Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (2)

Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (2)

Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (2)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครั้งที่แล้วคุณ cold river จากห้องบลูแพลนเน็ต เว็บไซต์พันทิป ดอทคอมพาเราไปเที่ยวทั่วชุมพรกันมาแล้ว ครั้งนี้เป็นทริปต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว แต่เป็นตอน 2 ของการเดินทางที่แสนจะละเลียด ละเอียด ทุกซอกทุกมุม ตามเขาไปเที่ยวต่อกันดีกว่าค่ะ

ยามรุ่งเช้าของวันต่อมา เราต้องโบกมือลาจังหวัดชุมพรเพื่อเดินทางต่อไปยังระนอง
จังหวัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในสภาพภูมิศาสตร์ที่ดี มีทั้งแม่น้ำ ภูเขา ทะเล น้ำตก น้ำแร่ ครบเครื่อง
มีอากาศเย็นสบาย มีความเป็นเมืองเงียบสงบแต่น่ารัก และด้วยพื้นที่ด้านตะวันตกติดกับประเทศพม่า
ผู้คนชาวพม่าจึงข้ามฝั่งมาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้หลายๆ วัฒนธรรมซึมเข้ามา
ยิ่งเติมเสน่ห์ของเมืองนี้มากขึ้นไปอีก

ถนนระหว่างชุมพรสู่ระนองผ่านป่าเขาเขียวชุ่มตลอดทาง
จากถนนมืดมิดค่อยๆ สว่างขึ้นมาพร้อมกับสายหมอกอ่อนระเรี่ยพื้นดิน
จากที่คิดตอนขึ้นรถว่าคงหลับระหว่างทาง กลายเป็นสะดุ้งตื่นตาตื่นใจกับภาพภายนอกระหว่างทาง
โชคดีที่ไม่ได้ขับรถมาเอง ไม่งั้นเช้านี้ไม่ไปถึงไหนแน่ เพราะคงมัวแต่จอดรถริมทาง
ชื่นชมกับความงามธรรมชาติสองข้างทางอยู่นานสองนานแน่ๆ

เวลาผ่านไปจนรถมาจอดนิ่งท่ามกลางครึ้มไม่ใหญ่
เมื่อเปิดประตูลงจากรถสิ่งแรกที่มากระทบหูเลยคือเสียงน้ำของสายน้ำตกอยู่ใกล้ๆ
เดินจากจุดจอดรถไม่กี่ก้าวก็ได้เห็นความสวยของน้ำตกงามมีศรี
แม้จะเป็นน้ำตกขนาดเล็ก และไม่ใช่หน้าน้ำมากมายนัก
แต่ความสวยของที่นี่ก็มีไม่น้อย ยิ่งรวมกับความชื้นเย็นของป่า
ความเงียบสงบของธรรมชาติ ที่มีเสียงน้ำไหลคละเคล้ากับเสียงนกร้องไกลๆ
จึงถือเป็นการชมน้ำตกที่รื่นรมย์ที่สุดครั้งของผมนั่นเลย

พวกเราใช้เวลาการเดินเล่นที่น้ำตกไม่นาน ก่อนจะกระโดดขึ้นรถไต่ความสูงขึ้นไปอีกหน่อย
แต่ทางขรุขระต่างจากเส้นลาดยางที่มาจากชุมพรเมื่อก่อนหน้า
หัวโยกหัวโคลนเพียงอึดใจเรามาถึงหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายของเราสำหรับเช้านี้แล้ว
ที่นี่คือ บ้านในกรัง อ.กระบุรี ที่ถือเป็นแหล่งปลูกกาแฟของเมืองชุมพร
ความน่าใจมากขึ้นเมื่อได้ทราบว่าประชากรที่นี่ส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากชาวเขา
ที่อพยพลงมาเมื่อหลายสิบปีก่อน

แอบแปลกใจที่ทราบว่าภาคใต้มีชาวเขาด้วยแฮะ
จนมาเฉลยที่สาวๆ และเด็กน้อยน่ารักมาต้อนรับด้วยชุดชาวเขาสีสันสดใสคุ้นตา
ชุดนี้คนส่วนใหญ่รวมทั้งผมคงทราบว่าเป็นชนเผ่าเย้านั่นเอง
ซึ่งก็ไม่ผิดเพียงแต่คนที่นี่เค้าเรียกตัวเองว่า ชาวอิ๋วเหมี่ยน
ซึ่งแปลออกมามาแปลว่ามนุษย์นั่นเอง
(ออกเสียงยังละม้ายกับคำว่า Human เป็นความบังเอิญที่ลงตัวดีนะครับ)

ที่นี่ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกกาแฟ วันนี้จึงโชว์ฝีมือนำกาแฟผลิตผลของพวกเขา
มาคั่วบด และชงเป็นกาแฟให้เราได้สูดกลิ่นและลิ้มชิมรส
แถมท้ายยังตั้งกระทะทอดปาท่องโก๋กันข้างๆ นั่นเลย
ทั้งกาแฟรสชาติดี ทั้งปาท่องโก๋ร้อนๆ จากเตา
อาหารเช้ามื้อนี้พิเศษจริงๆ

การทัวร์กาแฟของเรายังไม่จบ เพราะจากบ้านในกรังตรงวิ่งตามถนนเส้นเข้าสู่เมืองระนอง
เราจะแวะกันที่ก้องวัลเลย์ อันเป็นรีสอร์ท ที่ปลูกกาแฟ ร้านกาแฟ
และที่ที่ให้เราลองได้คั่วกาแฟดื่มเองอยู่ในที่เดียวกันอีกด้วย
แต่ระหว่างทางผ่านบ้านทับหลี ชื่อคุ้นหูเพราะความโด่งดังระดับประเทศของซาลาเปา
ที่มีจุดเด่นที่ขนาดเล็กกะทัดรัดที่มีแป้งเหนียวนุ่ม ไส้หมูสับคลุกเคล้าเครื่องเทศสอดไส้ไข่นกกระทา
มาถึงที่เราไม่พลาดจะแวะชิมถึงถิ่นละครับ

ในที่สุดเราก็มาถึง ก้องวัลเลย์ ที่ที่เป็นทั้งรีสอร์ท เป็นแหล่งปลูกกาแฟ เป็นคอฟฟี่ชอป
เป็นแหล่งการเรียนรู้ และให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ลองฝีมือคั่วกาแฟเอง บดเอง ชิมเอง
ได้ทั้งความอร่อย สนุก และเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาได้ยากจากที่อื่น

โดยเริ่มต้นจากคุณสุพจน์ กรประสิทธิ์วัฒน์ หรือคุณก้องเจ้าของที่นี่
จุดประกายความคิดจากการที่เห็นชาวบ้านแถบนี้ปลูกกาแฟแต่กลับซื้อกาแฟ 3in1 ในท้องตลาดมากิน
โดยแต่ละซองราคาแพงเมื่อเทียบกับปริมาณกาแฟ
ในขณะที่ชาวบ้านอยู่ในไร่กาแฟ ใกล้ของดีกลับมองข้ามไป
จึงลงมือศึกษาลองผิดลองถูกกับการปลูก การเก็บ การบ่ม การคั่ว และขั้นตอนต่างๆ
จนกลายเป็นกรรมวิธีที่ลงตัว จึงส่งเสริมชาวสวนใน อ.กระบุรี จนมีการตื่นตัว
และรวมตัวเป็นกลุ่มวิสหกิจชุมชนแปรรูปผลิตภัณฑ์กาแฟคั่วมืออย่างในปัจจุบัน

ได้นั่งดูคุณก้องเล่าเรื่องราวต่างๆ ของกาแฟด้วยท่าทางกระตือรือล้นกันสนุกสนาน
จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้จะได้เวลาที่เราจองตั๋วเพื่อข้ามไปเที่ยวเกาะพยามกันแล้ว
มื้อเที่ยงจึงจัดการแบบเร่งด่วนที่ร้านอาหารภายในก้องวัลเลย์นี่แหละครับ
แม้จะเป็นส้มตำข้าวเหนียวง่ายๆ แต่วิวที่ระเบียงร้านกาแฟ
มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารได้ดีเลย

จากนั้นเรารีบเดินทางต่อกันอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันกับสปีดโบทเพื่อเดินทางสู่เกาะพยาม
ชื่อช่างเหมาะกับความพยายามสุดความสามารถของเราในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง 5555
“เกาะพยาม” เป็นเกาะขนาดใหญ่ 1 ในสองเกาะของจังหวัดระนอง
มีพื้นที่ประมาณ 35 ตารางกิโลเมตร หากนั่งเรือจากฝั่งใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง
นั่นเป็นเหตุให้เราเลือกเดินทางด้วยสปีดโบทเพราะย่นเวลาเหลือเพียง 40 นาที ในราคาที่แพงกว่ามากโข
เกาะแห่งนี้ตอนกลางมีสภาพเป็นภูเขา มีป่าไม้ สัตว์ป่าพวกลิง หมูป่า และนกท้องถิ่นอาศัยอยู่
แต่บริเวณรอบๆ เป็นชายหาดและโขดหินที่สวยงามไม่น้อย
แม้สีน้ำทะเลจะไม่สีสดเท่าแถบทะเลกระบี่ ภูเก็ต
แต่สิ่งที่น่าสนใจแทนที่คือเป็นเกาะที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่านเท่า ว่ากันว่ามาเที่ยวเกาะพยามแล้ว
ได้อารมณ์เหมือนเกาะสมุยเมื่อหลายสิบปีก่อน

 

เรามาทันเวลาก่อนเรือออกแบบเฉียดฉิว จึงไม่มีเวลาละเลียดชมบรรยากาศที่ท่าเรือ
ขนข้าวของและพาตัวขึ้นเรือนั่งประจำที่ เตรียมพร้อมสำหรับการชมทะเลสวยเมืองระนองละครับ
เรือแล่นห่างออกจากฝั่งจนลับตา
เพียงเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็มาถึงเกาะพยามกันแล้ว
แต่ครับแต่ วันนี้เราจะไปพักที่พยามรีสอร์ทซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของท่าเรือ หากนั่งรถไประยะทางค่อนข้างไกล
ถ้านั่งเรือซึ่งทางรีสอร์ทจะจัดมารับจะสะดวกและใกล้ขึ้นมาก
แต่เรือลำเล็ก ฝ่าคลื่นลมแรงๆ ทำให้ได้อารมณ์ตื่นเต้นเบาๆ ระหว่างทางแถมติดมาด้วย

พอถึงฝั่งหน้ารีสอร์ทมีเจ้าถิ่นลุยน้ำมาต้อนรับแทบจะเกาะขอบเรือกันทีเดียว อิอิ

เกาะพยามรีสอร์ทที่เป็นที่พักของเราในคราวนี้ ตั้งอยู่บนชายหาดที่เงียบสงบ
แวดล้อมไปด้วยภูเขา ป่าไม้ สวนยาง สวนกาหยูหรือมะม่วงหิมพานต์
ที่เป็นพืชเศรษฐกิจหลักที่เป็นอาชีพเลี้ยงชาวเกาะแห่งนี้มานานปี
ยามค่ำคืนจึงเงียบสงัด ปราศจากเสียงผู้คน เสียบผับบาร์
ความสงบส่วนตัวนี่เรียกได้ว่ากินขาด
ถ้าอยากสัมผัสลมทะเล เสียงคลื่น และไอชื้นจากป่าแบบเต็มๆ
ที่นี่มีครบถ้วนเลยครับ

ฝ่าแดดร้อนลมแรงมาไกล ได้น้ำแดงเย็นๆที่รีสอร์ทเอามาต้อนรับ
เย็นสดชื่น ชื่นใจดีจริงๆ

บ้านพักแบบบังกะโล เรียงแถวยาวหันหน้าสู่ทะเล
จากหน้าบ้านถ้าเดินตรงดิ่งลงไปไม่กี่สิบก้าวก็จะได้สัมผัสกับผืนทรายขาวละเอียดแล้ว

ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่ดูสวยและสะอาดสะอ้านดี

เมื่อเก็บของกันเรียบร้อย แดดร่มลมตกเราก็จะออกสำรวจรอบๆ เกาะกันแล้วครับ
และพาหนะที่จะพาเราไปแสนจะไม่ธรรมดา เพราะเป็นรถอีแต็กที่เอาไม้พาดขวางตรงส่วนที่ขนของ
กลายเป็นที่นั่งของพวกเราทั้งหมด

ทันทีที่ล้อเริ่มหมุน ความตื่นเต้นปนความสนุกสนานประหนึ่งนั่งเครื่องเล่นในสวนสนุก
เพราะถนนที่นี่ยังไม่ดีนัก โดยเฉพาะส่วนที่ออกมาจากตัวรีสอร์ท
ทั้งสูงชัน และขรุขระ ระดับสิบเต็มสิบ 55555
กระเด้งกระดอนไปสลับกับเสียงคนข้างหน้าร้องเตือนว่ากิ่งไม้จากด้านข้างระมาที่ตัวรถ
หากไม่ระวังอาจโดนฟาดหน้าเอาได้ง่ายๆ ซ้ายๆ ขวาๆ
พร้อมกับการเอียงหัวหลบวูบวาบของแต่ละฝั่ง เรียกเสียงหัวเราะ
และเพิ่มรสชาติของการนั่งรถอีแต็กเที่ยวของเรา สนุกมาก

เราแวะที่บลูสกาย เกาะพยาม
ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกับอ่าวแม่หม้าย หรือท่าเรือที่พวกเราลงเพื่อเปลี่ยนเรือเมื่อตอนมาถึงไม่ไกล
ด้วยรูปทรงที่พักที่สวยและโมเดิร์นทำให้เป็นหนึ่งในขวัญใจของนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่
สังเกตได้จากจำนวนแขกที่เดินผ่านไปดูหนาตากว่ารีสอร์ทอื่นๆ ที่เราผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด
เราแวะนั่งริมทะเลพร้อมสั่งเครื่องดื่มและขนมมาทานคลายร้อน
เคล้าวิวทะเลสวยๆ ตรงหน้าก่อนจะออกเที่ยวกันต่อ

มองออกไปไกลๆ ที่สะดุดตาคืออาคารหลังเล็กรูปทรงพอจะนึกออกว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัด
ที่นั่นเป็นโบสถ์กลางทะเลสีเหลืองสลับขาว
ด้านบนมีพระพุทธรูปปางลีลาหันหน้าออกสู่ทะเล เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของที่นี่
ที่ไม่ควรพลาดชมด้วยนะครับ

นั่งกันอยู่พักใหญ่ ต้องตัดใจก่อนจะเมาพับอยู่แถวนี้โดยที่ยังชมความงามของเกาะไม่ทั่ว เพราะค็อกเทลแก้วต่อๆไป
เลยชักชวนกันออกเดินทางกันต่อ ผ่านถนนสายเล็กๆ ที่พอให้มอร์เตอร์ไซด์วิ่งสวนกัน
มาโผล่ที่ชายหาดยาวเหยียดอีกแห่งของเกาะ
ที่นี่คือหาดเขาควาย ที่เป็นหาดรูปโค้งออกไปด้านเหนือใต้
ลักษณะคล้ายเขาควายจนเป็นที่มาของชื่อนั่นเอง
ที่นี่นอกจากหาดทรายแล้วแล้วมีโขดหินรูปร่างแปลกๆกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
โดยเฉพาะเขาทะลุที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของหาด ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่
ที่นักท่องที่มาเที่ยวหาดเขาควายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เพลิดเพลินกับโขดหินที่นี่จริงๆครับ
ในสายตาของผมแล้ว มีความรู้สึกว่าหาดเขาควายนี้แหละ
ที่เป็นจุดที่ประทับใจมากที่สุดบนเกาะพยาม
เพราะน้ำทะเลสีสวย หาดทรายขาวยาวเหยียด และโขดหินรูปร่างแปลกตา
เมื่อรวมกันเป็นความลงตัว ยิ่งความเงียบสงบถ้าได้นั่งชมพระอาทิตย์ตกแถวนี้คงยิ่งสวยมากขึ้นๆ                    

เราปิดท้ายวันกันที่อ่าวใหญ่ ซึ่งห่างจากเขาควายอีกไม่ไกลนัก
ที่นี่เป็นหาดที่กว้างใหญ่สมชื่อจริงๆ เพราะตลอดแนวชายหาดยาวถึง 4 กิโลเมตร
จึงมีที่พักหลากหลายราคาให้นักท่องเที่ยวเลือกพักได้อย่างสบาย
อีกทั้งเป็นหาดที่มีความคึกคักมาก ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว
ทั้งบรรดาร้านค้าผับบาร์ ถ้ามาเที่ยวเกาะพยายามแล้วกลัวเหงา
อ่าวใหญ่แห่งนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ

นั่งมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นสีทอง เตรียมตกที่ขอบทะเลฟากโน้นไปเรื่อยๆ

หลังจากที่อยู่เกาะพยามได้ครึ่งวันที่สังเกตเห็นคือที่เกาะแห่งนี้มีชาวต่างชาติอยู่เยอะจริงๆ
ถ้าเป็นคนทำงานทั้งตามท่าเรือ ทั้งตามโรงแรมรีสอร์ทต่างๆ มักเป็นชาวพม่าเกือบทั้งหมด
ส่วนนักท่องเที่ยวมีชาวไทยอยู่บ้างแต่ดูน้อยมากถ้าเทียบกับนักท่องเที่ยวชาติตะวันตกแล้ว
และเกินครึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ติส...

เราอยู่รอจนช่วงแสงอาทิตย์สุดท้ายของวัน
ที่ช่วยเพิ่มสีสันของชายหาดเกาะพยามให้สวยในอีกบรรยากาศ

ไหนๆ ก็ค่ำแล้ว เราเลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ อ่าวใหญ่นั่นแหละครับ
ร้านอาหารดูบ้านๆธรรมดา แต่อาหารแต่ละจานมาแบบเต็ม
แม้จะเป็นอาหารทะเลติดกันหลายมื้อ แต่ไม่มีใครเบื่อแน่นอน

ขาไปว่าโหด มันส์ ฮา และทรหดแล้ว ขากลับที่สองข้างทางมืดสนิทขนาดนี้ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ต้นไม้สองข้างทางยังเป็นภารกิจหลักที่ช่วยกันดูและช่วยกันหลบ
มาเที่ยวทะเลคราวนี้ได้ประสบการณ์ต่างจากการเที่ยวทะเลทุกครั้งที่ผ่านมา
พี่คนขับเล่าว่าบางช่วงของถนนที่เราเลาะมา ช่วงกลางคืนน้ำทะเลจะขึ้นมาถึง
ขากลับไม่แน่ใจต้องว่ายน้ำกลับป่าว แต่ดูเหมือนพี่เค้าจะเล่าไปขำไป
ไม่ได้แสดงอาการหวาดวิตกใดๆ หนำซ้ำยังเชิญชวนว่าจะให้จอดดักรอดูหมูป่าไหม
เอิ่ม.. พี่ครับ ได้ข่าวว่าพี่อาจต้องว่ายน้ำกลับ ป่ะ 555

ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักอย่างเรียบร้อย ส่วนพี่คนขับควบเจ้ารถอีแต็กลุยเดี่ยว
ส่วนจะต้องว่ายน้ำข้ามไปหรือเปล่านี่สุดจะคาดเดาอ่ะครับ

คืนนั้นเราจากลาเข้านอนพร้อมกับแสงดาวที่เต็มท้องฟ้า
ยิ่งในรีสอร์ทยามค่ำคืนมืดสนิทเลยเก็บแสงดาวมาสักใบสองใบ
ก่อนเข้านอนพร้อมกับเสียงคลื่นขับกล่อมเราในคืนนี้

สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้า พร้อมกับแอบผิดหวังเล็กน้อย
เพราะตั้งใจว่าจะไปเดินเล่น และเก็บแสงอาทิตย์ยามเช้า
แต่ดูเหมือนจะสายไปนับชั่วโมง แต่ไม่เป็นไร
บรรยากาศเริ่มวันของที่นี่ก็สวยและน่าเดินเล่นไม่น้อยเลย

ก่อนได้เวลานัดหมายขึ้นเรือเพื่อลาจากเกาะพยามเพื่อกลับฝั่ง
ได้ข้าวต้มปลาหมึกร้อนๆ เป็นอาหารเช้า

เรือจากรีสอร์ทเพื่อพาเรากลับไปที่ท่าเรือเตรียมพร้อม
ช่วงสายเราจึงออกเดินทางกัน

เรามาถึงท่าเรือที่ฝั่งระนองช่วงเที่ยงแดดกำลังแรง
แต่แอบดีใจเมื่อเห็นพาหนะที่จะพาเราเที่ยวระนองเป็น “รถไม้” ที่เป็นรถที่มีเอกลักษณ์ของที่นี่
สีแดงสดแต่งลวดลายรอบคันอย่างสวยงามและคลาสสิก
ช่วงตัวถังรถเหมือนรถกระบะทั่วไป
แต่ด้วยทักษะงานไม้ของช่างที่นี่ที่ชำนาญด้านการต่อเรือเป็นทุนอยู่แล้ว
นำมาประยุกต์เข้ากับการแต่งรถจึงได้ผลงานที่ลงตัวน่ามอง
ใครมาระนองห้ามพลาดขึ้นรถไม้กินลมชมวิวได้บรรยากาศความเป็นเมืองระนอง 2 เท่าจริงๆ นะครับ

แฮ่ ... แต่เที่ยงแล้ว พักเรื่องการท่องเที่ยวไว้แป๊บ
กองทัพเดินได้ด้วยท้องฉันใด เป้าหมายแรกของเราก็ต้องเป็นร้านอาหารฉันนั้น
จะให้ชมเมืองแบบไส้กิ่ว เกรงว่าจะไม่มีสมาธิในการชื่นชม 5555
มื้อเที่ยงของเราเลือกร้าน “คุ้นลิ้น” ร้านดังคู่เมืองระนองมานาน
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับแหล่งน้ำพุร้อน รักษวาริน ที่เรามีโปรแกรมจะมาเที่ยวช่วงบ่ายๆ นี่แหละครับ

เมนูอาหารมีให้เลือกหลายแบบ และที่แน่นอนคืออร่อยสมกับชื่อเสียงที่ได้ยินมา
โดยเฉพาะหมึกทอดกระเทียม กรุบกรอบ หอมกรุ่นกำลังดี
หมูฮ้องอาหารพื้นเมืองทางใต้ ที่มีหมูสามชั้นนุ่มๆ ในน้ำหวานๆเค็มๆอร่อยสุดๆ

อิ่มเรียบร้อย เราขอเริ่มต้นการเที่ยวด้วยการไปชมสถานที่ที่ถือว่าเล่าเรื่องความเป็นมาเมืองระนองได้เป็นอย่างดี
รถไม้สีแดงวิ่งลัดเลาะในเมืองระนอง ก่อนจะผ่านกำแพงล้อมลอบเข้าสู่ด้านในของจวนเจ้าเมืองระนอง
อาคารชั้นเดียวสีขาว สลับกับประตูหน้าต่างสีแดง ไม่ไกลจากร่มไม้ใหญ่
ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดย พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี เจ้าเมืองระนอง และเป็นต้นตระกูล ณ ระนอง
ในตอนเริ่มสร้างได้สร้างขึ้นด้วยอิฐสอปูนสดแบบจีน โครงทำด้วยไม้ มุงหลังคากระเบื้อง
นอกจากนั้นความสำคัญของที่นี่เคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 เมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองระนอง รศ.109
ดังมีข้อความในพระราชนิพนธ์ถึงสถานที่แห่งนี้ว่า

“...ที่กลางบ้านทำเป็นตึกหลังหนึ่งใหญ่โตมาก แต่ตัวไม่ได้ขึ้นอยู่ เป็นแต่ที่รับรองแขกและคนไปมาได้อาศัย
ตัวเองอยู่ที่เรือนจากเตี้ยๆ เบียดชิดกันแน่นไปทั้งครอบครัวญาติพี่น้อง รวมอยู่แห่งเงสิ้น
มีโรงไว้สินค้าปลูกริมกำแพงยืดยาว ในบ้านนั้นก็ทำไร่ปลูกมัน ปีหนึ่งได้เป็นพันเหรียญ เป็นคนหากินแท้...”

ปัจจุบันบริเวณอาคารชั้นเดียวหลังนี้ถูกใช้เป็นศาลบรรพบุรุษ เพื่อประกอบพิธีบูชาตามประเพณี
มีป้ายด้านหน้าภาษาจีน แปลได้ว่า “ตะวันอันสูงส่ง” “บ้านนี้มากด้วยขุนนาง บ้านนี้มากด้วยแก้วแหวนเงินทอง”
ส่วนด้านในมีโต๊ะไม้แกะฝังมุก มีโต๊ะป้ายสักการะ และสิ่งของที่มีคุณค่าอีกมากมาย

ผนังของอาคารเรียงรายด้วยรูปของคนในตระกูล ณ ระนอง หลายท่าน
ที่นี่จึงถือเป็นเป็นที่รวมใจของตระกูล ณ ระนอง รวมทั้งชาวระนองเองด้วย
เพราะตั้งแต่บรรพบุรุษ ผ่านมาหลายรุ่นล้วนแต่มีส่วนในการสร้างบ้านแปงเมืองระนองมาถึงทุกวันนี้

หลังจากเดินชมจวนเจ้าเมืองระนองแล้ว รถไม้สีแดงพาเราเที่ยวกันต่อ
ผ่านย่านใจกลางเมืองระนอง ทำให้ได้เห็นว่าที่นี่แม้ไม่ใช่เมืองใหญ่โตนัก
แต่ผู้คนและสภาพเมืองก็ดูคึกคักด้วยร้านค้าหลายหลายชนิด
มีแซมด้วยอาคารแบบเก่าที่ยังคงงดงาม และน่าเดินเล่นชมเมืองอีกที่หนึ่งเช่นกัน

เพื่อให้ได้สัมผัสกับความเป็นไปของเมืองนั้นๆ ให้มากที่สุด มีคนบอกว่าต้องเดินตลาด
เมืองระนองเราก็ไม่พลาดโอกาสนั้น พี่รถไม้จอดริมถนนให้เราได้ค่อยๆเดินสู่ตลาด
ปากทางจอแจไปด้วยผู้คน เงยหน้าขึ้นมองที่ทางเข้าพบว่าเป็นทางเดียวกันกับทางไปศาลเจ้าไหหลำ
ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า เมืองระนองมีส่วนผสมของหลายๆวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่งเดียว
ทั้งมีความเป็นไทย ผสมวัฒนธรรมจีน และรวมถึงพม่าบ้านใกล้เรือนเคียงอีกด้วย

วัฒนธรรมการกินอยู่ของพม่าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ กับทุกก้าวที่เข้าสู่ตลาด
เพราะบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเกือบครึ่งหนึ่งเป็นชาวพม่า
คนเดินตลาดส่งเสียงทักทาย และแม้แต่เพลงภาษาพม่าลอยลมคลอๆไปกับเรา
ยิ่งเป็นสินค้าต่างๆ ด้วยแล้วนี่ชัดเลย เดินไปมาแอบคิดว่าข้ามฝั่งมาเที่ยวพม่าซะแล้วนะเนี่ย

ร้านนี้หยุดยืนดูอยู่นานสองนาน ไม่ใช่อะไรครับสะดุดตากับปฎิทินสีสด
นายแบบนางแบบแอ๊คท่าแบบซุปเปอร์สตาร์ แต่ควานหายังไงก็ไม่มีรูปดาราไทยสักคน
เพราะร้อยเปอร์เซ็นต์ของรูปปฎิทินที่มีให้เลือกนับร้อยใบนั้น
เป็นดาราชาวพม่า ขวัญใจของชาวพม่าที่จากบ้านมาทำงานที่ระนองนั่นเอง

ออกจากตลาดมาแวะสถานที่สำคัญอีกแห่ง นั่นคือ พระราชวังรัตนรังสรรค์
แต่ที่นี่เป็นองค์จำลองสร้างตามแบบฉบับดั้งเดิมที่ถูกรื้อไปแล้ว
นอกจากความสวยงามที่สร้างด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทองแล้ว
ที่นี่ยังเคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นเวลา 3 เพลา คือระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน พ.ศ. 2433 เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองระนอง
แต่ช่วงที่เราไปตัวพระราชวังจำลองหลังนี้ยังทำการซ่อมแซมอยู่
จึงมองเห็นนั่งร้านอยู่ตามจุดต่างๆ แต่เท่านั้นเราก็ได้เห็นและนึกภาพตามว่าเมื่อเรียบร้อยทั้งหมดคงจะสวยงามมากจริงๆ

จากพระราชวังไม่ไกล มาถึงหนึ่งในสถานที่ที่ถือว่าขึ้นชื่อที่สุดของระนองระดับประเทศ
นั่นคือแหล่งน้ำพุร้อน ด้วยที่ตั้งของจังหวัดอยู่บนแหล่งน้ำพุร้อนคุณภาพดี
จนได้ชื่อว่าเป็นน้ำแร่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
เพราะว่ากันว่ามีคุณสมบัติทางการแพทย์อีกด้วย

ชื่อรักษะวาริน หมายถึงน้ำที่ใช้รักษาโรค เป็นนามที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ได้พระราชทานไว้เมื่อครั้งเสด็จเยือนระนองในปี พ.ศ. 2550
ด้านในจะมีน้ำพุร้อนธรรมชาติ 3 บ่อ คือบ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว
โดยบ่อพ่อจะมีขนาดใหญ่ที่สุด มีอุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส

นอกจากบ่อที่สามารถแช่เท้าได้ฟรี (แต่เท่าที่ลองมันร้อนมากกกกกก เลยได้แค่เดินชม 55)
ยังมีส่วนที่ลงไปแช่ได้ ในบ่อที่ทำขึ้นอย่างสวยงาม
แต่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่ราคาไม่สูงนัก ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้ลองดู

ด้านข้างมีสะพานแขวนข้ามสายธารเล็กๆ และต้นไม้ครึ้ม
ที่นี่จึงเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านแถบนี้ไปในตัว
บ้างก็พาลูกหลานมา บ้างก็นั่งแช่น้ำร้อนไปคุยกันไป บ้างก็นอนหลับตรงลานหินร้อนที่จัดไว้เป็นสัดส่วน
ยิ่งยามเย็นไม่มีแดดร้อนๆ จึงดูสบาย ผ่อนคลายดีเหมือนกัน

ปิดท้ายด้วยสถานที่ที่ส่วนตัวแล้วได้ยิน และเห็นจากรูปภาพมานาน
แต่เมื่อเจอของจริง แอบเซอร์ไพรส์กับความงามและบรรยากาศ
เพราะตลอดเส้นทางป่าเขาข้างทาง พอหลุดเข้ามาในโซนของภูเขาหญ้า
กลายเป็นต้นไม้ใหญ่หายเกลี้ยง ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยผืนหญ้าสีเหลืองทองสุดลูกหูลูกตา
เป็นภาพแปลกตา ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

แต่ด้วยพื้นที่โล่งขนาดนี้ ไม่อยากนึกช่วงเวลาแดดแรงคงร้อนสะใจแน่
โชคดีที่เราเลือกมาที่นี่เป็นที่สุดท้ายของทริป
นอกจากแดดร่ม ยังมีสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน
นอกจากให้ความเย็นแล้ว เหล่าหญ้าต่างๆ ที่ลู่ลมขยับไปมา
ยิ่งทำให้ทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่นี้ยิ่งสวยมากขึ้นไปอีก

บรรยากาศสบายๆ ของแต่ละครอบครัวที่มาพักผ่อนที่นี่
มีทั้งเล่นว่าว มีทั้งเด็กมาวิ่งเล่น มีทั้งมานั่งคุยนั่งปิกนิกกัน
หรือถ้าหิวก็มีเพิงขายของเล็กๆ ไว้บริการอีกด้วย

ช่วงเย็นย่ำเรามาถึงสนามบินระนองเพื่อเดินทางกลับด้วยสายการบินนกแอร์
เป็นอันจบทริป 4 วัน 2 จังหวัดที่มีทั้งความสนุกสนาน เซอร์ไพรส์ และความประทับใจ
ทั้งชุมพร และระนอง มีบางส่วนที่เหมือนกัน มีบางส่วนที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์
แต่ที่ยืนยันได้อย่างแน่นอนคือความมีเสน่ห์ของทั้งเมือง
ที่มีมากเกินกว่าจะพลาดโอกาสไปเยี่ยมชม
เส้นทางสายป่าเขา สายกาแฟ และท้องทะเลงาม ล้วนแต่น่าสนใจ
ลองหาเวลาว่าง เพื่อเดินทางไปสัมผัสกับสองจังหวัดนี้กันนะครับ
ความงามที่เรียบง่าย ความงามที่ยังบริสุทธิ์อยู่
ก้าวเดินด้วยจังหวะที่เชื่องช้า ค่อยๆสูดอากาศบริสุทธิ์ ค่อยๆซึมซับความเป็นไป
รับรอง ความรู้สึกจากการท่องเที่ยวอาจแปลกแปร่งไปบ้าง แต่นุ่มละมุนกลมกล่อมอย่างแน่นอน

                                           
 

อัลบั้มภาพ 120 ภาพ

อัลบั้มภาพ 120 ภาพ ของ Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (2)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook