ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาชมเหมยขาบ และการเลี้ยงปลาเทร้าท์ดอยอินทนนท์

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาชมเหมยขาบ และการเลี้ยงปลาเทร้าท์ดอยอินทนนท์

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาชมเหมยขาบ และการเลี้ยงปลาเทร้าท์ดอยอินทนนท์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ด้วยการพาเที่ยว Nimman Snow Festival เทศกาลหิมะเทียมกลางเมืองเชียงใหม่  ขึ้นดอยอินทนนท์ดูเหมยขาบ ชมการเลี้ยงปลาเทร้าท์แห่งเดียวในประเทศไทย และชิมไข่คาเวียร์คุณภาพดีของไทย

เราขับรถออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้ามืด ไปถึงเชียงใหม่ก็เป็นช่วงบ่ายแก่ๆ เช็คอินที่โรงแรมเสร็จแล้ว เราก็ขับรถไปที่สี่แยกรินคำเพื่อดู Nimman Snow Festival หรือเทศกาลหิมะเทียม ที่จัดขึ้นที่โครงการThink Park หน้าโรงแรมEastin เชียงใหม่ การจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นมาตรการทางการตลาดของผู้จัด ที่ต้องการให้คนมาเที่ยว มารู้จักโรงแรมและโครงการThink Park แห่งนี้มากขึ้นแล้ว ก็เป็นการสร้างสีสันให้แก่เมืองเชียงใหม่ในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่นี้ด้วย

ผู้จัดจะนำเกลือป่นละเอียดขาวสะอาด Refined Salt นับพันกระสอบ มาโรยรอบบริเวณที่จัดงานให้ขาวโพลนเหมือนหิมะ  และมีการพ่นหิมะเทียมรอบบริเวณงาน ร้านอาหารก็จะตั้งโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมือนกับนั่งทานอาหารท่ามกลางพื้นหิมะ

ทุกซอกมุมระหว่างตึกจะถูกโรยด้วยเกลือขาวสะอาดให้ดูเหมือนหิมะ

ดูไกลๆคล้ายกับพื้นที่นี้ปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นบริเวณกว้าง สามารถสร้างจุดเด่นและดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี 

นักท่องเที่ยวและคนเชียงใหม่ก็มาเที่ยวและถ่ายรูปกันมาก ทำให้มีเกลือติดรองเท้ากระจายออกไปตามฟุตบาทด้านนอก นอกจากนี้หิมะเทียมที่พ่นอยู่ในบริเวณบางส่วน อาจจะโดนลมพัดกระจายไปยังดินใต้ต้นไม้ และบางส่วนก็อาจจะตกลงไปในท่อระบายน้ำ ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากคนเมืองเชียงใหม่ว่าจะเกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
        

สื่อมวลชนแขนงต่างๆก็มีการเสนอข่าวอย่างกว้างขวางจนผู้จัดงานต้องออกมาแถลงว่า หิมะเทียมที่ใช้คือ "refined salt" เกลือบริสุทธิ์ที่ใช้เป็นปกติในงานถ่ายโฆษณาไม่มีอันตราย ใต้เกลือในพื้นที่จัดงานก็รองด้วยพลาสติกเพื่อปิดฝาท่อระบายน้ำทั้งหมดมิดชิดมั่นใจได้ การจัดงานครั้งนี้ก็ควบคุมโดยทีมงานมืออาชีพ หลังใช้งานเสร็จจะจัดเก็บเกลือทั้งหมดส่งคืนกลับไปให้ผู้ขายเอาไปกำจัดอย่างถูกวิธี
                 
ทางสาธารณสุขเชียงใหม่ก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าเกลือที่ใช้ในงานนี้เป็นเกลือบริสุทธิ์แบบแห้ง ที่ปกติใช้ในอุตสาหกรรมและทางยา แนะว่าควรเล่นด้วยความระมัดระวังครั้งละไม่เกิน1 ชั่วโมง เลี่ยงการให้สัมผัสกับผิวหนังและระวังอย่าให้เข้าสู่ร่างกาย ชี้ไอระเหยอาจมีผลกระทบต่อระบบหายใจ ผู้ป่วยภูมิแพ้และความดันไม่ควรเล่น

หลังจากที่เป็นข่าวออกไป ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวงานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ


หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปดอยอินทนนท์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณเกือบ110 กิโลเมตร ขับจากเชียงใหม่ ผ่านหางดง สันป่าตอง ขับไปทางเส้นเชียงใหม่-จอมทองถึงหลักกิโลเมตรที่57ก่อนถึงอำเภอจอมทอง1 กิโลเมตร ก็จะมีทางแยกเลี้ยวขวาขึ้นดอยอินทนนท์ไปประมาณ48กิโลเมตรก็ถึงยอดดอยอินทนนท์ แต่เราขับตรงไปยังอำเภอจอมทอง เพื่อไหว้พระธาตุศรีจอมทองก่อนขึ้นดอยอินทนนท์ วัดนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระทักษิณโมลีธาตุ หรือพระธาตุส่วนที่เป็นพระเศียรเบื้องขวาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีขนาดโตประมาณเมล็ดข้าวโพดและวัดนี้ก็เป็นวัดประจำปีเกิดของผู้ที่เกิดปีชวดด้วย

หลังจากไหว้พระเสร็จ พรรคพวกก็บอกว่าแถวนี้มีร้านอาหารฝรั่งกำลังฮิตและพูดถึงใน social media มากชื่อ ร้านอาหารต้นไม้ ทางเข้าร้านนี้ค่อนข้างหายาก ต้องถามทางไปตลอด ในที่สุดก็หาเจอ เป็นร้านแบบชนบท พื้นไม้ มุงหลังคาด้วยสังกะสี อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าเป็นบ่อน้ำใหญ่ คนแน่นมาก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มากันเป็นกลุ่มด้วยรถตู้ หรือนักท่องเที่ยวที่ขี่รถ มอเตอร์ไซด์ขนาดใหญ ที่นี่ขายอาหารฝรั่งประเภท Pizza  Spaghetti และไส้กรอก เป็นอาหารฝรั่งสไตล์ไทยๆ ราดหน้าด้วยซอสต่างๆ ค่อนข้างหวาน หลายๆคนคงจะชอบเพราะมีลูกค้าแน่นร้าน บรรยากาศเป็นชนบทดี แต่ผมว่าราคาอาหารค่อนข้างแพงและไม่คุ้มที่จะขับรถเข้ามา

หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เราก็ขับรถขึ้นดอยอินทนนท์  เข้าพักที่ โครงการหลวงอินทนนท์ ทานอาหารค่ำอร่อยๆที่โครงการหลวงแล้ว ก็พักผ่อนเตรียมตัวตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูทะเลหมอกและดูพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วแม่ปานวันรุ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นตื่นตั้งแต่ตี 5 แต่งตัวกันหนาวอย่างดี ทั้งเสื้อหนาว ผ้าพันคอ ถุงเท้ารองเท้าและหมวก ขับรถขึ้นดอยไปถึงกิ่วแม่ปานก็เกือบ 06.00น. นักท่องเที่ยวมารอเต็มไปหมด  อากาศหนาว ลมแรง เสียดายไม่ได้เตรียมถุงมือมา  ท้องฟ้ายังมืดอยู่ก็เลยยืนรอนั่งรอ จนท้องฟ้าเริ่มสว่างแต่ก็ยังมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ มีแต่แสงสว่าง เข้าใจว่าท้องฟ้ามีเมฆหมอกมากเลยมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ ก็เลยคิดว่าจะขับรถขึ้นไปดูบนยอดดอยสูงสุดแดนสยาม ก็พอดีเห็นพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาสว่างจ้า เลยถ่ายรูปไว้ ดังที่เห็นในรูป

พระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วแม่ปาน

จากที่ได้มีโอกาสดูทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นมาหลายแห่งทางภาคเหนือ ผมยกให้ที่ภูชี้ฟ้าสวยที่สุด เพราะดวงอาทิตย์ค่อยๆแทรกตัวผ่านทะเลหมอกขึ้นมา แสงอาทิตย์ตัดกับสีขาวของทะเลหมอกโดยมียอดเขาภูชี้ฟ้าอยู่ข้างๆ สวยงามสุดจะบรรยาย(ถ้าสนใจดูรายละเอียดใน ท่องเที่ยวสไตล์พิศาลพาชมทะเลหมอกสุดสวย 1ภู 2 ดอย 3 จังหวัด ใน. Sanook.com)

หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราก็ขับรถขึ้นไปที่จุดสูงสุดแดนสยาม 2,565เมตรจากระดับน้ำทะเล ปรากฏว่าที่ยอดดอยวันที่เราขึ้นไปมีอุณหภูมิตอนเช้า เวลา 06.00น อยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส

   พอเห็นว่าอุณหภูมิลดลงอยู่ที่ระดับ 5 องศา เราก็พยายามมองหาว่าจะมีน้ำค้างแข็งหรือเหมยขาบอยู่ตรงยอดดอยตรงไหน ปรากฏว่าหาไม่เจอ เลยขับรถลงจากยอดดอยลงมา ระหว่างทางก่อนถึงกิ่วแม่ปานจุดที่เราชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เราก็เห็นรถจอดอยู่ข้างทาง5-6 คัน นั่งถ่ายรูปยอดหญ้าอยู่ เราเลยจอดรถลงไปดู ปรากฏว่าเป็นน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าหรือเหมยขาบนั่นเอง เราจึงถ่ายรูปไว้ ตอนนั้นแดดเริ่มออก น้ำแข็งบนยอดหญ้าเริ่มละลายแล้ว โชคดีที่เราลงมาทันได้เห็นก่อนที่น้ำแข็งจะละลายหมด

น้ำแข็งบนยอดหญ้าบางแห่งเริ่มละลาย เวลาตอนนั้นประมาณ07.00

หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมเหมยขาบแล้ว เราก็ขับรถลงไปที่พักเพื่อทานอาหารเช้า อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟ่ต์มีหลากหลาย มีทั้งอาหารไทยและฝรั่ง ข้าวต้ม แกงจืดร้อนๆ ผัดผักสดน่าทานมาก หลังจากทานอาหารแล้ว เราก็เช็คเอาท์ออกจากที่พัก ขับรถไปดูการเลี้ยงปลาเทร้าท์ ที่งานวิจัยประมงบนที่สูง ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโครงการหลวงอินทนนท์

เมื่อประมาณ41ปีที่แล้วในปี พ.ศ. 2516 งานวิจัยประมงบนที่สูง ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่ เริ่มทดลองเลี้ยงปลาเทร้าท์ตามพระราชดำริเป็นครั้งแรก โดยนำไข่ปลาเทร้าท์จากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศเยอรมันมาทดลองเพาะเลี้ยงบนดอยอินทนนท์ ได้ลองผิดลองถูกพยายามเพาะเลี้ยงปลาเทร้าท์มาเป็นเวลาหลายปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเจ้าหน้าที่ขาดความรู้และขาดประสบการณ์ จนกระทั่งได้มีการส่งทีมงานไปศึกษาวิธีการเลี้ยงปลาเทร้าท์ที่ประเทศเยอรมันนี จบกลับมาแล้วสามารถเพาะเลี้ยงปลาเทร้าท์ได้สำเร็จในปีพ.ศ. 2541

ปลาเทร้าท์ที่ได้ขนาดตามต้องการขนาด 3-4ตัวต่อ 1 กิโลกรัมก็จะนำไปขายให้โครงการหลวง และโครงการหลวงจะขายให้ผู้สนใจในราคากิโลกรัมละ 350 บาท ปลาเทร้าท์นอกจากจะอร่อยแล้วยังเป็นปลาน้ำจืดที่มี โอเมก้า3 สูงมาก ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เช่น สามารถลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดอัตราความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ฯลฯ เป็นต้น

นอกจากเลี้ยงปลาเทร้าท์แล้ว เมื่อ7-8ปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยังได้ทดลองเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยนตามพระราชดำริ  โดยนำเข้ามาจากรัสเซียและเยอรมัน หวังว่าถ้าสามารถเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยนให้มีอายุ 7ปีขึ้นไปแล้ว จะได้ไข่คาเวียร์จากแม่พันธุ์ปลาสะเตอร์เจี้ยน

ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสามารถเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยนได้สำเร็จสามารถผลิตไข่คาเวียร์ได้ และพยายามทดลองเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้อยู่ ตอนนี้ทางศูนย์ฯเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยนอยู่ประมาณ200-300ตัว ส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่พันธุ์ มีอายุ 7-8 ปี

โดยเลี้ยงอยู่ในบ่อคลุมด้วยสแลนกันแดด ปัจจุบันมีบ่อเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยน12 บ่อ แต่ละบ่อเลี้ยงปลาสะเตอร์เจี้ยน20-30ตัว ไข่ปลาสะเตอร์เจี้ยนหรือที่เรียกกันว่า ไข่คาเวียร์ จะขายขวดขนาด100กรัม ราคา5,000บาท หรือกิโลกรัมละ50,000บาท เนื้อปลาสะเตอร์เจี้ยนก็อร่อย ขายในราคากิโลกรัมละ 850 บาท

พ่อแม่พันธุ์ปลาสะเตอร์เจี้ยนที่เลี้ยงในศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดเชียงใหม่

Red Caviar คือไข่ปลาเทร้าท์ที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไปขวดละ 700บาท(100กรัม)

Black Caviar คือไข่ปลาสะเตอร์เจี้ยนที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ขวดละ5,000บาท(100กรัม)

ไข่คาเวียร์ที่นิยมทานกันทั่วไปจะเป็นประเภท Black Caviar ที่เป็นไข่ของปลาสะเตอร์เจี้ยน ส่วนไข่ปลาเทร้าท์ที่เรียกว่า Red Caviar นั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยม แม้ราคาจะถูกกว่าBlack Caviar มาก เพราะรสชาติไม่อร่อย

ไข่คาเวียร์อาจจะทานเปล่าๆ หรือทานกับขนมปังกรอบ หัวหอมสับ และบีบมะนาวเล็กน้อยหรือวิธีอื่นๆก็ได้แล้วแต่รสนิยมและความชอบ

ไข่คาเวียร์กับขนมปังกรอบ หัวหอมสับและมะนาว(บีบ)





แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook