ตกหลุมเลิฟ..เมืองน่ารัก ในไต้หวัน "ไทเป - เป่ยโถว - จิ่วเฟิ่น"

ตกหลุมเลิฟ..เมืองน่ารัก ในไต้หวัน "ไทเป - เป่ยโถว - จิ่วเฟิ่น"

ตกหลุมเลิฟ..เมืองน่ารัก ในไต้หวัน  "ไทเป - เป่ยโถว - จิ่วเฟิ่น"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประเทศไต้หวัน ประเทศที่ตัวเราเองแทบจะไม่รู้จักเลยว่าบ้านเมืองนี้ ผู้คนที่นี่จะเป็นยังไง แล้วก็นึกเอาเองว่าคงจะคล้ายๆ กับฮ่องกง มาเก๊า ล่ะมั้ง ตึกเยอะๆ คนแน่นๆ  แต่ความคิดนี้ต้องเปลี่ยนทันที เมื่อคุณ Cold river ในบ้านพันทิป ได้ทำรีวิวเมืองต่างๆ ในประเทศไต้หวัน อย่าง ไทเป-เป่ยโถว-จิ่วเฟิ่น ในมุมต่างๆ ที่เราไม่เคยได้เห็น แล้วรู้สึกกลับกลายว่าประเทศไต้หวันก็เป็นประเทศที่มีความน่ารักและเงียบสงบอยู่ไม่น้อย

ตอนที่แล้ว EP. 1 Hualian – Yilan – Taipei

http://pantip.com/topic/33531029

กลับมาแล้วคร้าบบบบบ หลังจากเล่าเรื่องเมืองน่ารักไต้หวันไปเมื่อตอนที่แล้วกับการเที่ยวชมธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของ “ทาโรโกะ” สถานที่ขึ้นชื่อเมืองฮัวเหลียนและการชมเมืองน่ารักอย่าง “อี้หลาน” ที่รวบรวมความอ่อนละมุนลายเส้นของนักเขียนคนดัง Jimmy Liaoซึ่งทั้งสองเมืองล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงเป็นการสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวอันแสนรื่นรมย์อีกครั้งของผมแต่การไปถึงไต้หวัน “ครั้งแรก” ของผมคราวนี้ ความประทับใจในความน่ารักยังไม่หมดเพียงเท่านั้น สองวันที่เหลือได้ออกนอกไทเป เพื่อชมเมืองน้ำแร่เป่ยโถว และเมืองเหมืองทอง จิ่วเฟิ่นโอยยยย ทั้งสองเมืองมันฟินเฟ่อออออออ ยิ่งตอกย้ำให้หลงรักประเทศนี้มากขึ้นไปอีกจนอดใจไม่ไหว อยากเล่า อยากชวนคนที่ยังไม่เคยเดินทางไปไต้หวันมาก่อนสักครั้งเถอะครับ สักครั้ง รับประกันความประทับใจจริงๆ

ปล 1 การเดินทางคราวนี้ต้องขอบคุณ Airasia Go / Novotel Tuayuan / Airbnb สำหรับที่พักตลอดทริป ขอบคุณ Keen Thailand สำหรับรองเท้าคู่กายที่ใช้ลุยในครั้งนี้ขอบคุณน้องหนึ่ง 1000miles สำหรับการร่วมเดินทาง คนนำทาง รวมทั้งเป็นล่ามทำให้การเดินทางราบรื่นสนุกสนานขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่น่ารักครอบครัว 1twenty2 และสต็อปที่สร้างสีสันให้ทริปนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

ปล 2 หากมีคำถามหรือชมภาพเพิ่มเติมจากทริปนี้ และทริปอื่นๆ ทักทายกันได้นะครับ

facebook : https://www.facebook.com/Coldriverpage

IG : http://instagram.com/coldriverpage

เริ่มต้นรีวิวนี้ด้วยที่พักสำหรับ 2 คืนของเราในไทเป ซึ่งใช้บริการผ่าน www.airasiago.com ซึ่งขั้นตอนการจองแสนง่ายและสะดวกสบายเมื่อเข้าไปหน้าเว็บเพียงแค่เลือกเมือง และวันที่เข้าพัก จำนวนคน หน้าเว็บจะมีโรงแรมและแสดงราคาให้เลือกมากมายหลายระดับส่วนใหญ่เราจะกรองคร่าวๆ ว่าราคาที่รับได้ และโจทย์สำคัญของเราในคราวนี้คือ อยากพักที่ใกล้สถานีรถใต้ดิน เดินทางไปนั่นโน่นนี่ได้อย่างสะดวกอันนี้สามารถคลิ๊กเข้าไปหน้าของแต่ละโรงแรมที่สนใจเพื่อดูแผนที่หรือสถานีที่ตั้ง รวมทั้งความเห็นของผู้ที่เคยมาพักประกอบการตัดสินใจ

และโรงแรมที่ลงตัว ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดคือ Hope City Fushing Hotelเพราะอยู่ห่างจากทางเข้าสถานี Daan เพียงนิดเดียว แถมไม่ไกลยังมีร้านเซเว่นที่เราสามารถฝากท้องสำหรับซื้อขนม ซื้อน้ำกันในยามดึกอีกด้วยเมื่อเลือกแล้วเราจัดการตามขั้นตอน และได้ใบจองมาเรียบร้อยเพียงแค่ Print ติดตัวไป แสดงหน้าเคาท์เตอร์วันเช็คอิน เท่านี้เรื่องที่พักของเราก็เรียบร้อยหายห่วงกันแล้ว

โรงแรม Hope City Fushing Hotel  ที่เราเลือกจอง ในแว้บแรกวันที่เข้าไปเช็คอินดูเก่ากว่าที่คาดไว้อยู่สักหน่อย แต่เมื่อแต่เมื่อเข้ามาในห้องก็ถือว่าสภาพดี สะอาดสะอ้าน เตียงใหญ่ นอนได้หลับสบายที่นี่ยังมีอาหารเช้าบริการ  จากที่ทำใจว่าแขกคงไม่เยอะ อาหารเช้าอาจจะไม่ประทับใจกาลกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เพราะแม้จะไม่ได้มีอาหารให้เลือกหลากหลายแต่แต่ละอย่างเรียกว่าเน้นๆ เลย โดยเฉพาะขนมจีบอร่อยติดใจเลยนะครับ

หลังจากเมื่อวานตอนเย็นย่ำพวกเราเก็บภาพสัญลักษณ์สำคัญของเมืองอย่าง ไทเป 101 ท่ามกลางแสงสวยแล้วดูท่ายังไม่หนำใจ เลยตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปเก็บความสวยของตึกในอีกมุมมองหนึ่งเราออกจากโรงแรมในสภาพง่วงงุน โดยมีภาพตึกไทเป 101 เป็นแรงขับเดียวให้มีแรงขึ้นรถใต้ดินเที่ยวแรก ที่โล่งโจ้ง แทบจะเรียกว่าเหมาขบวนกันทีเดียวเป็นหนึ่งช่วงเวลาที่แตกต่างจากภาพแน่นขนัดของรถใต้ดินที่เราเจอเมื่อช่วงวันวานลิบลับ

อึดใจเดียวเรามาลงที่สถานี Xiangzhan เดินออกทางออกที่สองเดินเลียบถนนที่ขนานกับสวนสาธารณะ ที่มีผู้คนโดยเฉพาะผู้สูงอายุจับกลุ่มออกกำลังกายกันอย่างคึกคักในหลายรูปแบบ ตั้งแต่ไทเก็ก ร่ายรำ ไปจนถึงเล่นบาสเก็ตบอลนั่นทีเดียว แต่เราเดินต่อไปอย่างแน่วแน่ เพราะเป้าหมายของเราคือจุดชมวิว Xiangshan หรือเขาช้างที่เป็นหนึ่งในจุดที่สามารถชมไทเป 101 ที่รายรอบด้วยเมืองหลวงของไต้หวัน ได้สวยงามที่สุด

ระหว่างทางเดินเจอแถวจอดจักรยานสีสันสดใสรับยามเช้า ซึ่งเจ้าจักรยานสีส้มสลับเหลืองนี่สามารถพบเจอได้หลายจุดทั่วทั้งเมืองไทเปถือเป็นบริการจักรยานสาธารณะ ที่เรียกว่า YouBike หากอยากใช้บริการต้องทำการลงทะเบียนมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าเช่าเล็กน้อย เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้รักการปั่นและอยากมีเวลาเที่ยวชิลๆ แบบไม่รีบร้อน แต่พวกเราวิ่งเที่ยวกันตลอดทริป เลยได้แต่มองตาปริบๆด้วยความเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลองใช้เลยสักครั้ง

เขาเซียงซาน หรือ Elephant Mountain ได้ชื่อนี้มาเพราะลักษณะภูเขาคล้ายกับหัวของช้างข้อมูลที่ทราบก่อนไปคืออยากไปชมวิวสวยๆของเมืองไทเป แต่ที่เพิ่งรู้เมื่อมาถึงจุดเริ่มต้นที่ต้องขึ้นไปจุดนั้นบันไดหินทอดตัวยาว คดไปมาตามสภาพของเนินเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆถอนหายใจหนึ่งเฮือก พร้อมสะกดจิตตัวเอง เราแข็งแรง เราแข็งแรง เราแข็งแรง ...ยิ่งผู้ร่วมเดินที่แซงหน้าเราไปคนแล้วคนเล่า 90% คือบรรดาผู้สูงวัยความละอายใจ ปลุกพลังฮึดในตัว ก้าวเดินขึ้นไปเรื่อยๆๆๆๆแต่พลังมันมีจำกัด เดินอยู่นานยังไม่ถึง 1 ใน 3 ของเส้นทางทรุดตัวลงนั่งหอบที่ขั้นบันได เฉไฉชมวิวป่าไม้รอบตัวโอว ... อากาศช่างบริสุทธิ์ ป่าไม้ช่างเขียวขจี มีความสุขจุงเบยยยยก่อนจะก้มตัวแอบหอบ ด้วยเกรงว่าคุณลุงคุณป้าที่เดินลิ่วผ่านไปจะมองเห็น ...

พอรวบรวมพลังอันน้อยนิดกลับมาได้ ค่อยๆออกเดินกันต่ออย่างไร้จุดหมาย ระยะทางในแผนที่ที่มีป้ายบอกไม้ตลอดทาง เทียบกับกำลังขาที่เหลือดันเกิดอาการถอดใจ พอมาถึงจุดชมวิวแรกที่มองเห็นตึกไทเป 101 แบบรำไร แผ่ตัวนอนบนเก้าอี้ยาวแถวนั้นแบบหมดสภาพ ผู้ร่วมทริปเช้านี้ของเรา 4 คน ผมมีพวกอีก 2 ละครับ ส่วนหนึ่งเดียวมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าออกเดินต่อเพื่อสู่จุดหมายสูงสุด ทิ้งสามคนที่สมัครใจจะนั่งรออยู่ตรงนี้ นอนฟังเสียงลม เสียงป่า เสียงหมอก เสียงนกกายามเช้า แฮ่กๆๆๆๆ

เวลานานพอดู ถ่ายรูปอยู่จุดนั้นจนเบื่อหนึ่งในสามเริ่มบิ้ว เริ่มสะกดจิตกันเอง “จริงๆ เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงยอดแล้วป่ะ” พูดอยู่สองสามรอบ ที่ถอดใจเมื่อครู่เริ่มมีแรงอีกครั้ง ไหนๆ ก็มาแล้ว ที่นี่ไต้หวัน ไม่ใช่สระบุรีที่นึกอยากขับมาเมื่อไหร่ก็มาได้นี่นะคิดได้ดังนั้นสามคนพร้อมใจกันออกเดิน เดิน และเดิน ผ่านไปครู่ใหญ่ ความเหนื่อยของเราไม่สูญเปล่าเลย เพราะวิวที่จุดสูงสุดสวยงามกว่าด้านล่างหลายต่อหลายเท่า ความเวิ้งว้างของอากาศที่ฉากหลัง ความชุ่มชื้นของป่าที่ฉากหน้า โดยมีพระเอกคือตึกที่เคยได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก และสภาพบ้านเมืองที่เจริญรุดหน้าของประเทศไต้หวันแม้ไม่ใช่วันที่อากาศดี หรือท้องฟ้าเปิดสักเท่าไหร่ แต่เมื่อผ่านความเหนื่อยมากขนาดนี้ บอกได้เลยว่า “มันสวยมากกกกกกกกกก”

นาทีที่ยืนมองตึกสูงที่เด่นเป็นสง่าแห่งนี้ ไม่แปลกใจที่มันกลายเป็นสัญลักษณ์ และเป็นความภูมิใจของชาวไต้หวัน เพราะเป็นผลงานการออกแบบของชาวไต้หวัน ซี.วาย. ลี สถาปนิกชาวไต้หวันซึ่งจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันยังแสดงให้เห็นความก้าวหน้าทางวิศวกรรมเทคโนโลยี และความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจถึงขนาดเคยเป็นแชมป์ตึกสูงที่สุดในโลก เมื่อปี 2004 โดยเอาชนะตึกแฝดในมาเลเซียลงได้(ก่อนจะมาเสียแชมป์ให้กับ ตึกเบิร์จคาลิฟา ของดูไบ ในปี 2010) อีกทั้งรูปแบบยังมีการผสมผสานความเป็นวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเข้าไปอย่างลงตัว ทั้งรูปแบบปล้องไม้ไผ่ที่ถือว่ามงคล และสัญลักษณ์แห่งความโชคดีที่ตกแต่งไว้ตามจุดต่างๆ ของอาคาร

ที่ก้าวล้ำมากกว่านั้นคืออาคารแห่งนี้ถือเป็น Green Building ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มีขนาดใหญ่ สูง และพื้นที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกทั้งที่ส่วนประกอบของอาคารแทบทั้งหมดจะเป็นกระจก แต่ด้วยเทคโนโลยีการตัดแสงและการไหลเวียนอากาศทำให้ลดความร้อนจากภายนอกได้ถึง 50 เปอร์เซนต์

และจุดเด่นอีกอย่างถ้ามีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมตึกไทเป 101 คือลูกตุ้มสีทองยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เมตร หนัก 660 ตัน บริเวณชั้น 89 ลวดสลิงขนาดใหญ่กว่าพันเส้นที่ทำหน้าที่ถ่วงน้ำหนักอาคาร ผสานด้วยเทคโนโลยีทางวิศวกรรม เพราะไต้หวันเองตั้งอยู่ในจุดเสี่ยงให้เกิดแผ่นดินไหวค่อนข้างมากตลอดระยะเวลาที่นานพอสมควรเป็นข้อพิสูจน์ว่าลูกตุ้มสีทองทำได้อย่างทรงประสิทธิภาพ เพราะจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาคารแห่งนี้ไม่เคยได้รับผลกระทบเลยแม้แต้น้อย

ขาลงจากเขาช้างเดินสบายกว่าขาขึ้นร้อยเท่า เลยทำให้เดินลงมาได้อย่างสบาย กลับโรงแรมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียกความสดชื่น เพื่อออกเดินทางกันต่อ เป้าหมายต่อไปของเรา เกิดขึ้นแบบปุบปับครับ เพราะจริงๆแล้ว เรามีเวลา 2-3 ชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดหมายรถตู้ที่จะพาเราไปยังจิวเฟิ่น น้องที่ไปด้วยกันค้นจนได้ข้อมูลเด็ด ว่าสวนสาธารณะและหมู่บ้านที่ออกนอกไทเปไปไม่ไกล มีใบไม้เปลี่ยนสีช่วงวันที่เราไปพอดี แต่น่าเสียดายเราไปเพียงครึ่งทางโดยรถไฟใต้ดิน แต่ครึ่งทางที่เหลือที่ต้องนั่งรถไปรอนานสองนาน รถสายที่รอคอยก็ยังไม่มาพอเปลี่ยนเป็นแท็กซี่ อธิบายยังไงพี่แท็กซี่ก็ไม่รู้จักที่ที่ว่าซะงั้นยิ่งเวลาที่กระชั้น เราต้องตัดสินใจกันอย่างรวดเร็ว ว่าจะต้องใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่าเบนเข็มไปที่ที่สามารถไปได้ชัวร์ๆ ดีๆ ไล่ๆดูในรัศมีที่ไม่ไกลนักจึงมาลงตัวที่เมืองเป่ยโถ เมืองน้ำแร่ของไต้หวัน

เรานั่งรถไฟต่อมาไม่ไกลถึงสถานี Beituo และต่อไปอีกอีก 1 สถานี คือสถานี Xinbeito แค่ตัวรถไฟที่แล่นเพื่อเทียบสถานี ตกแต่งด้วยสีสด ลวดลายแสนน่ารักก็ได้ใจเราไปมากแล้วรู้สึกได้ว่า “เรามาถูกทางแล้ววววววว”

ภายในขบวนที่มีไม่กี่โบกี้ตกแต่งเป็นสองสไตล์ ตู้หนึ่งออกแบบโทนสีน้ำตาลได้ความรู้สึกอบอุ่น ลวดลายไม้ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งตู้ ทำให้การเดินทางธรรมดาวันนี้ดูพิเศษมากขึ้นไปอีก

ส่วนอีกตู้ใช้ลวดลายของต้นไม้ใบหญ้าโดยเน้นที่สีเขียวเป็นหลักได้รับความรู้สึกของความสดชื่น เป็นการอุ่นเครื่องก่อนถึงเมืองน้ำแร่แห่งนี้และเมื่อได้สัมผัสกับเมืองนี้จริงๆ พบว่าเป็นธีมการแต่งรถไฟที่แสดงออกถึงความเป็นเป่ยโถวได้อย่างชัดเจนเมืองที่มีความอบอุ่นของน้ำแร่ และความชุ่มเย็นของมวลหมู่ไม้นั่นเอง

“เป่ยโถว” มีความหมายว่า แม่มด เพราะชาวพื้นเมืองดั้งเดิมมีความเชื่อว่ามีแม่มดอาศัยอยู่บริเวณแถบนี้ ต่อมาได้กลายเป็นแหล่งโคมแดง ก่อนจะมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาครอบครองไต้หวันและพบว่าที่นี่เป็นแหล่งน้ำพุร้อน จึงเนรมิตรให้กลายเป็นแหล่งออนเซนอันเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น และฝังรากลงไปในชีวิตชาวไต้หวันจนถึงปัจจุบัน

เมื่อดูแผนที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆนั้นพบว่าเมืองแห่งนี้มีอาณาเขตขนาดเล็กเหมาะกับการเดินเล่นทั่วเมืองแบบไม่ต้องเหนื่อยมาก เดินเลียบถนนตามหลังนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันที่มากันเป็นกลุ่ม แม้แดดวันนั้นจะร้อนแรงใช้ได้ แต่เพียงไม่กี่ก้าว เราก็เข้าสู่อาณาเขตของอาณาจักรของต้นไม้ ที่ปลูกไว้เรียงรายไปตามสายของถนนยาวเหยียดและหนาแน่น แอบเปรยเบาๆ ตั้งแต่นาทีนั้นว่า สังหรณ์ใจว่าผมจะตกหลุมรักเมืองนี้แน่ๆเลย

หลุดจากถนนสายดงไม้ มาโผล่ที่ถนนสายหนึ่ง ที่มีฉากหลังเป็นภูเขา และฟากฟ้าสวยใส มีโรงแรมกึ่งออนเซนหน้าตาแบบตะวันตกแต่ย้อนยุคหน่อยๆ เมื่อทุกอย่างรวมกันกลายเป็นภาพชวนฝัน ให้นึกเล่นๆ ว่าถ้าใครสักคนบอกว่าเรากำลังเดินอยู่เมืองเล็กแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น นี่ผมก็เชื่อนะ เพราะมันได้ความรู้สึกนั้นอย่างเต็มเปี่ยมจริงๆ

เดินตามป้ายเพื่อตรงไปยังจุดไฮไลท์ของเมือง คือแหล่งน้ำพุร้อนสาธารณะ แต่ก่อนจะถึงในซอยเล็กแห่งนั้นมีบรรดาอาคารบ้านเรือนรวมทั้งโรงแรมขนาดเล็กที่บริการบ่อแช่ออนเซน ที่ดูเก่า เรียบ ขรึม ขลัง และเต็มไปด้วยความคลาสสิก นับจากก้าวแรกที่มาถึงเมืองนี้ยังไม่ถึงชั่วโมง ก็หลงไหลเมืองนี้หัวปักหัวปำ ตั้งมั่นว่าหากมีทริปไต้หวันอีกครั้ง ไม่พลาดที่จะต้องหาโรงแรมนอนที่นี่สักคืนแน่ๆ

เดินต่อไปไม่กี่ก้าว ก็มาถึงจุดหมายที่ตั้งใจแล้วบ่อน้ำพุร้อนที่มีลักษณะเหมือนสระน้ำตื้น แต่ความกว้างไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่ทางเดินที่ทำไว้อย่างดีและสวยงาม ทำให้บรรยากาศโดยรวมน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยยิ่งน้ำสีเขียวมรกตควันฉุย กับท้องฟ้าสีฟ้าสด โอยยยยย ...ไม่ไหวแล้วววววววว

แม้จะอยากโดดลงไปแหวกว่ายด้านล่างนั้นสักเพียงใด แต่กระแสความร้อน กลิ่นกัมมะถันคละคลุ้งและควันที่ตลบอบอวลบริเวณนั้น สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้โดยไม่ต้องพยายามแต่อย่างใดจึงเดินชม เดินเก็บภาพ พร้อมกับเหงื่อท่วมที่ไหลเป็นทาง จากอุณหูมิสูงของน้ำเผื่อแผ่ขึ้นมาด้านบนได้อารมณ์ของการเดินเล่นอยู่ในห้องสตรีมแบบโอเพ่นแอร์จริงๆ

หลังจากเดินเล่นในสตรีม เอ้ยยย เดินชมบ่อน้ำร้อนจนพอใจแล้ว ออกมาเดินชมเมืองกันต่อ บรรยากาศเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติกระจายอยู่ทุกซอกมุมเมือง ถ้าอยากเที่ยวแบบสโลไลฟ์ในไต้หวันผมว่าเมืองนี้ช่างสรรค์สร้างเพื่อการนี้จริงๆ

เวลาใกล้เที่ยงอย่างนี้ไม่มีอะไรจะควรค่าแก่การเข้าไปเยี่ยมชมเท่า “ร้านอาหาร” ละครับ และเพื่อให้เข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นในดินแดนไต้หวันอย่างเต็มที่ต้องลองราเม็งเจ้าอร่อยของร้านนี้ แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนคนที่ยืนตั้งแถวรอคิวยาวเหยียด ในรูปอาจเห็นแค่ไม่กี่คนหน้าร้าน แต่จริงๆแล้วด้านซ้ายมือนั่น มีแถวยาวขึ้นไปยังบันไดด้านข้างร้านนั่นอีก นับคร่าวๆ ได้ไม่น้อยกว่า 20 คนก้มลงดูเวลา ถ่วงดุลกับความหิว ความอยากลอง เราจำเป็นต้องถอย เพราะขืนดื้อดึงรอคิวละก็แผนการเที่ยวจิ่วเฟิ่นของเราคงป่วนเป็นแน่ ฝากไว้ก่อนเถอะ คราวหน้ามาจะนอนเมืองนี้ กินร้านนี้ให้สมอยากเลยทีเดียว

อาคารริมทางแม้จะดูเก่าโทรม แต่แฝงความสวยงามเตะตา จนอดไม่ได้ต้องยืนกลางแดดชื่นชม และเก็บภาพกลับมาหลายภาพเลย

เดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อไปขึ้นรถไฟกลับไทเป ผ่านจุดนี้อาคารสีส้มที่เห็นคือพิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนเป่ยโถว ส่วนจุดที่ลาดชันลงไป มีที่นั่งและเวทีเป็นรูปครึ่งวงกลม ที่นี่เคยเป็นเวทีกลางแจ้งสำหรับการแสดงนึกภาพตามเมื่อสมัยนั้นเมื่อชมการแสดงอันรื่นรมย์แล้ว ปิดท้ายการเดินไปไม่กี่ก้าว ก้าวลงบ่อน้ำร้อนเรียกความสดชื่นหลังการเหน็ดเหนือยจากการงานทหารญี่ปุ่นสมัยนั้น คงถือเป็นการพักผ่อนที่น่าอิจฉามากเลยทีเดียว

บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงอาบน้ำแร่สมัยนั้นถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีและแปรสภาพให้เป็นพิพิธภัณฑ์น้ำพุร้อนที่เล่าความเป็นมา และแสดงถึงวิถีชีวิต กิจกรรมการพักผ่อนในสมัยนั้นการเข้าชมที่นี่ฟรีครับ เพียงแต่ต้องถอดรองเท้าเก็บในตู้ที่ได้จัดไว้ และรับรองเท้าสำหรับสวมในบ้านเพื่อใช้สวมขณะเดินชมตามส่วนต่างๆ ของอาคาร ที่จัดแสดง เล่าเรื่องหลากหลายอย่างน่าสนใจ

ตรงบริเวณชั้นสองนี้มีห้องโล่งขนาดใหญ่ ปูด้วยเสื่อตาตามิ พร้อมทั้งประตูบ้านเลื่อนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ซึ่งถือเป็นห้องที่มีความกว้างมากที่สุดของอาคาร เคยใช้เป็นห้องสันทนาการต่างๆรวมทั้งเป็นที่พักผ่อนอิริยาบท หรือยืดเส้นยืดสายหลังจากแช่น้ำร้อนที่มีบ่อสร้างขึ้นบริเวณชั้นหนึ่งด้านล่างของห้องนี้

จากชั้นสองเดินผ่านบันไดไม้ ที่ตามราวบันไดสลักเสลาลวดลายสวยงามอย่างบรรจง จะพบกับอาณาจักรของความสุขจากการอาบแช่น้ำร้อนของชาวญี่ปุ่นสมัยนั้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สงวนเฉพาะผู้ชาย ซึ่งเป็นนายทหาร เพราะความเชื่อดั้งเดิมเมื่อครั้งแรกสร้างบ่อน้ำร้อนที่นี่ คือเชื่อว่าการแช่น้ำร้อนจะสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วย อาการบาดเจ็บ รวมทั้งผ่อนคลายหลังจากตรากตรำจากศึกสงครามได้เป็นอย่างดีและบริเวณชั้นล่างนี่เอง ที่เรียกว่า ว้าววววว ...เหนือความคาดหมายมาก หากมองจากภายนอกอาคารดูเหมือนไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่บริเวณห้องแช่นี่กินบริเวณเกือบทั้งหมดของชั้น ตัวบ่อปูด้วยโมเสกสีสวย โครงสร้างอาคารเน้นรูปโค้ง และบรรดาเสาที่เรียงรายไปจนสุดห้องได้กลิ่นไอของห้องแช่น้ำร้อนของฝั่งตะวันตกมากกว่าความเป็นญี่ปุ่นเสียอีก

มุมน่ารักที่อยู่ในห้องเล็กๆ แห่งหนึ่งภายในอาคาร เป็นกระดานดำที่ใช้ช็อกหลากสีวาดเรื่องราวโดยใส่ความเป็นการ์ตูนเข้าไป

ภายนอกอาคารที่เราแวะถ่ายสักภาพก่อนโบกมือลาพร้อมกับชื่นชมพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนตัวแล้วถือว่าเล็กพริกขี้หนู มีสาระความรู้ ประวัติความเป็นมา และความงดงามของอดีตให้ได้ชมอย่างครบทุกรสชาติ

ฝาท่อน้ำแถวๆหน้าพิพิธภัณฑ์ลวดลายสวยไม่น้อยกว่าที่เจอในประเทศญี่ปุ่นเลย

สิ่งก่อสร้างอีกแห่งหนึ่งที่ถือเป็นเสน่ห์ของเมืองเป่ยโถวและตั้งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ด้วยการเดินไม่เกิน 20 ก้าวนั่นคือ หอสมุดเป่ยโถวด้วยรูปลักษณ์เรียบ สวย เท่และสะดุดตาผู้คนที่ผ่านไปมาเท่านั้นยังไม่พอ ทุกสิ่งของหอสมุดยังมีเป้าหมายที่พยายามเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดไม้ที่เป็นวัสดุหลักเป็นไม้ปลูกง่ายโตไว ที่นำมาจากแหล่งปลูกเพื่อใช้ไม้โดยเฉพาะ ไม่ได้นำมาจากป่าใหญ่หลังคาติดแผงโซล่าเซลล์ น้ำที่ใช้ก็ได้จากการเก็บกักน้ำฝน ออกแบบให้มีหน้าต่างขนาดใหญ่อากาศถ่ายเทได้ดี จึงทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าอาคารทั่วไปหลายเท่า

เราเร่งฝีเท้ามาจนใกล้สถานีรถไฟ ดูเวลาแล้วมันกระชั้น หากตัดใจรีบกลับไปที่โรงแรมเลย ก็หาข้าวกินไม่ทันอยู่ดีเหลือบไปเห็นตัวช่วยที่ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อิ่มแบบรวดเร็ว คงไม่มีที่ไหนเหมาะเท่า เซเว่นอีเลฟเวนเท่าที่เปรียบเทียบคร่าวๆด้วยสายตากับร้านเซเว่นของไต้หวันเท่าที่ได้เจอถ้าเทียบกับบ้านเราดูมีขนาดเล็กกว่า สินค้าน้อยกว่าส่วนข้อดีคือทุกร้านมักมีห้องน้ำหรือจัดสถานที่ไว้ให้นั่งรับประทานอาหารที่ซื้อจากทางร้านอย่างเป็นสัดส่วนและอาหารพร้อมอุ่น แม้ยังไม่อาจเทียบชั้นกับเซเว่นในญี่ปุ่นได้ แต่กับบ้านเราถือว่ากินขาด

ผมเลือกข้าวหมูทอด เพราะดูภาพบนกล่องแล้วน่ากินสุดๆ เลือกโต๊ะที่นั่งมุมหนึ่งของร้าน แกะฝากล่องออก ตะลึงไปแป๊บ ปนกับความตกใจ เฮ้ยยยยย ไม่เห็นมีข้าว ใจพาลนึกไปว่าเลือกพลาดเป็น 2 ชั้น ข้าวสวยร้อนๆ ที่ตามหาอยู่ชั้นล่างของกล่องนั่นเอง

เรากลับมาถึงโรงแรมแบบทำเวลาดีสุดคือ คือก่อนเวลานัดหมายประมาณ 10 นาที แต่คนที่ทำเวลาดีกว่าคือพี่รถตู้ที่เรานัดไว้ มาจอดรอเรียบร้อยอย่างน่าชื่นชมเราจัดการตัวเองอย่างเร่งด่วน และกระโดดขึ้นรถเพื่อมุ่งสู่เมืองจิ่วเฟิ่น เมืองที่ผมฝันหาตั้งแต่อยู่เมืองไทย และเช่นเคยระหว่างทางออกจากเมืองสู่เมืองด้านนอกของไต้หวันสวยอีกแล้ว ภูเขา ลำธาร อุโมงค์ บ้านเล็ก เมืองน้อยมีให้ชมแบบจุใจ ที่สำคัญอิจฉาป่าไม้ของที่นี่จริงๆนะครับ เพียงนั่งรถจากไทเปไม่เกิน 15 นาที อาณาจักรสีเขียวก็พร้อมเสิร์ฟให้ได้ชมถึงหน้าต่างรถเลย

มาจนถึงการลอดอุโมงค์สุดท้าย คนขับหันมาบอกพวกเราว่าหลุดจากอุโมงนี้พวกเราก็จะได้เจอทะเลแล้วนะ ทุกคนสะดุ้ง กำกล้องในมือกระชับเพื่อความพร้อม รถแล่นฝ่าความมืดในอุโมง จ้องแสงลิบๆ อยู่ไกลๆ ที่ปลายอุโมงค์อย่างความหวัง และแล้วววววว .... ท้องทะเลสีฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลก็มาปรากฎเบื้องหน้าของเรา 

โอยยยยย ตายๆๆๆๆ วิวแบบนี้ กรีดร้องก้องอยู่ในใจกระโดดลงจากรถทันทีที่พี่คนขับรถหาที่จอดเหมาะให้ ฟ้าใสสีเข้ม แดดอุ่นๆ ลมทะเลพัดแรง ผืนหญ้าสีแขียว เนินเขาไล่ชั้นสลับซับซ้อนสุดตามันช่างสวยสดงดงาม ถูกอกได้ใจ เว่อวังอลังการบานตะไท จะหาที่ใดมาเปรียบ ห๊ะ ..อะไรนะ ออๆ เว่อร์ไปละๆ 5555แต่มันสวยจริงๆ ครับ ทุกอย่างลงตัว จนเปรยเบาๆว่า “เหมือนอยู่เมืองนอกเลยอ่ะ”เอิ่มมมม ได้ข่าวว่าที่อยู่ตรงนั้นก็เมืองนอกอยู่นะ แหะ แหะ เออ จริง ...

หันมาอีกด้านเป็นผืนทะเลแปซิฟิกที่สีน้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินเข้ม จำได้ว่ามองทะเลที่ต่างประเทศแล้วสวยจับใจขนาดนี้ครั้งล่าสุดก็ย้อนไปเมื่อหลายปี เมื่อขับรถเลียบทะเลที่เกรทโอเชี่ยนโรดโน่นเลย แถมที่นี่ไม่ได้สวยน้อยกว่าเลยสักนิดจริงๆ

เมื่อเห็นอาการดีใจ และชื่นชมความงามจนออกนอกหน้าของพวกเรา พี่คนขับรถดูกระหยิ่มยิ้มย่อง แฝงด้วยความพอใจ ได้ใจใหญ่พาพวกเราเลาะเขาขึ้นไปจุดชมวิว เพื่อสามารถมองลงมายังทะเลอันสวยงามของพื้นที่แถวนี้ เมื่อไปถึงความรู้สึกแรกเลย คือจะฆ่ากันตายใช่ม้ายยยยยยย 555555

ถ้าสังเกตสีน้ำทะเลจะเห็นว่าเป็นสองสีคือสีน้ำเงิน และสีเหลืองโคลนๆ นั่นเพราะความเป็นมาของเมืองจิ่วเฟิ่นแห่งนี้ที่เคยเป็นแหล่งแร่ทองอันอุดมสมบูรณ์ในอดีต ซึ่งรุ่งเรือง และเกิดอุตสาหกรรมเหมืองทองขึ้นในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามาปกครองไต้หวัน แม้ปัจจุบันจะปิดกิจการไปแล้ว แต่ว่ากันว่าแร่ทองยังคงหลงเหลืออยู่ จากหลักฐานชัดเจนที่น้ำจากบนเขาไหลลงสู่ทะเลเห็นเป็นสองสีนี่แหละครับ หากใครแวะเมืองนี้ จะติดตระกร้าไปร่อนทองระหว่างท่องเที่ยวก็ไม่น่าผิดกติกานะ ส่วนจะเจอไหม อันนี้อีกเรื่องละครับ 5555

จากจุดชมวิวขึ้นเขาต่ออีกหน่อย คราวนี้ถนนคดเคี้ยวมากขึ้นจนน่าจะขับได้ยากหากไม่ชินทางแต่พี่คนขับรถของเราพานักท่องมาแถวนี้จนเชี่ยวชาญ จึงไม่ค่อยมีอะไรน่าห่วง นั่งชิลๆ จนมาถึงน้ำตกที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมืองนี้ นั่นคือ “น้ำตกสีทอง” ความแปลกแตกต่างจากน้ำตกที่อื่นที่เคยเห็นมา คือหินที่ลดหลั่นลงมา แต่สายน้ำไหลผ่าน แทนที่จะมีสีดำ น้ำตาลอย่างหินทั่วไป กลับมีสีเหลืองทองอมน้ำตาลแดง นั่นเป็นผลจากแร่ธาตุจำพวกทองแดงผสมอยู่อย่างเข้มข้น

แม้ขนาดน้ำตกไม่ได้ใหญ่โต แต่ถือว่าเป็นมุมแลนสเคปที่สวยมากทีเดียวทั้งเนินเขาที่ปกคลุมที่หญ้าเตี้ยสีเขียว กับหินสีทอง และสายน้ำที่ไหลลงมาไม่ขาดสายประกอบกับมีการจัดบริเวณเพื่อสามารถเดินชมได้อย่างทั่วถึงและสวยงาม ทำให้กลายเป็นหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองจิ่วเฟิ่น

จากนั้นลัดเลาะเหลี่ยมเขากันต่ออีกหน่อย เพื่อไปชมหมู่บ้าน และตลาดโบราณ ที่ตั้งอยู่ตามไหล่เขาอย่างได้บรรยากาศ แถมจากตัวหมู่บ้านมองออกไปไกล ยังได้พบกับวิวทะเลอันสวยงามอีกด้วย

แต่เพราะวันนี้เรามาตรงกับวันหยุดยาวของชาวไต้หวัน เมืองเล็กๆ ที่เราเฝ้าฝันคงไม่ได้เจอซะแล้ว เริ่มตั้งแต่จำนวนรถด้านหน้าด้านหลังเราที่ติดกันยาวเหยียดกว่าจะขยับได้เล่นเอาลุ้นจนเหนื่อย แต่อดทนรอจนกระทั่งเข้าเขตหมู่บ้าน และได้เวลาเดินออกเที่ยวกันเสียที

ก่อนปากทางเข้าตลาด มีศาลาทรงจีนที่ตั้งเด่นอยู่ริมผาสามารถมองเห็นทิวทัศน์มุมกว้างของเขาทั้งลูก และทะเลที่ตั้งห่างออกไป ยามบ่ายอย่างนี้แดดร้อนแรง แถมเป็นมุมย้อนแสงภาพเลยยังไม่สวยเท่าไหร่ เวลาที่เหมาะสำหรับการมาชมคือยามเย็น เพราะที่นี่ถือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน

หมู่บ้านโบราณจิ่วเฟิ่นแห่งนี้ เดิมเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยทิวเขา และมองเห็นท้องทะเลอยู่ลิบๆ แต่ช่วงปี คศ. 1890 มีการสำรวจพบแร่ทองคำ ญี่ปุ่นที่เป็นผู้ครอบครองไต้หวันขณะนั้น ได้เนรมิตให้ที่นี่เป็นเหมืองทอง โดยใช้แรงงานหลักคือเชลยศึก ซึ่งนำมาซึ่งความมั่งคั่งและคึกคักให้กับเมือง แต่เมื่อแร่ทองคำร่อยหรอ จนบริษัทเอกชนของไต้หวันที่มารับช่วงต่อในช่วงปี ค.ศ. 1987 ต้องประสบภาวะขาดทุนจนต้องปิดกิจการไปในที่สุด แต่ด้วยความที่เมืองตั้งอยู่ในภูมิประเทศอันงดงาม จนเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างของญี่ปุ่น อย่างสตูดิโอจิบลี่ ได้ใช้เป็นฉากหลังของหนังการ์ตูนที่โด่งดังจนคว้ารางวัลออสการ์มาครองในปี 2002 Spirit Away เป็นเรื่องราวของ “ชิฮิโร” สาวน้อยพร้อมครอบครัวหลงเข้าไปในดินแดนลี้ลับ แถมพ่อแม่ถูกสาปให้กลายเป็นหมู ทำให้เธอต้องเรียนรู้และพยายามอย่างสาหัสทั้งที่เป็นเด็กเพื่อแก้คำสาปนั้นให้ได้ ซึ่งทำให้เธอได้เรียนรู้และเข้าใจ รวมทั้งก้าวผ่านความเป็นเด็กขี้เกียจและไร้มารยาทเพื่อเติบโต

แม้เรื่องราวอาจจะไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผู้ชมที่เป็นเด็กสามารถเข้าใจได้ง่าย แต่ผู้ใหญ่หลายคนยังมีหนังเรื่องนี้ประทับอยู่ในใจ เพราะเมื่อดูหนังอย่างครุ่นคิด จะพบว่ามีปรัชญาลุ่มลึกแฝงอยู่ ทั้งเรื่องจิตวิญญาณ ความรับผิดชอบ ความตะกละ ความโลภ ความเสียสละ ความเหงาเดียวดาย และอื่นๆอีกมากมาย จากภาพยนตร์เรื่องนี้นี่เอง ที่เป็นจุดรุ่งเรืองครั้งใหม่ของเมือง ที่นำผู้คน นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายจนถึงปัจจบัน

เราออกเดินเข้าตรอกเล็กๆ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งอาหาร ของใช้ ของที่ระลึกที่อยู่ในบรรยากาศของอาคารโบราณย้อนยุคอันเป็นเสน่ห์หลักของเมืองนี้ ยิ่งโคมแดงที่มีประดับตามรายทางทำให้ยิ่งนึกถึงฉากหนึ่งจาก Spirit Away แจ่มชัด

ก่อนจะเดินกันต่อสะดุดตากับร้านลูกชิ้นปลา ที่โชว์ลูกชิ้นกองโตหน้าร้าน จำนวนคนที่แน่นร้าน และคนที่รอคิวอยู่ เดาได้ไม่ยากว่าร้านนี้อร่อยแน่ ทั้งหมดหันมาพยักหน้าและออกเดินตรงดิ่งเข้าร้าน เพื่อเดินหาที่นั่งว่างในทันที

ทุกโต๊ะสั่งมาคล้ายๆกัน อาจเพราะทางร้านไม่ได้มีเมนูให้เลือกมากมายนัก แต่เน้นเฉพาะจานที่เป็นทีเด็ดของร้านเท่านั้น เราจึงเลียนแบบสั่งตามโต๊ะข้างๆบ้าง จานแรกเป็นวุ้นเส้นในน้ำซุปและลูกชิ้นปลาลูกโตเหนียวนุ่ม แน่นๆ ไปด้วยเนื้อปลากับของกินเล่นมาแบ่งๆ กัน ส่วนใหญ่เน้นที่วัตถุดิบเป็นปลา ร้านแรกอร่อยถูกใจ เป็นการเปิดการเที่ยวเมืองจิ่วเฟิ่นได้เป็นอย่างดี

เดินผ่านชมร้านอาหารอีกมากมายทั้งร้านขายเห็ดย่างหอมฉุย ร้านขายขนม และทีเด็ดของที่นี่คือไอศครีมที่โรยด้วยถั่วลิสงและผักชีห่อมาในแป้ง เป็นหนึ่งในเมนูที่มาจิ่วเฟิ่นแล้วไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เดินตามซอยเล็กๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อชมร้านค้าสองข้างทาง

แต่ยิ่งเดิน อากาศยิ่งร้อน และคนแน่นขนัดเพราะเป็นวันหยุดยาวของชาวไต้หวัน จากนาทีแรกที่ประทับใจในความเป็นเมืองเก่า และมีของให้ได้ชมมากมาย กลับกลายและแปรเปลี่ยนเป็นความหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว เพราะกว่าจะได้เดินแต่ก้าว กว่าจะยกกล้องขึ้นมาถ่ายสักรูปมันดูยากแค้นแสนเข็ญ เมืองในฝันที่จินตนาการไว้เมื่อก่อนมาพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา

ก่อนจะอารมณ์เตลิดและทำลายความสุขของการเดินทาง ปลีกตัวออกมายังซอยเล็กๆ เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และสงบจิตใจ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ต้องเจอ ว่าเรามาผิดเวลาเอง จะร่ำร้องใดๆก็แสนเปล่าประโยชน์สิ่งที่ทำได้คือต้องยอมรับ และบอกตัวเองว่ากว่าการเดินทางไกลแต่ละครั้งจะเกิดขึ้น ต้องแลกมาด้วยเวลา และสิ่งต่างๆ มากมาย อย่าให้ความหงุดหงิดใดๆ มาทำลายความสุขที่เราควรได้รับลงเลย สูดหายใจลึกๆ ยิ้มรับ และออกเดินต่อเคียงข้างผู้คนไต้หวันและนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศ เพื่อค้นหามุมสวย มุมที่จะประทับใจความทรงจำกันต่อดีกว่า

และเมื่อใจปลอดโปร่งขึ้นแล้ว อากาศก็เป็นใจขึ้นมาทันที จากแดดแรงกล้า และความร้อนอบอ้าวบรรเทาลงอย่างประหลาด ลมเย็นและแดดอ่อนสีทองเข้ามาแทนที่ เมืองที่สร้างความหงุดหงิดในใจเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ดูสงบนิ่งลง ความสวยเริ่มฉาบทับทั่วทั้งบริเวณ

และมาหยุดยืนมองมุมที่สวยที่สุดของเมือง นั่นคือส่วนผสมของความเป็นเมืองเก่า ผสานกับทิวเขาสลับซับซ้อน ท้องทะเลกว้างใหญ่ และพระอาทิตย์ยามเย็น

มันสวยจนลืมคนจำนวนมากมายที่เดินขวักไขว่ไปมาอยู่เบื้องหลัง

รู้สึกตัวอีกที นึกได้ว่ามีมุมหนึ่งที่ประทับใจจากภาพถ่ายที่เคยเห็นจนเป็นโจทย์ข้อเดียวที่ร้องขอน้องที่ช่วยทำทริปนี้ ว่าจะไปไหนยังไงก็ได้ขอข้อเดียว ขอเก็บแสงไฟของอาคารโบราณที่ประดับที่โคมสีแดงในบรรยากาศทไวไลท์แต่ปัญหาคือตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมา ยังไม่เจอมุมที่คุ้นตานั้นสักทีเพื่อนร่วมทริปถึงขนาดแวะซื้อโปสการ์ดที่วางขายที่ร้านข้างทาง ที่ทำหน้าที่เหมือนแผนที่ไว้จิ้มชี้และถามผู้คนมาตลอดทางแสงอาทิตย์หรี่แสงเรื่อยๆ เป็นตัวสร้างความกดดันให้ทวีคูณโชคดีที่เพื่อนร่วมทริปบ้าระห่ำไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ออกเดินสลับวิ่งเพื่อตามหาอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นและในที่สุด ....

เราเจอแล้ววววววววว ....และมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซนต์เมื่อมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ตั้งขาตั้งกล้องบ้าง ยกกล้องกดชัตเตอร์รัวๆอีกเพียบ แน่ล่ะนี่มันมุมมหาชนที่ผมตามหาอยู่นั่นเอง

แสงพระอาทิตย์สุดท้ายของวันลาลับไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้ม อาคารโบราณลวดลายงดงาม ประดับด้วยโคมไฟสีแดงเรียงราย ส่องแสงระยับ ถ้าสองสิ่งนี้แยกจากกัน มันก็คงสวยประมาณหนึ่ง แต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันมันช่างลงตัว  ส่วนตัวมองว่าเป็นหนึ่งในมุมเพอร์เฟคของทริปนี้ ยืนซึมซับความงามตรงหน้าอย่างหิวกระหาย และอยากเก็บมันไว้ในความทรงจำให้มากที่สุด ฟินนนน ... น้ำตาจะไหล ... ชอบมากกกกกก

ก่อนกลับเราแวะร้านขายของทุกอย่างที่เกี่ยวกับแมว ที่ตกแต่งร้านแบบสวยมีเอกลักษณ์ทาสแมวทั้งหลายถ้าหลงเข้าไปมีสิทธิ์หาทางออกไม่เจอแน่ๆและเราเลือกที่นี่ปิดท้ายของการเที่ยวจิ่วเฟิ่นในวันนั้นเราเดินลัดเลาะซอกซอยกลับทางเดิมเพื่อไปยังจุดนัดพบที่นัดรถตู้ไว้เพื่อกลับมายังไทเปก่อนจะโบกมือลา “จิ่วเฟิ่น” เมืองที่ให้ความรู้สึกหลากหลาย แตกต่างกันสุดขั้วทั้งต่ำสุดและสูงสุดเป็นความรู้สึกขมๆ หวานๆ และประทับใจ

สำหรับใครจะไปเมืองนี้เพื่อให้ได้อรรถรส และสามารถซึมซับความเป็นเมืองน่ารักของที่นี่อย่างเต็มที่ เมื่อจัดแพลนลองดูวันดีๆ พยายามหลีกเลี่ยงวันหยุด วันเสาร์ อาทิตย์ และโดยเฉพาะวันหยุดยาวเพราะตลอดวันที่เที่ยวของผม ถ้าตัดเรื่องคนมหาศาลจนเป็นอุปสรรคในความชิลแล้ว จิ่วเฟิ่นถือเป็นเมืองที่ครบเครื่องมากที่สุดเมืองหนึ่งเท่าที่เคยเที่ยวมาเมืองเก่า ขุนเขา ท้องทะเล อากาศเย็นสบาย ของขายของกินอร่อยๆ เพียบ ยังต้องการอะไรอีกกกกก ... เนอะๆๆๆ

เรานั่งรถฝ่าความมืดมาถึงไทเปดึกว่าที่ตั้งใจไว้ เพื่อนที่ไปด้วยกันเล็งร้านซูชิจานหมุนที่ชั้นไต้ดินของห้างโซโก้ไว้ เมื่อถึงหน้าร้าน ข่าวดีคือที่นั่งว่างเพียบ ข่าวร้ายคืออีกประมาณ 20 นาทีจะปิดร้าน 55555 ง้างเตรียมกินมาตั้งแต่รถอยู่บนถนนระหว่างทางจิ่วเฟิ่น จะให้ถอยมันก็ยังไงอยู่20 นาที ก็ 20 นาที กลัวที่ไหน ว่าแล้วจัดการหาที่นั่งและลุยซูชิที่หมุนผ่านตรงหน้าและก็ทำเวลาจนท้องอิ่มได้ก่อนเวลาปิดร้านได้อย่างฉิวเฉียด

แต่ภารกิจของเราไม่หมดลงง่ายๆ นั่งรถไฟต่อมายังเซียะเหมินเพื่อหาขนมกินก่อนถึงร้านแวะที่ตึกแดงกันก่อน ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งมรดกตกทอดตั้งแต่ช่วงสมัยญี่ปุ่นปกครองที่นี่ แต่รูปแบบสถาปัตย์ได้รับอิทธิพลความเชื่อของจีนไว้ ด้วยรูปทรงแปดเหลี่ยม เพราะถือว่าเลข 8 เป็นเลขมงคล อีกทั้งยังเป็นคล้ายยันต์ป้องกันภัยจากทั้งแปดทิศอีกด้วย ในตอนเริ่มสร้าง อาคารถูกใช้เป็นจุดบริการชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในใต้หวัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นศูนย์การค้าที่ขายข้าวของเครื่องใช้จากญี่ปุ่น ส่วนในปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ออกร้านและแสดงผลงานศิลปินชาวไต้หวันและในช่วงวันหยุดที่เราไป บริเวณด้านหน้าจึงมีการตั้งแผงขายผลงานทางศิลปะหลากหลายอย่าง รวมทั้งสินค้าอื่นๆ ให้ได้ชมได้ช้อปกันอย่างเพลิน

ออกจากตึกแดง เพื่อไปสู่เป้าหมายหลักคือร้านขนมหวานที่เราตั้งใจข้ามถนนฝั่งนี้ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แสงสี และผู้คนคึกคัก ได้บรรยากาศของความเป็นเมืองใหญ่ของไทเปได้ดีจริงๆ

เดินเข้ามาอีกหน่อย เจอร้านขนมที่เราหมายตาแล้ว หน้าร้านอาจไม่โดดเด่น แต่เมื่อเข้าไปภายในเจอกับผู้คนที่นั่งทานกันเกือบเต็มเรารอขนมที่สั่งไม่นาน ก็มาเสิร์ฟตรงหน้าด้วยหน้าตาสวยงาม แถมอร่อย เย็นสดชื่นใจ ด้วยฤทธิ์ขนมหวาน ถึงกับนอนฝันดี และรอคอยการเที่ยวอีกครึ่งวันสุดท้ายก่อนบินกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น

ตื่นมายามเช้าของวันสุดท้าย มีเวลาเที่ยวอีกไม่มาก จำต้องเลือกสถานที่ใดสถานที่หนึ่งในไต้หวันและเพื่อความเป็นสิริมงคล จึงลงความเห็นว่า ไปไหว้พระที่วัดสำคัญอย่างวัด หลงซาน โดยการนั่งรถใต้ดินสายสีน้ำเงินลงที่สถานี Longshan จากสถานีเดินออกไปอีกนิดก็พบกับประตูวัดและโคมไฟสีเหลืองเด่น และเห็นได้ชัดมาแต่ไกล จึงถือเป็นเป็นอีกสถานที่ที่เดินทางไปได้อย่างสะดวกมาก

โดยวัด Longshan หรือวัดเขามังกรแห่งนี้ ถือเป็นวัดที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไต้หวัน ถูกสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงเพื่ออุทิศให้กับเจ้าแม่กวนอิมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วัดถูกระเบิดจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่ประดิษฐานอยู่ด้านในกลับไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อยปาฎิหาริย์คราวนี้ยิ่งสร้างความศรัทธาให้ชาวเมืองมากขึ้น จนกลายเป็นวัดสำคัญของคนที่นี่

นอกนั้นที่นี่ยังเป็นศูนย์รวมของเทพเจ้าองค์ต่างๆ เกือบ 165 องค์ จนมีคนไต้หวันกล่าวกันว่าที่นี่เป็น God Shopping Mall เพราะมาที่เดียวสามารถอธิษฐานขอได้แทบทุกอย่าง ทั้งเรื่องสุขภาพ การงาน ความรัก และอื่นๆอีกมากมาย

และด้วยความที่เป็นวัดสำคัญทำให้มีผู้ศรัทธาเข้ามากราบไหว้ขอพรแน่นขนัดทุกวัน รวมทั้งวันที่เราไป แต่นอกจากการไหว้พระขอพรแล้ว วัดแห่งนี้ยังมีมุมสวย ที่แสดงถึงศิลปะจีนกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั้งลวดลายที่สลักเสลาตามเสา ตามหลังคา จึงเป็นอีกหนึ่งจุดหมาย ที่เหมาะสำหรับคนที่อยากไหว้พระ รวมทั้งชื่นชมความงามในแง่สถาปัตยกรรมจีนด้วย

แม้ขนาดวัดไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ไหว้พระไป เดินชมไปก็เลยเวลาที่คิดไว้ไปพอควร จึงออกจากวัดเพื่อไปปิดทริปด้วยอาหารกลางวันแถวเซียะเหมินกัน

ระหว่างเดินกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อนร่วมทริปเหลือบไปเห็นร้านเบเกอรี่ที่อยู่ตรงข้ามวัดเลยได้โอกาสแวะไปสำรวจกันหน่อย ในร้านมีขนมให้เลือกมากมายทั้งแบบน่ากิน และแบบน่ารัก เพื่อนซื้อมาเทสแล้วบอกว่าอร่อยๆๆ ถ้าใครไปวัดหลงซานอย่าลืมแวะชิมกันนะครับ

จากวัดมาลงสถานีเซียะเหมินเดินต่ออีกหน่อยก็มาถึงร้านบะหมี่ที่ตั้งใจตัวร้านตั้งอยู่ในซอยเล็กๆแถวที่เราเดินเล่นกันตอนกลางคืนนั่นแหละครับที่นี่จะไม่มีโต๊ะนั่งทาน มีเพียงเก้าอี้ตั้งเรียงรายอยู่หน้าร้านแทนแต่แทบทั้งหมดโดนจับจองไปเรียบร้อย แถมยังมีคนยืนทานกันอีกนับสิบ เราสั่งหมี่ถ้วยกลาง ปรุงรสจากจุดที่วางเครื่องปรุงแถวหน้าร้านรสชาติคล้ายกระเพาะปลา คือน้ำข้นๆ เหนียวๆ หน่อยส่วนเส้นบะหมี่นิ่มมาก แต่ไม่ถึงกับเละจนเส้นขาด กินกับไส้หมูที่ใส่มาในชาม อร่อยไปอีกแบบเหมือนกัน

ส่วนร้านที่อยู่ติดกัน เป็นบะหมี่อีกแบบ แต่จะเป็นหน้าเนื้อ ซึ่งเพื่อนลองซื้อมา ราคาแพงกว่าบะหมี่ไส้หมูอยู่หน่อย แต่เนื้อที่โปะมาอลังการมากกกกกกก 

สุดท้ายจริงๆ ด้วยชานมไข่มุกที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น อร่อยเข้มข้น เนื้อไข่มุกเหนียวนุ่มกำลังดี ตั้งใจก่อนไปว่าจะต้องหาชิมให้ได้ เจอเจ้าอร่อยพอดี ปิดทริปได้อย่างสบายใจละ 5555

จากโรงแรมเราต้องตรงดิ่งไปสนามบินเพื่อให้ทันเวลาจริงๆทางเลือกที่ง่าย และประหยัดที่สุดคือต่อรถไปยังสถานีรถบัส เพื่อขึ้นไปสนามบิน แต่เราเลือกตัดทางเลือกนี้ออก เพราะที่สถานี Daan ที่ใกล้กับโรงแรมของเรา ทางเข้าด้านที่ใกล้ที่สุดไม่มีบันไดเลื่อนซะงั้น หากต้องไปต้องออกแรงยกกระเป๋าเดินลงบันไดไกลพอดู และเรามากันหลายคน เฉลี่ยค่าแท็กซี่ดูเหมือนจะไม่ต่างกันมาก เลยหาร้านจากแถวนั้น นั่งตรงดิ่งไปสนามบินได้อย่างสะดวก

และแล้ววันเวลา 5 วัน 4 คืนในไต้หวันของพวกเราก็จบลงแม้เป็นเวลาเพียงสั้นๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจ

ประทับใจกับไทเป แม้จะเป็นเมืองใหญ่ เต็มไปด้วยตึกสูง บ้านเรือนหนาแน่น แต่ขณะเดียวกันก็มีสวน มีต้นไม้เขียวชอุ่มแทรกตัวอยู่ มีมุมสงบ มุมชิล ที่แสดงออกถึงความเป็นศิลปินของชาวเมือง

ประทับใจกับเมืองฮัวเหลียน อันเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติทาโรโกะ ที่ทำให้เราได้เห็นว่าขุนเขา สายน้ำ และธรรมชาติยิ่งใหญ่ตระการตาเพียงใด

ประทับใจกับเมืองอี้หลาน อันแสนน่ารัก และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของจิมมี่ เหลียวศิลปินนักเขียน นักวาดภาพ ชาวไต้หวันที่มีชื่อเสียงระดับโลก

ประทับใจกับเมืองเป่ยโถว เมืองน้ำแร่ที่ได้บรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นและยังเป็นเมืองที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติเขียวขจี อากาศบริสุทธิ์สดชื่น 

ประทับใจเมืองจิ่วเฟิ่น ที่ผสมผสานลงตัวของบ้านเรือนย้อนยุค ท่ามกลางธรรมชาติทิวเขาท้องทะเลอันสวยงามแถมด้วยของกินอร่อยที่มีให้เลือกชม เลือกชิมอย่างจุใจ

แต่ทั้งหมดเป็นเพียงมุมเล็กๆ ของเกาะไต้หวันแห่งนี้ ยังมีสถานที่อีกมากมาย ที่เราอยากพบเจอ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านเวลาทำให้ไม่อาจทำได้แต่เพียงเท่านี้ก็ทำเอาหลงรักประเทศนี้แบบไม่ทันตั้งตัว หรือเตรียมตัวเตรียมใจอีกทั้งยังมีประสบการณ์ดีๆ ของการเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ได้แต่หวังว่าจะได้กลับไปทักทายไต้หวันอีก ในสักวันหนึ่งแล้วเจอกันอีกนะ ... “ไต้หวัน”  

ขอบคุณข้อมูล จาก Cold river 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook