ชมเสน่ห์เมือง "ลาว" กับวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแบบช้าๆ

ชมเสน่ห์เมือง "ลาว" กับวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแบบช้าๆ

ชมเสน่ห์เมือง "ลาว" กับวิถีชีวิตที่ดำเนินไปแบบช้าๆ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ลาว" ก็เป็นประเทศหนึ่ง ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของใครหลายๆคน ด้วยสาเหตุที่ว่ายังคงมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์และมีวัฒนธรรมที่น่ารัก ก็เลยเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศต้องแวะไปเยี่ยมเยือนกันสักครั้งค่ะ รวมถึงคุณ ศูนย์จุดสามมิล  ที่ลงทุนหิ้วกระเป๋า ทำการแบ๊คแพ๊คครั้งแรกในชีวิต เพื่อที่จะไปท่องเที่ยวเมือง "ลาว" ดินแดนเล็กๆ แห่งนี้ ที่มีผู้คนน่ารัก ธรรมชาติเองก็ยังคงมีความงดงามอยู่มาก วันนี้เราจะขอตามรอยคุณ ศูนย์จุดสามมิล  ไปเที่ยวเลยด้วยกันเลยค่ะ

ปีใหม่….ไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ

ปีใหม่….อยากเที่ยว

ปีใหม่….อยากไปแบ็คแบ็ค

ปีใหม่….อยากลองอะไรใหม่ๆ

ปีใหม่….เที่ยวลาวกันมั้ย?

นี่คือสิ่งที่อยากทำ ว่าแต่ลาวเป็นยังไง? ก่อนไปต้องเตรียมอะไรไปบ้างล่ะ? แล้วค้าใช้จ่ายล่ะ? วีซ่าต้องทำมั้ย? พาสปอร์ตมียัง? และนี่คือการออกเดินทางแบบ “แบ็คแพ็ค” ครั้งแรกในชีวิต ที่คิดอย่างเดียวว่า “ถ้าวันนี้ไม่เริ่ม แล้วจะเริ่มวันไหน”

แผนมีอยู่ว่า นั่งรถไปลงอุดรธานีต่อรถอุดรธานี – นครหลวงเวียงจันทน์ ไปท่ารถสายเหนือของเวียงจันทน์นั่งรถไปลงวังเวียงเที่ยววังเวียงแล้วไปหลวงพระบาง มีแผนแต่ลืมทำตารางเวลา ทุกอย่างรวนไปหมด จึงต้องปรับแผนตามสถานการณ์หรือพูดง่ายๆคือไม่มีแผนนั่นเอง

เข้ามาพูดคุยกันได้ที่

https://www.facebook.com/0.3milbackpacker

….หลังจากที่เหนื่อยจากการเดินทาง ในที่สุดก็ถึงสถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานี ในเวลา 12.00 น. รถที่จะไปนครหลวงเวียงจันทน์ออกเวลา 14.00 น. ค่ารถ 80 บาท …..รอ รอ รอ จนถึงเวลาที่รถจะออก ก็ขึ้นไปนั่ง เป็นรถมาตรฐาน ขสมก. เบาะฝั่งละ 2 ที่นั่ง เราได้นั่งรถออกมาเรื่อยๆ หลับบ้างตื่นบ้าง ตาประสา แล้วก็ถึง ตม.ไทย ก็เขียนใบผ่านแดน เข้า ตม.ลาว ตรงนี้จะวุ่นวายหน่อย เพราะเป็นระบบที่ต้องเติมเงินใส่บัตร แล้วก็ผ่านส่วนนั้นมาได้

….เข้าแผ่นดินลาวแล้ว ตื่นเต้นมากๆ มองซ้าย มองขวา เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เหลือบไปเห็น บริษัทผลิตเบียร์ลาว ใหญ่มาก พอถึงสถานีที่ต้องลง คือสถานีตลาดเช้า พอลงรถจะมีมวลมหาประชาชนรถรับจ้างจะมาลุมล้อมเราประหนึ่งซุปตาร์ ผมไม่รอช้ารีบฝ่าฝูงชนไปหยิบกระเป๋าสีขาวลวดลายการ์ตูนน่ารักที่แอบเอาของน้องสาวมาโดยไม่ได้บอก หลังจากหยิบกระเป๋าได้ปากก็เริ่มทำงานด้วยสกิลภาษาอีสานสำเนียงไทบ้าน “อ้ายๆ ผมสิไปวังเวียง ไปจั๊งได๋น้อ”ทันทีที่เว่า ( แปลว่า พูด ) ออกไป อ้ายก็ชี้ไปทางรถมินิบัสสีเขียวที่จอดเรียงกัน จนลายตา ผมก็ได้ขึ้นมานั่งอย่างสบายใจ แล้วรอเวลาที่รถจะออก ไม่นานนัก กระเป๋ารถเมลล์ก็มาเก็บค่ารถ ตายล่ะหว่า! ลืมแลกตัง กระเป๋าบอก “บ่เป็นหยั๋ง เงินบาทก็ได้” ค่าโดยสาร 25 บาท ถนนในเวียงจันทน์รถก็ติดใช่ย่อย กว่าจะไปถึงสายเหนือก็ 18.00 น. เข้าไปแล้ว ที่ตรงนี้แหละที่ทำให้แผนสลายไปต่อหน้าต่อตาของผู้ชายตัวเล็กๆหุ่นบางๆ งั้นไปหลวงพระบางก็ได้ ขณะต่อแถวรอซื๋อตั๋ว ก็ได้ยินภาษาที่คุ้นหูแว่วเข้ามาผมเลยเข้าไปคุยด้วย ได้ความว่าปลายทางเดียวกัน ผมตัดสินใจนั่งรถนอนจากเวียงจันทน์ ไป หลวงพระบาง ในราคา 620 บาท รถออก 20.00 น. ถึงประมาณ 06.00 น. ประยัดค่าโรงแรมไปได้ 1 คืน

….06.00 ถึงหลวงพระบางอย่างทุลักทุเล เมื่อคืนนอนอย่างไม่สบายในรถที่ขับโค้งไปโค้งมาตามลักษณะภูมิประเทศ พอลงจากรถถึงกับเดินเซกันเลยทีเดียว

….เมื่อลงจากรถ ก็รีบไปคว้ากระเป๋าเดินทาง แล้วตามหารถที่จะพาเราไปยังในเมืองต่อ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากท่ารถมากนัก ก่อนขึ้นรถควรตกลงราคาก่อน ผมโชคดีเจอพี่ที่ใจดีมากๆ จึงพาหาโรงแรมทั่วเมืองเลย ซึ่งวันนั้น โรงแรมเต็มเกือบทุกแห่ง แต่โรงแรมที่ผมหาได้ในตอนนั้น ราคาค่อนข้างสูง บวกกับความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาตลอดทั้งคืน จึงตัดสินใจพักที่นี่ละกัน ราคา 35 USD ถึงกับลมจับเลย ได้แต่ปลอบตัวเองว่าไม่เป็นรัยนะ

….เมื่ออาบน้ำชำระล้างตัวเสร็จก็ออกมาสำรวจเมืองมรดกโลก สิ่งแรกที่เห็นตอนออกมาจากที่พัก Backpacker hostel ทำไมเมื่อเช้ามองไม่เห็นฟระ จบ เลิกคิด ทำใจ แล้วก็เดินจากไป ไปหาข้าวเช้ากินดีกว่า อาหารมื้อนี้คือแซนวิชในราคา 15,000 กีบหรือ 60 บาท ถือว่าแพง แต่อร่อยและอิ่มสุดๆ

…กินอิ่มหนำสำราญแล้ว ความบ้าที่ชอบเดินไปเรื่อยๆก็เข้าสิง เริ่มออกเดินเรื่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ จนถึงพระราชวังหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ในปัจจุบัน เมื่อเดินเข้าไปจะถึงตัวพิพิธภัณฑ์แล้ว อีกแค่ก้าวเดียว ก็มีผู้ดูแลมาถามว่า “มีตั๋วรึยัง” ผมได้แต่คิดในใจ ทำไมไม่รู้มาก่อนวะว่าต้องซื้อตั๋ว มองกลับไปก็ไกลโขอยู่ ไม่เข้าก็ได้วะ ถ่ายรูปเล่นกับบรรยากาศเย็นๆในฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยหมอกแทนก็ได้ ชิวๆชิคกี้ชิค ไป

….ฝั่งตรงข้ามจะมีทางขึ้นไปพระธาตุพูสี แนะนำให้ไปช่วงเย็นๆ เพราะพระอาทิตย์จะสวยมาก ราคาค่าขึ้น 20,000 กีบ แต่วันนั้นผมไม่ได้ศึกษามาก่อน ขึ้นไปตอน 8 โมง เห็นแต่หมอก เป็นเรื่องที่พลาดครั้งที่สอง

….หลังจากที่พลาดชมเมืองมุมสูง ผมก็เดินไปในเมืองเรื่อยๆ ชมเมืองมรดกโลกไปเรื่อยเปื่อย ก่อนกลับที่พัก ก็ได้เข้าไปถาม Information ของหลวงพระบาง พี่ที่นี่แนะนำดีมาก ผมมีเวลาที่หลวงพระบางแค่ 1 คืนเท่านั้น จึงไปถามพี่ที่คอยบริการรถเช่า ผมตัดสินใจที่จะไปน้ำตกตาดกวางสี ถ้าไปคนเดียวจะแพงมาก พี่เขาก็บอกให้ผมรอสัก 11 โมง แล้วรวมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นเอา ผมจึงตกลง แล้วไปเดินในเมืองต่อ

….แล้วสิ่งเลวร้ายก็เข้ามาเยือนอีกรอบ เมื่อผมหลงทาง และจำชื่อโรงแรมไม่ได้ เอางี้ละกัน เดินแม่มทุกซอยเลย มันต้องเจอสิวะ แต่ก็ต้องขอบคุณที่วันนั้นผมหลงทาง ผมเจอคนไทยที่เคยเจอกันที่เวียงจันทน์ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หน้ารักมากๆ (หยุดม่อเถอะนะ) ผมก็แค่ทักทายไป แล้วทำภารกิจตามหาโรงแรมต่อ

….ถึงเวลาที่นัดกับพี่รถบริการท่องเที่ยว ก็เดินไปที่ที่เรานัดกันเอาไว้ ซึ่งไม่ไกลจากที่พักผมมากนัก มีนักเที่ยวทั้งหมด 10 กว่าคน เส้นทางที่จะไปน้ำตกค่อนข้างคดเคี้ยว และเขาสูงสลับกันไป พอถึงน้ำตกเราก็นัดกันว่า อีก 3 ชั่วโมงมาเจอกันที่จอดรถตรงนี้ เอาล่ะ ไปตะลุยน้ำตกกัน

….ค่าเข้า ถ้าผมจำไม่ผิด ราคา 5,000 กีบ พอเดินไปจะพบกับกรงหมี ฝรั่งก็พากันมุงดู ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไม่เคยเห็นหรือบ้านเขาไม่มี พอดูหนำใจก็เดินต่อ สิ่งที่ได้เจอรู้สึกประทับใจมากๆ น้ำใสสีฟ้า กับพงไพรสีเขียว เข้ากันจริงๆ

ผมก็เดินไปเรื่อยๆ พบกับจุดกระโดดน้ำ แต่ตอนนั้นหนาวมาก ผมจึงตัดสินใจไม่เล่น เอาแค่ขาจุ่มน้ำก็พอแล้ว ไม่ไกลกันเท่าไรก็จะเจอกับน้ำตกที่สูงชัน มีเส้นทางที่จะไปจุดยอดของน้ำตกด้วย แต่คนไม่ค่อยไปกัน ถ้าไปคนเดียว แล้วผู้ชายตัวเล็กๆอย่างผมลื่นตกเขาขึ้นมาคงไม่มีใครเห็น จึงรอเผื่อมีคนขึ้นไป แล้วความฝันก็เป็นจริง มีคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไป ผมไม่รอช้า เดินตามขึ้นไป เหนื่อยมากๆ ทักคนผิดอีกด้วย คิดว่าเขาเป็นคนไทย หน้าแตกดังเพร้งรัวๆ พอถึงจุดยอด หายเหนื่อยเลย วิวสวยมากๆ น้ำก็ใสกว่าข้างล่างด้วย ผมนั่งชมบรรยากาศอยู่นาน ก่อนจะลงมา แล้วก็หาอะไรกินที่แสนจะแพงในที่แห่งนั้น แล้วกลับเข้าเมือง

….ถึงตัวเมืองจ่ายเงินค่ารถเป็นเงินบาทในราคาที่เราตกลงกันไว้ คือ 200 บาท แล้วก็กลับที่พัก อัพโซเชียวอวดเพื่อนนิดนึง ก่อนจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า จน 16.30 น. ก็ตื่นแล้วก็ไม่ลืมที่จะไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตก และเดินช็อปปิ้งที่ตลาดมืด ผมเดินไปเก็บภาพพระอาทิตย์ตกที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วก็ต่อด้วยการไปเดินตลาดมืด ได้บรรยากาศถนนคนเดินมากๆ เพราะปิดถนนทั้งสายเพื่อให้คนเดิน เดินได้สักพักเริ่มหิว ไปกินบุฟเฟ่ดีกว่า เป็นบุฟเฟ่ราคา 15,000 กีบ มีของให้เลือกมากมาย แต่รสชาติช่างจืดชืดซะเหลือเกิน พอกินอิ่มถึงได้รู้ว่าไก่ย่างก็รวมในบุฟเฟ่ด้วย พลาดครั้งที่ 3 เพราะปากไม่ทำงานอีกแล้ว

….กลับที่พัก พรุ่งนี้เช้าต้องมาตักบาตรที่มีพระสงฆ์กว่า 300 รูป เวลา 05.00 น. ของอีกวันผมก็รีบมาทำบุญตักบาตร ทางที่ดีให้ซื้อข้าวเหนียวที่อยู่ใกล้ที่สุดดีกว่านะครับ เพราะ ถ้าไปซื้อใกล้ๆ จะวุ่นวายมาก เป็นประสบการณ์ที่ไม่ต่างกับตักบาตรทั่วไปของคนอีสาน แต่ที่นี่จะมีพระมากกว่า พอทำบุญจนจิตแจ่มใสก็พร้อมจะไปลุยต่อในตลาดเช้าของหลวงพระบาง มีของแปลกที่ไม่เคยเห็นอยู่มากมาย และที่นี่ ผัก ปลา ใหญ่มาก และสดมาก น้ำลายเริ่มไหล ไปหาอะไรใส่ปากดีกว่า จบที่ข้าวต้มที่มีเครื่องปรุงแปลกๆ แต่อร่อยดี

….กลับที่พัก เพื่อที่จะเช็คเอ้าท์แล้วเดินทางต่อไปยังที่หมายถัดไปนั่นคือ วังเวียง ผมเลือกที่จะเดินทางโดยรถตู้ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่า

ไปวังเวียง….ไปไงดี

….เมื่อออกจากหลวงพระบาง ตัวเลือกที่จะพาผมไปยังเมืองวังเวียงมีด้วยกัน 2 ตัวเลือก คือรถบัส กับ รถตู้ ผมจึงหอบสังขารบางๆไปท่ารถบัสของหลวงพระบาง แล้วก็ผิดหวังเมื่อรถเที่ยวที่ผมต้องการเกิดเต็ม เด็กผู้ชายตัวเล็กๆน่าสงสารคนนี้ ไม่รู้ว่าตัวเลือกที่ 2 ของเราอยู่ที่ไหน ได้แต่นั่งลงแล้วมองไปข้างหน้า เหมือนสวรรค์ทรงโปรด ผมเห็นท่ารถตู้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่ารถบัส

….ควักเงินซื้อตั๋ว ด้วยราคาประมาณ 60,000 กีบ (ลืมซะละ) แล้วนั่งรอรถออก ก่อนรถจะออกผมมองเห็นฝรั่งกลุ่มใหญ่กำลังเดินมา คาดว่าจะเป็นเพื่อนร่วมทางกับเรา แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อรถสตาร์ทเครื่อง เพื่อนร่วมทางก็กระโดดขึ้นรถไม่รอรี เอ้า!!! รถเต็ม ไม่เป็นรัย นั่งข้างหน้าก็ได้ ถือว่าเป็นที่นั่ง พาโนราม่าคลาส

….ระหว่างทาง ผมรู้สึกว่าแค่นั่งรถก็คุ้มแล้ว มองเห็นขุนเขาที่สลับซับซ้อน สวยจนลืมหยิบกล้อง ใครที่จะเดินทางเส้นทางนี้ เลือกเดินทางตอนกลางวันแล้วท่านจะไม่ผิดหวัง จนในที่สุดเทือกเขาสูงก็ค่อยๆหายไป เหลือไว้เพียงฉากหลังของเมืองวังเวียง

….ถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย ในเวลาบ่ายแก่ๆ ผมต่อรถตุ๊กๆจากท่ารถเพื่อเข้าเมืองในราคา 20,000 กีบ พร้อมกับเพื่อนร่วมชะตากรรม คือ กลุ่มฝรั่งที่นั่งรถมาพร้อมกับเรา เมื่อถึงตัวเมือง ภารกิจแรกที่ต้องทำเห็นจะไม่พ้นการหาโรงแรม ในตอนนั้นผมหาได้ในราคา 500 บาท/คืน เมื่อเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เดินทางมาเหนื่อย ข้าวก็ยังไม่กิน งั้นไปนั่งจิบยอดข้าวซะเลยดีกว่า

….ถึงยอดข้าวจะทำให้แสบท้อง แต่เราก็สุขใจ ภารกิจถัดไปคือสำรวจเมืองวังเวียง ผมเดินไปเช่าจักรยาน ปกติ 15,000 กีบ แต่เจ้าของเห็นว่าค่ำแล้วจึงลดให้เหลือเพียง 10,000 กีบ ขอขอบพระคุณครับ แล้วก็ไปของทัวร์ ทริปลองห่วงยางเข้าถ้ำ อาหารเที่ยง แล้วก็คายัค ในราคา 15 USD คิดแล้วตื่นเต้นมากๆ

….พอตกเย็นๆ ผมก็เอารถมาคืน พร้อมกับเดินต่อ เดินในวังเวียงก็เหมือนเดินในไทย คือคนไทยเยอะมากๆ ผมได้พบกับเพื่อนชาวไทย ไม่ทันรัยก็ชวนกันไปนั่งบาร์ ผมไม่รอช้ารีบตอบตกลง ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ จะชวนเพื่อนคนไทย เป็นผู้หญิงน่ารักๆ ที่รู้จักระหว่างทางไปด้วย ระหว่างรอเวลาเรานั่งกินเบอร์เกอร์ และแพนเค้ก(โรตี) อย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะไปบาร์

….หลังจากดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของสายลมเย็นๆในฤดูหนาว เสียงเพลงจังหวะโจ๊ะๆ และความมันส์ยังตรึงตาตรึงใจไว้ไม่มีวันลืม ความสนุกแบบปาร์ตี้ฝรั่ง และที่สำคัญที่สุด วันนั้นเหล้าฟรี สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม ผมน่ะหรอ ชิวยาวเลยสิครับ กลับถึงห้องก็สลบคาเตียง จนลืมไปว่าพรุ่งนี้จองทัวร์ไว้ 9 โมง

….ตื่นขึ้นมาเหตุการณ์ปกติ รีบดูนาฬิกา ยังเหลือเวลาก่อนจะเริ่มทัวร์ พอถึงบริษัททัวร์ เอ๊!!! เป็นคนไทยตัวบางๆคนเดียว เมื่อถึงเวลารถก็ออกพร้อมกับบอกว่าผมจะไปลอดถ้ำน้ำกัน รถเริ่มวิ่งออกไปช้าๆ พร้อมกับลมเย็นๆในตอนเช้า ผ่านไปไม่นานนัก รถก็หยุดพร้อมกับอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ฟัง พวกเราเดินลัดทุ่งนา เพื่อไปถ่ำ เป็นถ้ำที่น้ำเย็นมากๆ น้ำไสสีฟ้าอมเขียม ไหลออกมาจากถ้ำ เราต้องนั่งบนห่วงยางแล้วสาวเชือกทวนน้ำเพื่อเข้าถ้ำ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก บรรยายไม่ถูก ต้องลองไปสัมผัสเอง

….ออกจากการล่องห่วงยางแล้ว เราจะไปพายคายัคกัน แต่จุดสตาร์ทอยู่อีกที่ พอถึงที่แล้ว พี่ไกด์ก็อธิบายอย่างเสร็จสัพ ผมได้คู่พายเป็นพี่ไกด์อีกคนที่คุยกับผมสนุกมาก ก่อนเริ่มจริงจัง พวกเรานั่งพักทานอาหารกลางวันกันก่อน เป็นบาร์บีคิวที่ย่างกันสดๆตรงนั้น อร่อยมาก เพราะหิวรึปล่าวก็ไม่รู้ พอกินอิ่มพวกเราก็ออกเรือ ด้วยความที่ผมพายครั้งแรก เจอกับแก่งหินที่น้ำซองไหลเชื่ยวมาก ทำให้เรือพลิกคว่ำ น้ำก็เย็น พี่ไกด์จึกปลอบด้วยคำว่า “มาฮอดน้ำซอง ไม่เล่นน้ำซองก็มาบ่ถึงวังเวียง” ผมได้แต่ยิ้มเพราะมันสนุกดี อยากคว่ำอีก ^^ ระหว่างทางที่พาย ก็แวะจิบเบียร์เย็นๆที่บาร์ ริมน้ำ ผิงไฟอุ่นๆ พอจิบเบียร์จนกรุ่มกริ่มแล้ว เราก็ออกเรือกันต่อ

….เรื่องระทึกขวัญ!!! ขณะที่เรือผมกำลังแล่นไปเรื่อยๆ พี่ไกด์ก็ชี้ให้ผมเห็นงูกำลังว่ายข้ามน้ำ เป็นงูสิงค์ ที่พิษร้ายแรงถึงตายได้ แต่เหตุไม่คาดฝันงูตัวนั้นตรงมาที่เรือผม เหมือนจะขอพักเพราะเหนื่อย ทันใดนั้นพี่ไกด์ไม่รอช้ารีบจับหัวงูแล้วพาดลงเรืออย่างแรงจนงูตายคามือ ผมน่ะหรอ ผมก็กลัวเล็กๆ ด้วยความที่ผมเป็นคนบ้านนอก ผมจึงไม่ค่อยกลัวสัตว์อะไรพวกนี้มากมาย แต่ก็กลัวนิดๆ ตกใจหมดเลย

….กิจกรรมเสร็จ คนไม่ไหว ทั้งเหนื่อย ทั้งมึน สลบยันเช้า ตอนเช้าๆอากาศดีๆ ออกมาจองรถเพื่อกลับเวียงจันทน์ ในราคา 60,000 กีบ รถจะมารับที่หน้าโรงแรม ชีวิตเริ่มดีขึ้นมานิดนึง จองเสร็จก็ออกไปที่สพาน ไปรับลมเย็นๆ ก่อนจะกลับมาที่พัก เก็บของ แล้วนั่งรอรถ

….ในรถที่มารับ ไม่มีคนไทยอีกแล้ว แต่ผมมองเห็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง หน้าตาเอเชีย ก็อุ่นใจขึ้นมาอีกนิดนึง พอถึงท่ารถ ผมก็งงๆจะไปขึ้นตั๋วที่ไหน จึงเดินไปถามผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆคนนั้น เธอคนนั้นเลยให้ไปถามพี่ที่ขายตั๋วที่กำลังยุ่งเอามากๆ ไม่นานผมก็ไปนั่งบนรถ พร้อมกับโบกมือลาสาวเอเชียผมดำคนนั้น นั่งคนเดียวได้ไม่นาน เหมือนสวรรค์ทรงโปรด จึงส่งสาวเอเชียเชื้อสายไทยมานั่งข้างๆผม แล้วเราก็คุยกันสนุกมาก เธอบอกเธอมาคนเดียวเหมือนกัน เป็นการเดินทางที่สนุก คิดอะไรทำเลย ไม่ต้องรอใคร

….ถึงเวียงจันทน์ เราโบยมือลากันด้วยความเศร้าที่ต้องจากกัน ภารกิจของผมวันนี้ ผมต้องปั่นจักรยานให้ทั่วเวียงจันทน์ ผมไปหาที่พักในราคาคืนละ 180 บาท/คืน โดยประมาณ พร้อมกับเช่าจักรยานในราคา 15,000 กีบ พร้อมแผนที่ที่งงเอามากๆ ผมปั่นไปดูจนครบทุกจุดที่เป็นไฮด์ไลท์ แล้วก็ปั่นไปรอบๆเมืองต่อ ทั้งในเมือง และริมโขง มองเห็นอำเภอศรีเชียงใหม่ด้วย เพราะอยู่อีกฝั่งของเวียงจันทน์

….เวลาประมาณ 8.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ผมเดินไปตลาดเช้า เพื่อกลับอุดร และต่อเครื่องเข้ากรุงเทพ

….ขอบคุณ…..ความคิดชั่ววูบที่ทำให้ผมได้กล้าที่จะออกมา

….ขอบคุณ…..น้ำใจของเพื่อนคนไทยในต่างแดน

….ขอบคุณ…..ความใจดีของชาวลาว

….ขอบคุณ…..ทุกอย่างที่ทำให้ผมสนุก

……….ปลายทางสำคัญพอๆกับ ระหว่างทาง……….

………หลงทาง คือ เสน่ห์ของการท่องเที่ยว……….

……….สรุปค่าใช้จ่าย……….

ค่ารถ กทม. – อุดร 665 บาท

ค่ารถ อุดร – เวียงจันทน์ 80 บาท

ค่ารถไปสายเหนือ 25 บาท

ค่ารถนอนไปหลวงพระบาง 620 บาท

ค่ารถหาโรงแรม 180 บาท

ค่าที่พักคืนแรก 1220 บาท

ค่าขึ้นพระธาตุพูสี 80 บาท

ค่ารถไปน้ำตก 200 บาท

ค่ารถไปวังเวียง 240 บาท

เข้าเมืองวังเวียง 80 บาท

ค่าที่พัก 2 คืน 1000 บาท

เช่าจักรยาน 40 บาท

ทัวร์คายัค 480 บาท

ไปเวียงจันทน์ 240 บาท

ที่พักเวียงจันทน์ 180 บาท

เช่าจักรยาน 60 บาท

ค่ารถกลับอุดร 80 บาท

รถสกายแลปไปสนามบิน 120 บาท

ค่าเครื่อง 985 บาท

……….รวม 6255 บาท………….

ไม่รวมค่ากินนะครับ ลืมว่ากินอะไรบ้าง ประมาณที่ 2000 บาท

…………รวม 8255 บาท………….

จะราคาถูกกว่านี้ถ้านอนที่ backpacker hostel เซฟไป 1500 บาท

ไม่กินเบียร์เซฟไป 300 บาท

จองเครื่องยาวๆ เซฟไป 300 บาท

………สรุป 8255 – 2100 = 6155 บาท………….

ขอบคุณที่ติดตามครับ

ขอขอบคุณข้อมูล จาก ศูนย์จุดสามมิล 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook