ปีกหัก หลบร้อน ไปนอนตรัง

ปีกหัก หลบร้อน ไปนอนตรัง

ปีกหัก หลบร้อน ไปนอนตรัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ใครอกหักแล้วอยากหนีรักไปพักใจบ้าง แนะนำหาดทรายแสนสงบ ที่จังหวัดตรัง ถ้าใครสนใจอยากไปทะเลที่คนไม่พลุกพล่านขอเชิญตามคุณ february78 ไปกันเลยค่ะ

*รูปทั้งหมดถ่ายจากมือถือ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็อย่าไปแคร์เนอะ*

ทริปนี้เริ่มต้นจาก วันที่มีใครคนนึงบอกกับผมว่า เขาอยากไปทะเล ผมก็เลยคิดอยู่ว่า ที่ไหนล่ะ ที่จะเป็นความทรงจำดีๆสำหรับใครซักคน แล้วผมก็มองมาที่ตรัง เพราะเป็นทะเลในฝันของผมอีกที่ ที่ผมยังไม่เคยไป และผมก็เตรียมทุกอย่าง ข้อมูล ที่พัก การเดินทาง ก็จากในเน็ตนี่แหละครับ โดยที่เขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ว่าผมวางแผนทริปนี้ไว้เรียบร้อย 55555 แต่แล้วก็มีบางอย่าง ทำให้คนสองคนต้องเดินแยกทางกันไป ทุกคนก็คงต้องมีเหตุผลของตัวเอง เมื่อเหตุการณ์พลิก ทริปนี้ก็เลยเป็นอโลนทริปอีกครั้งของผม


เช้าวันอาทิตย์ ตื่นมาด้วยอาการตึงเล็กน้อยถึงปานกลาง จากการที่เมื่อคืนดื่มหนักไปนิด ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว คว้ากระเป๋าใบเดิม แล้วเดินจ้ำๆๆๆๆ ไปหาโบกแท็กซี่

“พี่ ไปดอนเมืองครับ ขอด่วนเลย” คนขับน่าจะอายุราวๆ 40-50 ถามกับผมว่า เครื่องออกกี่โมงล่ะน้อง “7 โมง 20 ครับ” ผมก็ตอบไปปกติ พี่แกบอกว่า ทันเหลือเฟือ ตอนนี้ 6 โมง ขับรถ 45 นาทีก็ถึง วันอาทิตย์รถไม่ติดหรอก ผมงี้สะดุ้งเลย “พี่ บอร์ดดิ้งไทม์มัน 6 โมง 50 นะพี่”  ขอขยายความสำหรับคนไม่รู้นิดนึงนะครับ บอร์ดดิ้งไทม์ ง่ายๆคือ เวลาที่เจ้าหน้าที่ ที่หน้าเกต เรียกเราขึ้นเครื่องน่ะครับ

แต่ผิดคาด ผมมาถึงสนามบินตอน 6 โมงครึ่ง ผมเช็คอินมาจากบ้านแล้วเลยรีบเดินปรี่ไปที่เกตทันที

ก่อนมาผมยังไม่รู้ว่าผมต้องไปขึ้นที่เกตไหน  พอมาถึง หวยออกที่ 72 ซวยแล้ววววว ใครเคยมาขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองจะรู้เลย ว่ามันอยู่ในโซนของดินแดนอันไกลโพ้น ซึ่งเดินจากจุดตรวจเช็กสัมภาระไปถึงเกต จะไกลมากกกกก ยิ่งเวลาเร่งรีบแบบนี้ด้วย

การขึ้นเครื่องโซนนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ของสายการบินเรียก เราก็จะต้องเดินไปขึ้นรถบัสของสายการบิน เพื่อที่จะไปส่งที่ตัวเครื่องและในรถก็จะประมาณ เราขึ้นรถเมล์ปรับอากาศในตอนที่ทุกคนอยากร่วมเดินทางไปกับเรา แต่ในที่นี้จะแน่นกว่า เพราะรถบัสที่ไปขึ้นเครื่อง แต่ละคนก็จะมีกระเป๋าเดินทางคนล่ะใบเป็นอย่างน้อย.... แน่นซิครับคราวนี้

แต่ก็มีข้อดีนะ รถบัสจะขับพาเราไปเรื่อยๆ ผ่านเครื่องบินรุ่นต่างๆที่จอดอยู่ที่ตามเกตของตัวเอง อารมณ์ประมาณมาทัศนศึกษา ยังไงยังงั้นแล้วเครื่องก็ออกตามเวลาเป๊ะ โดยไม่มีผู้โดยสารตกหล่น (มั้ง)

“ขณะนี้เราบินอยู่ที่ระดับ 36,000 ฟุต หรือประมาณ 15 กิโลเมตรจากพื้นดิน” เสียงจากกัปตัน ผมเลือกที่นั่งริมหน้าต่างไว้ เพื่อที่จะเอาไว้มองดูวิว และสถานที่ต่างๆ อนึ่งมองผ่านจากกูลเกิ้ลเอิร์ธ

9 โมงกว่าๆ เครื่องหางแดงก็กระแทกตูดพาผมมาสู่เมืองตรัง โดยสวัสดิภาพ

ยอมรับว่าแพลนต่างๆที่วางไว้ สะดุดตั้งแต่วันที่รู้ว่าต้องมาคนเดียวพอมาถึงก็เลยไม่รู้จะไปไหน เลยไปตั้งต้นสถานีรถไฟก่อน แล้วค่อยคิดล่ะกัน มาถึงสนามบิน เขาจะมีบริการรถตู้เข้าเมือง ออกจากประตูผู้โดยสารมาอยู่ซ้ายมือเลย ซื้อตั๋วคนล่ะ 90 บาท แล้วออกไปขึ้นรถตู้ที่รออยู่ได้ทันทีเลยครับ ดูเหมือนรถตู้คันนี้ จะมีผมเป็นคนต่างถิ่นคนเดียวซะแล้ว  แหล่งใต้กันทั้งคันเลยอ่ะ แต่เหมือนคนขับจะรู้ว่าผมเป็นนักท่องเที่ยว (แต่งตัวซะนักท่องเที่ยวจ๋า ไม่รู้ได้ไง) เลยตะเวนส่งคนโน้นคนนี้ก่อน ผมเปิดแมพในมือถือดูตลอดเวลา ก็เลยพอรู้ว่าเขาขับไปทางไหนบ้าง ผมว่าอันนี้สำคัญเลยนะ สำหรับคนที่ไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไป เปิดแอพแมพไว้ เราจะได้ไม่หลงแล้วพอถึงคิวผม ก็หมดคันแล้ว ผมก็กระดึบๆๆๆๆ ไปนั่งหลังคนขับ เพื่อจะคุยกับเขา พอเหลือแค่เราสองคน (โรแมนติกเชียว) พี่คนขับก็แนะนำสถานที่ต่างๆ ระหว่างทางก็ชี้ให้ดู ร้านอร่อยๆขึ้นชื่อต่างๆ และพอผมบอกอยากเช่ามอไซค์ แกก็เลยไปส่งผมที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์เลย พี่แกนิสัยดีมากเลย ประสบการณ์ดีๆเริ่มต้นขึ้นแล้วกับผู้คนที่นี่

ร้านเช่ามอไซค์ที่ผมเช่าอยู่ที่ข้างโรงแรมศรีตรังนะครับ โรงแรมเก่าแก่หน้าสถานีรถไฟ  ค่าเช่ามอไซค์อยู่ที่ 250 บาทต่อวัน และพอถามถึงที่พักที่ผมจะพัก แกก็เลยถามจะคืนรถวันกลับเลยมั๊ย แกคงรู้ว่าขับไปกลับก็ไกลเอาเรื่องอยู่ แต่ผมยังลังเลอยู่ ว่าจะขี่มอไซค์เที่ยวแค่ตัวเมืองกับกันตังก็พอ เลยตัดสินใจเช่าแค่วันเดียว ตอนผมไปถึงที่ร้าน 10.15 พี่เจ้าของร้านบอกคืนได้ 10.15 ของวันพรุ่งนี้นะค่ะ แล้วก็ให้นามบัตรผมมา บอกถ้าจะเช่าต่อก็โทรมาบอกก็ได้ แล้วค่อยมาจ่ายวันคืนรถทีเดียว บ๊ะ ใจดีเว้ยเฮ้ยยยย หลังจากรับกุญแจ และหมวกกันน็อกเรียบร้อย จุดหมายแรกที่ผมคิดได้คือ ร้านอาหาร ที่ไหนก็ได้ ผมหิวววววว แล้วผมก็ไปร้านอาหารที่พี่รถตู้ชี้ให้ดูว่าอร่อย  ร้านพงษ์โอชา แต่ไปซะสิบโมงกว่า หมูย่างรึ อย่าหวังว่าจะได้กิน มันหมดไปตั้งแต่เช้าแล้วครับ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ลิ้มรสชาติของติ่มซำ และก็ไม่ผิดหวัง อร่อยสมคำร่ำลือ ที่นี่พอเรานั่งซักแปบ น้องเขาก็จะยกติ่มซำมาให้ถาดนึง เราจะกินอะไรก็เลือกๆๆๆๆ ได้เลย แล้วก็จะมีชาอุ่นๆมาเสริฟให้กานึง ฟินไปดิ

หลังจากรองท้องไปได้ซักหน่อย ก็เริ่มการผจญภัยกันได้แล้ว กับดินแดนที่ผมไม่เคยได้มาสัมผัส รู้มาว่ามีโบสถ์คริสต์เก่า แค่รู้มาไม่พอ เราต้องไปสัมผัสด้วย ว่าแล้วก็บึ่งมอไซค์ไปทันที โบสถ์คริสต์ตรัง จัดว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยและเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมืองไทยเลย สร้างมา 100 ปีพอดี ระหว่างที่ผมเดินชมความงาม ถ่ายรูปไปเรื่อย ก็มีพี่ผู้ชายคนนึงเดินเข้ามาหา เขาสวัสดีผมอย่างนอบน้อมมาก ผมรีบไหว้กลับแทบไม่ทัน (ต้องขอโทษด้วยที่ผมจำชื่อพี่ไม่ได้)คุณพี่แนะนำเรื่องราวต่างๆของโบสถ์ให้ฟัง แล้วยังชวนให้มาใหม่เดือนพฤศจิกา เพราะจะมีการจัดงานครบรอบ 100 ปีของโบสถ์ จริงๆผมอยากได้เอกสารประวัติของโบสถ์ แต่พี่เขาว่ายังไม่มี แต่จะทำในวันครบรอบ 100 ปี แต่พี่แกก็ยังเดินไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับพระเจ้ามาให้ผมเล่มนึง ซึ่งผมก็รับไว้ ผมชอบนะที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ผมว่าทุกสิ่งก็มีส่วนที่ดีในตัวของมันเอง อยู่ที่เราว่าจะยอมรับและเรียนรู้มันหรือเปล่า

 

หลังจากออกมาจากโบสถ์ ผมก็ขี่รถไปเรื่อยๆเพื่อเที่ยวชมบ้านเรือน ของเมืองตรัง ซึ่งที่นี่เขายังคงอนุรักษ์บ้านเรือน ซึ่งเป็นรูปทรงของสมัยก่อน สถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีส ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและโปรตุเกสหลังจากออกมาจากโบสถ์ ผมก็ขี่รถไปเรื่อยๆเพื่อเที่ยวชมบ้านเรือน ของเมืองตรัง ซึ่งที่นี่เขายังคงอนุรักษ์บ้านเรือน ซึ่งเป็นรูปทรงของสมัยก่อน สถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกีสซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมจีนและโปรตุเกส

ขับไปทางที่จะไปจวนผู้ว่า หรือไปตามทางที่มีป้ายไปพัทลุง ก็จะไปเจอกับอีก 1 แลนด์มาร์ค วงเวียนปลาพะยูน เป็นวงเวียน 4 ชั้น แต่ล่ะชั้นเป็นเรื่องราวของวรรณคดีไทย แต่ชั้นที่ 4 ชั้นล่างสุด จะเป็นรูปปั้นปลาพะยูน สัญลักษณ์ของจังหวัดตรัง จะอยู่ตรงหน้าสวนทับเที่ยงเลย หาไม่ยาก หาไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับผม คนที่เคยไปเมืองตรังเป็นครั้งแรก ทำไงล่ะ เปิดแมพซิครับ.... มันช่วยได้เยอะจริงๆ เหอะๆๆ

ถ่ายรูปเล่นจนได้ที่ ก็ถึงเวลาต้องออกจากเมืองกันซะที หันซ้ายแลขวา แล้วก็สตาร์ทเครื่อง สู่จุดหมาย เมืองกันตัง แต่ระหว่างทางที่ยังอยู่ในตัวเมือง ยอมรับเลย ติดไฟแดงปุ๊บต้องเปิดแผนที่ในมือถือทันที คือประมาณ ต้องคอยเช็คตลอดเวลา กลัวหลงน่ะ ไม่มีอะไรมากเลย แล้วพอหลุดตัวเมืองมาได้ สองข้างทางก็จะมีแต่ต้นไม้ แล้วซักพักก็จะได้กลิ่นอายความเค็มของทะเลมาปะทะกับจมูก คือได้บรรยากาศของเมืองภาคใต้มากๆ ถ้าคุณขับรถเก๋งจะไม่ได้บรรยากาศแบบนี้เลย ขอบอกแต่ข้อเสียของการแว้นเที่ยวคือ ฝน  ใช่แล้วภาคใต้มี 4 ฤดู มีฤดูร้อน มีฤดูฝน ฤดูฝนน้อย ฤดูฝนมากและผมก็เห็นมันครื้มๆมาแต่ไกล แต่มาเที่ยวเว้ยเฮ้ย ฝนแค่นี้ จะมาทำให้เราหมดสนุกไม่ได้หรอก ลุยเลย

ก่อนเข้าเมืองกันตัง จุดนึงที่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่กันตังต้องมา ก็คือ ยางพาราต้นแรกของประเทศไทย แต่ก็ยอมรับอย่างนึงนะ ว่าแวบแรกที่เห็น ความคิดที่แล่นขึ้นมาก็คือ ต้นแค่เนี๊ยเหรอ  เหอะๆๆ ตามภาษาคนไม่เคยเห็นต้นยาง 5555

ยืนดูต้นยางพาราได้แปบเดียว ระอองเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา แบบนุ่มนวล แต่ด้วยความที่เรามาแบบ หนังหุ่มเหล็ก จึงต้องรีบขี่คู่ซี้ชั่วคราวไปหลบฝน แล้วที่ที่ผมคิดไว้แล้ว ว่าจะไปหลบฝน ก็คือ ร้านกาแฟสถานีรัก ซึ่งเป็นร้านกาแฟน่ารักๆ ที่อยู่ข้างสถานีรถไฟกันตัง ด้วยสไตล์การแต่งร้านแบบเก๋ๆ จึงไม่แปลกใจเลย ว่ามักจะมีคนแวะเวียนเข้ามาซื้อกาแฟและแวะถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ แม้แต่คนพื้นที่เอง ก็ใช้ร้านกาแฟร้านนี้มานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน และรสชาติของกาแฟ ผมว่า ก็ถือว่าโอเคนะ อาจไม่ได้เข้มข้นมากนัก แต่ก็อร่อยในระดับนึง

ไม่นานนัก ฝนก็เริ่มหยุดตก  รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแฮะ ที่ฝนแค่โปรยปรายมาแล้วก็พัดผ่านไป ไม่รีรอเลย จะรอช้าอยู่ใย ไปต่อซิครับ  และแค่ก้าวออกจากร้านกาแฟ ก็จะเจอกับสถานีรถไฟเก่าแก่อีกแห่ง สถานีรถไฟกันตัง สถานีรถไฟปลายทางของเส้นทางรถไฟสายฝั่งอันดามัน ซึ่งตัวสถานีรถไฟเอง ก็ยังคงถูกอนุรักษ์ให้ยังคงเดิม เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ซึ่งทำให้รู้สึกย้อนยุคไปสู่สมัยก่อน

เราสามารถนั่งรถไฟมาเที่ยวได้ โดยมาจากตัวเมืองตรังสู่กันตังได้เลย เวลาก็เช็คกันเองนะครับ และเมื่อรถไฟมาถึงกันตัง เราก็หาเที่ยวในตัวกันตังได้ แต่ก็คงเที่ยวได้ไม่นานนัก ผมไม่แน่ใจว่ารถไฟจะจอดที่นี่กี่นาที และเพราะที่นี่เป็นสถานีสุดท้าย รถไฟจะไม่ไปต่อแต่จะกลับไปตัวเมืองตรัง

ด้านในตัวอาคารของสถานีรถไฟ ก็จะมีพิพิธภัณฑ์ย่อยๆของสถานีไว้ให้เข้าไปเยี่ยมชมกันด้วยนะครับ ไหนๆก็มาถึงกันตังแล้ว ยังไงก็แวะดูกันหน่อยล่ะกัน

ระหว่างที่ขับรถหนีฝนมา เห็นสวนสาธารณะอยู่แห่งนึง และรู้สึกเหมือนเคยเห็นว่าเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเมืองกันตัง แล้วจะเลยผ่านมาเฉยๆได้ยังไง เมื่อไม่มีฝนเป็นอุปสรรคแล้ว ก็ต้องเลี้ยวรถกลับไปซิครับ สวนสาธารณะนี้มีชื่อว่า สวนสาธารณะควนตำหนักจันทน์ มีประวัติยังไงหากันเองล่ะกันนะครับ แต่โดยรวม เป็นสวนสาธารณะที่เงียบๆ ต้นไม้เยอะมาก และอยู่บนเนินเขา มีศาลาให้พักผ่อนอยู่หลายศาลา แต่อาจไม่ค่อยได้ดูแลเท่าไหร่นัก สถานที่เลยไม่ค่อยสะอาดเท่าที่ควร มีขี้นก ขี้ดิน เต็มศาลาเลย แต่ก็ยังมีคนมาปูเสื่อนอนนะครับ คงเพราะอากาศรมรื่น มีลมพัดสบาย เลยเหมาะที่จะมาพักผ่อน แถวยังมีจุดชมวิวด้วย ใครผ่านมาก็อย่าลืมแวะมาพักกันได้เน้อ

และบนเนินเขาที่สวนสาธารณะนี้ ก็มีอุโมงค์กองทัพญี่ปุ่น ซึ่งผมก็ไม่รู้ประวัติน่ะครับ แต่ด้านในอุโมงค์ก็เป็นการทำขึ้นใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินได้ แต่ก็ระวังหัวกันหน่อยนะครับ รู้สึกจะเตี้ยไปสำหรับผม อากาศด้านในไม่ต้องกลัวนะครับ หายใจสะดวก มีลมพัดผ่าน มีรูที่เจาะจากด้านบน และอุโมงค์จะไปทะลุกับอีกด้านของเนินเขา ด้านในอุโมงค์สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าเป็นอุโมงค์ญึ่ปุ่นจริงๆก็คือ ผมเจอถ้วยมาม่าคัพ ถ้าเป็นถุงผัดไท ผมคงต้องเถียงคอเป็นเอ็นแน่ ว่านี่คืออุโมงค์ไทย

ลงจากสวนสาธารณะมา ผมก็รีบตรงดิ่งเพื่อที่จะไปสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของกันตัง พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) จะว่าตรงดิ่งก็เกินไป เพราะกว่าผมจะไปถึงหลงอยู่เหมือนกัน ประมาณอารมณ์ขี้เกียจเปิดแมพ นึกว่าตัวเองแน่ สุดท้าย แมพ เป็นตัวช่วยสุดท้าย 

พิพิธภัณฑ์ เปิดวันอังคาร ถึง วันอาทิตย์ เวลา 9 โมงถึง 4 โมงครึ่งเย็น ปิดวันจันทร์นะครับพระยารัษฎาฯเป็นบุตรพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี ผู้ว่าราชการเมืองระนอง และเป็นผู้ส่งเสริมการปลูกยางพารา จนกลายเป็นพืชเศษฐกิจอันดับ 1 ของภาคใต้ ภายในมีหุ่นขี้ผึ้งของท่านพระยารัษฎาฯ และข้าวของเครื่องใช้ และประวัติต่างๆของเมืองกันตัง เข้ามาในพิพิธภัณฑ์แล้วก็อย่าลืมลงชื่อในสมุดเยี่ยมด้วยนะครับ ส่วนใหญ่แล้วสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เป็นแนวพิพิธภัณฑ์ จะมีสมุดเยี่ยมแทบทั้งนั้นนะครับ ยังไงก็อย่าลืมลงชื่อเยี่ยมชมกันนะจ๊ะ

ภายในจะมีห้องต่างๆหลายห้องให้เข้าชม วันที่ผมไปนี่ เงียบกริ๊บ แต่ดูจากสมุดเยี่ยมก็มีเข้ามากันแล้วหลายคนเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่อำเภอทางผ่าน คือถ้าจะมาก็ต้องตั้งใจมาจริงๆไปต่อไม่ได้ นักท่องเที่ยวจึงมีแต่นักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเท่านั้น แต่ก็ดีนะครับ มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าที่นี่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ไม่ได้เจริญไปตามยุคสมัยมากนัก ยังคงความเป็นเมืองเก่าอยู่ เหมือนที่สัมผัสได้จากพิพิธภัณฑ์พระยารัษฎาฯนี้

หลังจากออกมาจากพิพิธภัณฑ์ฯ ผมก็ตระหนักได้อย่างนึงว่า เราควรที่จะไปที่พักได้แล้วนะ ขณะนั้นเวลาประมาณบ่ายสาม แต่เวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญ มันสำคัญตรงที่ว่า เมฆฝนก้อนมหึมากำลังไล่ต้อนมาแล้ว ว่าแล้วผมก็บิดสกูปปี้ไอคู่ใจวัยหวาน ไปที่พักที่หาดยาวทันที จากตัวเมืองมากันตัง 20 กว่าโล จากกันตังไปที่พักที่หาดยาวอีก 20 กว่าโล รวมแล้ว 40 กว่าโลร่วม 50 โล ขับหน้าชาเหมือนกันนะ ระหว่างทางผมไปไม่ทันฝน มันตามผมมาทัน และหนักมาก เลยต้องไปหลบร้านกาแฟร้านนึง เป็นเพิงไม้ธรรมดา และสิ่งที่ผมได้รับจากชาวบ้านก็คือ ถุงขนาดใหญ่ 1 ใบเอามาให้ผมใส่กระเป๋าเป้เสื้อผ้าผม แต่แกไม่มีเสื้อกันฝนให้ แย่จัง..เหอะๆ แต่เขาก็แนะนำให้ไปซื้อร้านค้าข้างหน้า มีขายแน่นอน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นของที่นี่ทีเดียว  คนที่นี่ใจดีจังเว้ย เนื่องจากฝนตกหนักผมเลยไม่ได้ถ่ายรูปร้านกาแฟเล็กๆร้านนี้มาให้ดู เสียดายจัง แต่หลังจากฝนเริ่มเบาลง ผมก็หาเสื้อกันฝนใส่แล้วบิดต่อไปถึงหาดยาว ที่พักของผมก็คือ บ้านเจ้าไหม บีชเฮ้าส์ ผมจองผ่านอโกด้า บ้านเจ้าไหมนี่อยู่ที่หลักกิโล 0 ของหาดยาวกันเลยทีเดียว

 

ทันทีที่ไปถึง พี่เจ้าของรีสอร์ท ก็รีบถือร่มกองดุ่มๆมาที่ผมทันที และแทบไม่ต้องคุยอะไรมาก (ก็ฝนมันตกอยู่นิ) พอผมบอกชื่อปุ๊บ ไม่ต้องดูใบบุ๊กกิ้งกันแล้วชั่วโมงนี้ เหมือนแกจะรู้ทันที รีบพาผมไปห้องทันทีและห้องผมที่ได้คือ ห้องเบอร์ห้า เสียงเพลงของสายัณห์ สัญญา กึกก้องขึ้นในหูทันที “จะไปให้พ้น เกลียดคนที่ห้องเบอร์ห้า อยู่ทำไมให้ช้ำอุรา ลาแล้วลาเบอร์ห้าหลอกลวง........” ไม่เกี่ยวอะไรเลย....แหะๆๆๆ

ด้วยความที่ผมไปถึงเย็นแล้ว พี่เจ้าของรีสอร์ท ซื่งมาถามชื่อพี่เขาตอนหลังถึงรู้ว่าชื่อพี่เจ๋ง แกคงรู้ว่าผมหิว เพราะตั้งแต่เช้าผมได้กินแค่ติ่มซำ ไม่กี่ชิ้นซึ่งไม่ได้เสี้ยวนึงของกระเพาะเลย และก็กาแฟอีก 1 แล้วที่กันตัง พี่เจ๋งแนะนำร้านใกล้ๆให้ ชื่อร้านหาดยาวซีฟู๊ด อาหารทะเลที่นี่สดทุกอย่าง เพราะหมู่บ้านนี้เขาทำประมงเป็นหลักอยู่แล้ว ผมเก็บของได้ ก็ไม่รอช้า รีบขี่มอไซค์ไปที่ร้านทันที ร้านหาดยาวซีฟู๊ด เป็นร้านอาหารร้านเดียวในหมู่บ้านหาดยาว อยู่ติดท่าเรือไปเกาะลิบง บรรยากาศดีทีเดียว

อาหารผมกินแค่ไม่กี่อย่าง ก็อย่างว่าแหละครับ ไปคนเดียวจะกล้าสั่งอะไรเยอะ ผมอยากกินปลาก็เลยถามหาปลา ในเมนูผมเหลือบไปเห็นปลานึ่งมะนาว พี่ที่มารับออเด้อ บอกว่าเป็นปลากะพง คิดราคาเป็นกิโล ผมก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวนึงมันกี่โล คิดอยู่แปบนึง เขาก็เลยบอกว่า สั่งเป็นชิ้นก็ได้นะคะ เหมือนยกภูเขาออกจากอก ก็กลัวกินไม่หมดไงครับประเด็น ก็เลยบอกเขาเอาเป็นชิ้นละกัน  แล้วก็สั่งอย่างอื่นอีกนิดหน่อย แล้วพอเขาเอาปลานึ่งมะนาวมาเสริฟ ผมนี่ร้องเลย โห ชิ้นนึงขนาดนี้ ถ้าสั่งทั้งตัวไม่ยกหม้อมาเลยเหรอ 55555

 

พอเริ่มอิ่ม ก็เริ่มมีแรงกลับมาอีกครั้ง ความนี้ก็เริ่มและ เริ่มออกแรง รีบหลับห้องพัก อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว แล้วก็เริ่มออกสำรวจหาดยาว หาดที่อยู่หน้าที่พัก บ้านเจ้าไหม ผมก็เคยเห็นในรูปมาบ้าง จากที่หาดูจากในเน็ต แต่ก็ไม่รู้ว่าสถานที่จริงจะเป็นยังไง หาดยาวเป็นหาดที่ยาวววว สมชื่อเขาล่ะ และก็สวยงามเมื่อมองออกไปสู่ทะเล แต่กลับกัน บริเวณชายหาดกลับไม่สะอาดนัก มีขยะอยู่เยอะไปหมด ถ้ามีคนคอยดูแล หาดนี้คงสวยน่าพักผ่อนมากว่านี้เยอะเลยครับ น้ำทะเล ก็มาตรฐานครับ เล่นได้สไตล์ชายหาดริมฝั่ง แต่จะให้ใสทรายขาวเหมือนชายหาดตามเกาะต่างๆ ก็คงไม่ใช่

เดินเอาบรรยากาศริมทะเลอยู่พักใหญ่ๆ ก็เดินกลับเข้าพื้นที่ของรีสอร์ต ที่บ้านเจ้าไหม บีชเฮ้าส์ มีห้องพักหลักๆอยู่ 7 ห้องในโซนห้องแถว (อันนี้ผมเรียกเองนะ) แล้วก็มีอีกโซนที่เป็นบ้าน 2 ชั้น ห้องนึงน่าจะได้หลายคนอยู่ แล้วก็ที่กำลังสร้างเพิ่มอีกนิดหน่อย ที่ผมเห็น แล้วก็มีห้องอาหารที่เปิดเฉพาะตอนเช้า ให้กับแขกที่มาพักรับประทานอาหารเช้า และก็จะมีโต๊ะไว้ให้นั่งเล่น อีก 2-3 ชุด บรรยากาศโดยรอบ เงียบสงบดีมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนจริงๆ

ระหว่างเดินเล่นเพลินๆ ผมก็เจอกับพี่เจ๋งเจ้าของรีสอร์ตอีกครั้ง พี่แกบอกว่ามีหาดสวยๆใกล้อยู่อีกหาด แต่ต้องย้อนไปหน่อย พี่เขาแนะนำว่าให้ไปหลัง 5 โมงเย็นนะ เพราะอุทยานปิดแล้ว ไม่ต้องเสียค่าเข้า เอาซิว่ะ นี่ จะ 6 โมงแล้วเมื่อคนพื้นที่แนะนำมาอย่างนี้ ก็ไปซิครับ รีบสตาร์ทสกูปี้ไอให้ไว  แล้วไปหาดที่ว่า นั่นคือหาดหลงหลิง ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม 

ชายหาดสะอาดครับ ก็อยู่ในพื้นที่อุทยาน มีคนดูแลอยู่แล้ว ด้านในมีร้านอาหาร ห้องน้ำพร้อม สำหรับนักท่องเที่ยว หาดนี้ก็สวยดีระดับนึงนะครับ แล้วตอนไปถึงแถบไม่มีคนแล้ว ผมเจอแต่น้องหมาตัวนึง วิ่งเล่นไล่ลิงที่อยู่ริมหาดอยู่ เออเนอะ มันคงสนุกมันเนอะ

แต่ไฮไลต์ของหลงหลิงไม่ได้อยู่ที่หาดนี้ แต่เป็นหาดทรายขาวๆ ที่อยู่เลยเข้าไปอีกหน่อยนึง มันแอบอยู่หลังเขาลูกที่อยู่ท้ายหาดหลงหลิง หาดนี้ชื่อว่าหาดสั้น ทรายละเอียด ขาวสะอาด เหมาะที่จะมานั่งดูพระอาทิตย์ตกยิ่งนักและวันนี้ผมมาทันพอดี ติดที่ว่าเมฆเยอะไปหน่อย แต่ก็ได้อารมณ์ดีเหมือนกัน เสียงคลื่น สายลม และแสงสีส้มจากดวงอาทิตย์ ไม่ฟินอ่ะ เหงา 55555

หมดวันแรกที่จังหวัดตรังแบบ ไม่รู้จะสุขหรือจะเศร้าดี แต่ที่สำคัญ ผมได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ความสุขที่ได้รับจากผู้คนที่ผมไม่เคยรู้จัก ธรรมชาติและวัฒนธรรมที่เราจะไม่มีวันรู้จักจริงๆเลย ถ้าเราไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง ยัง มันยังไม่จบ นี่ก็แค่วันแรก ยังมีอีก 2 วัน เมืองตรังทะเลตรัง ยังมีอะไรอีกเยอะ ไว้จะมาเล่าให้ฟังต่อคราวหน้านะครับ


เชิญติดตามตอนต่อไป http://pantip.com/topic/33763831

โปรดติดตามตอนจบ http://pantip.com/topic/33766464

 

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ february78

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook