีมาด้วย

มี 3 ภาษาเลยทั้งญี่ปุ่น จีน อังกฤษ ขอให้เป็นอย่างนี้จริงๆ นะ เพี้ยงๆ พอเสี่ยงที่นี่เสร็จแล้วเราคงไม่กล้าเสี่ยงที่ไหนอีกทั้งปีเลย 55

หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟไปเดินย่าน Ueno มีอะไรให้เดินดูเยอะนะ ทั้ง Ueno Park / Zoo แต่เราขอเข้าไปดู Todai ดีกว่า (ม.โตเกียว) แถวนี้เป็นคณะพวกศิลปกรรมมั้งคะ เพราะเห็นเด็กๆ เดินถือพวกอุปกรณ์ศิลปะมากมาย

เดินๆ ไปก็ไปเจอโรงอาหาร เลยได้แวะกินเลย เสร็จนี้น่าจะ 400 กว่าเยน (ถ้าจำไม่ผิดนะ)

แล้วใกล้ๆ กันก็จะมี  International library of children's literature เป็นห้องสมุดหนังสือเด็กที่ดีงามมาก ใหญ่ และมีหนังสือเยอะมาก เราแทบจะมุดตัวอยู่ในห้องสมุดนี้ทั้งวันเลย 55

อันนี้เป็นแค่ห้องนี้ห้องเดียว (มีอย่างนี้อีก 4 ด้านล้อมกันเป็นวงกลม) และยังมีอีกหลายห้องค่ะ

เด็กญี่ปุ่นโชคดีจัง ที่เงินภาษีของพ่อแม่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นอาหารสมองสำหรับลูกๆ ^^

自由が丘 Jiyugaoka - รักแรกของฉัน

ถ้าถามถึงสถานที่โปรดในโตเกียว จิยูกาโอกะคือหนึ่งในนั้น

ชอบในความเป็นระเบียบ ชอบในความเงียบที่มีชีวิตชีวา ชอบบรรยากาศร่มรื่นของต้นไม้  ชอบ ชอบ ชอบ

ร้านประจำ

หลังจากเดินเล่นจนเริ่มหิว เราก็กลับมาที่ Korean Town เป็นย่านที่แบบ ต้องไปทุกครั้งที่มาญี่ปุ่น ไปอัพเดทกระแส K-pop ว่าที่ญี่ปุ่นวงอะไรฮิตบ้าง

เครื่องเคียงอาหารเกาหลีเวอร์ชั่น ญี่ปุ่น

ส่วนตัวเราว่าอาหารเกาหลี ที่เกาหลีอร่อยกว่านะ ที่นี่รสชาติแปลกๆ (แต่ก็พอกินได้)

พาไปกินซูชิจานหมุน

ซูชิจานหมุนถือเป็นอาหารกินเร็วและราคาไม่แพง แถมมีให้เลือกหลากหลายตามใจอยาก
มาๆ เดี๋ยวจะมาเล่าการกินให้ฟัง อาจไม่เป๊ะมาก อาศัยสังเกตและจำจากที่โฮสแม่เคยสอนมา

การหาร้านไม่ยากค่ะ เราว่ามีเกือบทุกที่เลย ราคาถ้าในโตเกียวก็จะเริ่มต้นแพงหน่อย ประมาณ 125 เยน
หน้าร้านจะมีโปสเตอร์รูปซูชิแปะอยู่เยอะๆ

พอเข้าไปปั๊บ ก็วางกระเป๋าไว้ใต้โต๊ะเลย

ด้านหน้าเรา คืออุปกรณ์การกินค่ะ เริ่มจากถ้วยชาก่อน เห็นกระปุกเตี้ยๆ สีดำตรงกลางไหมคะ อันนั้นคือผงชา ก็ตักใส่ถ้วยชา แล้วก็กดน้ำร้อนตรงหัวก็อกด้านมุมซ้ายมือ ใช้แก้วดันเข้าไปแรงๆ เลยค่ะ

จากนั้นก็หยิบถ้วยน้ำจิ้มแล้วก็รินโชยุไว้รอ แต่ที่สังเกตบางคนก็จะรอเอาจานซูชิมาเลย แล้วราดข้างๆ แล้วแต่สไตล์ค่ะ หยิบตะเกียบ พร้อมลุย

แต่อย่าเพิ่ง ห้ามลืมศึกษาราคาจานให้ดีก่อนนะคะ ว่ามีอะไรบ้าง จานจะเป็นตัวกำหนดราคาค่ะ ถ้าเราอยากกินอะไร ก็สามารถบอกพ่อครัวได้เลย เขาจะทำให้ แต่ถ้าจำชื่อปลาไม่ได้ก็กินที่มันหมุนมาแล้วกันนะ

พอดีมากินวันหยุด ซูชิเลยมาเต็มมาก

เห็นรูปปลาแล้วนึกได้ โฮสแม่บอกว่า ร้านซูชิพวกนี้ ถ้าถูกๆ 100 เยนส่วนมากใช้ปลาที่จับมาจากแถวแอฟริกา.....ถ้าเป็นปลาญี่ปุ่น ร้านนี้เขาจะขายจานละประมาณ 400 เยนค่ะ

จริงๆ เราสามารถสั่งเครื่องดื่ม สั่งซุปเพิ่มด้วยนะ

พอกินเสร็จ ก็ต้องเรียกพนักงานมานับจาน ก็ใช้ยกมือ มองหน้าหาพนักงานก็ได้ ของเราเลยลองพูดว่า ごちそうさまでした (โกะจิโซซะมะเดชิตะ)ดู เขาก็มาเก็บจานนะ ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นทั่วไปใช้คำนี้หรือมีคำอื่น

แล้วเราก็ไปจ่ายเงินที่เคาร์เตอร์หน้าร้านเป็นอันเสร็จค่าาาา

ส่วนตัวเราชอบกินซูชิจานหมุนเพราะ
1. ราคาพอกับซูชิกล่องที่ขาย แต่เราเลือกหน้าที่อยากกินได้ ไม่ต้องกินไข่หวาน 55
2. เราจำชื่อปลาไม่ได้ ไปสั่งตามร้านก็ไม่ค่อยได้กินอะไรใหม่ๆ นอกจากแซลมอนและมากุโร

แวะเอาซูชิมาฝากค่ะ

วันสุดท้ายแล้ว บอกเราสิว่าไม่จริงงงงงง

วันนี้ตั้งใจไปเดินแถว Harajuku แล้วก็ช็อปปิ้งอย่างเดียวเลย มีของที่อยากได้คือ
- จะกินเครป
- อยากได้หนังสือญี่ปุ่นของเด็กประถม (วิชาญี่ปุ่น)
- เสื้อผ้านิดนึงก็ได้ 55

พร้อมแล้ว ลุย
เริ่มแรก มาถึงแต่เช้าเลย ขอแวะไปเดินเล่นแถวสวน Yoyogi Park ก่อน บรรยากาศฟินมาก

ไม่คิดว่าในโตเกียวจะมีอะไรดีงามแบบนี้ใช่ไหมมมมม

เดินเข้าไปจนสุดจะเจอศาลเจ้าเมจิ เป็นศาลเจ้าสวยๆ ที่คนนิยมมาแต่งงานกันมากๆ

เราเจอคนแต่งงานประมาณ 3 คู่อ่ะ ได้ข่าวว่าต้องรอคิวกันยาวนานมาก

ไปเขียนคำขอพร หลังจากปีที่แล้วไปผูกต้นไม้ตอนเทศกาลทานะบาตะแล้วคำขอเป็นจริง เลยขอลองอีกครั้ง 55

หลังจากนั้นก็ไปกินเครปของโปรดที่รอคอย รอคอยมา 1 ปีเลยนะกับเครปฮาราจุกุเนี่ย ที่อเมริกาทำไมเขาไม่ขายอาหารอร่อยๆ บ้างก็ไม่รู้ 55

ไอติม ชาเขียวถั่วแดง  

ขอร้านหนังสือสักที
สรุปได้หนังสือภาษาญี่ปุ่นของเด็กประถมปลายมาอ่าน แต่จนถึงวันนี้หนังสือก็ยังนอนอย่างดีอยู่ในกระเป๋า 55

จะเริ่มอ่านแล้วนะสัญญา
The Reflection of my journey : บทสรุปของการเดินทาง
ระหว่างทางไปสนามบินนาริตะ


ปกติพอถึงวันกลับจะงอแงไม่ค่อยอยากกลับ ครั้งนี้ไม่หนักเท่าไหร่ เพราะร่างกายคิดถึงส้มตำกับแกงส้ม แกงเลียงแบบไม่ไหวแล้ว 55

สิ่งหนึ่งที่การเดินทางจะให้เราเสมอคือการมองโลกที่กว้างขึ้น ทำให้เราเข้าใจโลกและวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น หากไม่ขอบคุณการเดินทาง เรา เด็กอายุ 21 ก็คงไม่สามารถเห็นอะไรที่ต่างไปจากเคยได้ อย่างน้อยกว่าทำให้เรายึดติดกับความเชื่อต่างๆ น้อยลง เรามองความเชื่อบางอย่างเรามองว่าดี (เช่นการทำสิ่ง A เป็นเรื่องที่ดี) เราตัดสินมันว่าดี เพราะเรามองในกรอบของวัฒนธรรมเรา มองจากมุมที่เราเติบโตมา แต่อีกคนอาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยก็ได้ เพราะเขาก็มองจากพื้นของเขาขึ้นมาเหมือนกัน เพราะการเดินทางคือ การเก้าวข้ามผ่านเส้นความเชื่อ ผ่านความเคยชินบางอย่าง ไปเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทำให้เราได้มอง A ในหลากหลายมุม การก้าวข้ามไม่ใช่สิ่งที่ง่ายนะ เราพูดเลย ทุกวันนี้ก็ไม่ได้อยากเปลี่ยนแปลงอะไรมาก มันเหนื่อย 55 แต่ทุกครั้งที่ก้าวผ่านไป มันทำให้เมื่อเราเจอเรื่องเดิม เราสามารถเดินผ่านไปอย่างง่ายขึ้น การเดินทางของเราไม่ใช่การ Travel หรือการเดินทางไปดูสถานที่แปลกๆ แต่มันคือการเดินทางไปเรียนรู้ชีวิตของคน สิ่งที่ wwoof ให้เราคือเป็นบัตรผ่านให้เราเดินทางเข้าไปในชีวิตจริงของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่ง ให้เราเข้าไปเรียนรู้ชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อและความคิดของเรา ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวทั่วไปไม่สามารถให้เราได้ มันทำให้การมองโลกของเรากว้างขึ้นอย่างที่บอก ทำให้เรารู้ว่าชีวิตจริงๆ แล้วมันมีทางเลือกเยอะมากนะ มันไม่ใช่แบบที่เราเคยถูกสอนมาแต่เด็กๆ ว่า เรียนจบ ทำงานสักนิด ต่อโท ทำงานที่มั่นคง แต่งงานมีลูก เลี้ยงหลาน  ในโลกของความเป็นจริง มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีชีวิตที่แตกต่างออกไป ชีวิตดาร์กๆ ก็มีอยู่จริง แต่ในความดาร์กของพวกเขาก็ยังมีอะไรที่น่าสนใจอยู่นะ ^^ เราจะเลือกเดินสายแปลกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งหนึ่งก็คือเราต้องยอมรับว่าเมื่อเราเลือกแล้ว มันอาจไม่ง่ายนัก เพราะเราอาจไม่มีตัวอย่าง ไม่มีต้นแบบให้เดิมตาม แต่เชื่อเถอะ ว่าถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำ ในทางเลือกที่เราเดิน เราก็จะทำได้ดีเอง ที่สำคัญคือรักตัวเองมากๆ รักตัวเองในทางที่ถูก ชีวิตเราคือสิ่งที่โชคดีที่สุดที่เราได้มา เวลาในชีวิตเป็นต้นทุนที่เราไม่ต้องซื้อมาก็จริง แต่ก็เป็นต้นทุนที่ราคาแพงที่สุด... เพราะไม่มีอะไรซื้อเวลาให้หมุนย้อนกลับหรือหยุดเวลาได้ ใช้ชีวิตให้สนุกนะคะทุกคน โลกของเราช่างกว้างใหญ่ และก็ต้องเรียนรู้กันต่อไป

กระทู้นี้ก็คงมีเพียงเท่านี้ แต่ถ้าใครมีคำถามหรือเรานึกอะไรเพิ่มเติมออก หรืออยากให้เขียนอะไรเพิ่ม บอกได้นะคะ  ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ที่อ่านกันมาถึงตอนนี้

ありがとうございます!

And now, my journey just begins again.

ไปคุยเล่นกันต่อได้ในเพจ Facebook นะคะ
จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต การเรียนทั่วไป พรุ่งนี้เปิดเทอมมหาวิทยาลัยใหม่แล้ว ตื่นเต้นๆ 
เป็นไงกันบ้างคะ อยากไปทดลองใช้ชีวิตแบบนี้ดูไหม น่าสนุกและได้ประสบการณ์ดีๆ ไปอีกแบบนะ คงจะได้แนวทางกันไปเยอะเลยทีเดียว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook