ท่องเมืองเล็กเสน่ห์แรง

ท่องเมืองเล็กเสน่ห์แรง

ท่องเมืองเล็กเสน่ห์แรง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จะเล็กหรือใหญ่ ไซส์ไม่ใช่ประเด็นสำคัญกับสามเมืองเก่าสุดคลาสสิก มะละกา ฮอยอัน และอูบุด เพราะไม่ว่าจะในองศา ของศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ และชีวิตที่มีสีสัน ล้วนมีเสน่ห์มัดใจนักเดินทางและเรื่องราวให้เล่าขานกันไม่รู้จบ

มะละกา: ปี 2014 เป็นปีการท่องเที่ยวมาเลเซีย ไม่ต้องเป็นหมอดูก็รู้เลยว่า เมืองมรดกโลกอย่างมะละกาจะคึกคักบูมๆ ขนาดไหน ลำพังในเวลาปกติยังเนื้อหอมเหมือนซุป'ตาร์แห่งเอเชียอยู่แล้ว


มะละกามีอดีตยาวนานกว่า 500 ปี โดยเฉพาะเรื่องค้าๆ ขายๆ แถบช่องแคบมะละกาน่ะดังมากในสมัยก่อน จึงตกเป็นขนมหวานให้นักล่าอาณานิคมได้ผลัดกันชิม ทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา และอังกฤษ ก่อนที่มาเลเซียจะประกาศอิสรภาพในปี 1957 บนผืนดินถิ่นมะละกานี่เอง หากเดินเล่นในย่านเมืองเก่าจะพบสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ตามถนนสายเล็กๆ หลายแห่ง เช่น บริเวณจัตุรัสกลางเมือง Dutch Square มีโบสถ์คริสต์สีแดงอิฐเป็นแลนด์มาร์กประจำเมือง ใกล้กันคืออาคารสตัดธิวส์ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมดัตช์อดีตที่พำนักของผู้ปกครองชาวดัตช์ ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา

เนินแห่งเสรีภาพ: บรรยากาศการเดินเล่นที่เต็มอิ่มไปด้วยสีสันชีวิตและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองบาบ้า- ญวนย่า ดูร่องรอยอดีตผ่านอาคารเก่าสไตล์ชิโน-โปรตุกีส เมื่อขึ้นสู่เนินเขาเหนือจัตุรัสกลางเมืองจะได้ชมโบสถ์เซนต์พอลและรูปปั้นนักบุญฟรานซิส เซเวียร์ ที่มือข้างขวาขาด สายลมเย็นเอื่อยๆ จากแม่น้ำมะละกาก็พัดพาความเหนื่อยล้าไปสนิท ไม่นานก็มาถึงจุดสำคัญอีกแห่งนั่นคือ ประตูป้อม Porta de Santiago หนึ่งในสี่ทางเข้าหลักสู่ป้อมปราการเก่าแก่ของโปรตุเกส A' Fomosa ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียว ว่ากันว่าถ้าใครได้มาถ่ายรูปที่นี่จะได้กลับมาอีกครั้ง และหน้าป้อมยังเป็นที่ตั้งของตึกอนุสรณ์สถานการประกาศอิสรภาพอีกด้วย

เมืองแห่งพิพิธภัณฑ์: ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่มะละกาก็มากมายไปด้วยพิพิธภัณฑ์ให้เดินเข้า-ออกเป็นว่าเล่น หนึ่งในนั้นที่ควรตีตั๋วเข้าชมคือ Maritime Museum พิพิธภัณฑ์เรือจำ ลองของโปรตุเกสที่ได้ฉายาว่า ‘ดอกไม้แห่งท้องสมุทร' (Flor dela Mar) ซึ่งชาวโปรตุเกสใช้บุกโจมตีมะละกาจนกระทั่งยึดครองได้สำ เร็จในปี 1511 และใช้ขนสมบัติของสุลต่าน เมื่อเดินข้ามแม่น้ำ มะละกาที่สองฟากฝั่งเรียงรายไปด้วยเกตส์-เฮาส์สไตล์ลิตเติ้ลดัตช์จะเข้าสู่ย่านเก่าไชนา-ทาวน์ Jonker St. ย่านฮิตของนักท่องเที่ยวที่มีทั้งที่พัก คาเฟ่ และร้านอาหารให้เลือกนั่งหย่อนกายอ้อยอิ่งรอชมแสงสียามค่ำท่ามกลางตึกสวยคลาสสิกที่อนุรักษ์ไว้เป็นมรดกโลก

ชีวิตสุนทรีย์ที่อูบุด: ใครเสพติดความสุนทรีย์ของการใช้ชีวิตแบบ 'ติสท์ๆ ต้องชอบใจทุกอณูในเมืองอูบุดบนเกาะบาหลีที่อาบไล้ไปด้วยงานศิลปะและความศรัทธา ในเวลาเดียวกันก็มี ธรรมชาติที่แสนโรแมนติกและบรรยากาศน่ารื่มรมย์เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์งานศิลปะ จนนักเดินทางขนานนามว่า "สวนสวรรค์แห่งอีเดน"

รื่นรมย์กับศิลปะในอูบุด: บางคนว่าถ้าอยากเข้าถึงจิตวิญญาณศิลปะของบาหลีที่มีชีวิตชีวา ก็ต้องเที่ยวอูบุดให้ครบทุกซอกมุม เริ่มกันด้วยเสพงานศิลปะในศูนย์ศิลป์หลายแห่ง มีตั้งแต่ระดับบ้านๆ ไปจนถึงพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรี่ชื่อดัง เช่น Puri Lukisan พิพิธภัณฑ์ในสวนดอกไม้ที่เราจะได้อภิรมย์ชมภาพวาดและงานแกะสลักของศิลปินพื้นเมือง Agung Rai Museum of Art ก็รวบรวมผลงานของศิลปินตะวันตกที่หลงใหลในความเป็นบาหลีอย่างเต็มหัวใจในอูบุดยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เช่น Puri Saren Agung หรืออูบุดพาเลซ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเดินชมบริเวณรอบๆ วังได้ นอกจากนี้ ใครมาเที่ยวบาหลีก็ต้องไม่พลาดชมวัดสำคัญอย่าง Pura Sarawati ที่นั่นเราจะได้เห็นความศรัทธาอันแรงกล้าของชาวบาหลีที่มีต่อศาสนา

นาฏลีลาชีวิตและธรรมชาติ: ถ้าอยากตื่นตาตื่นใจ ต้องไปชมการแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองที่มีให้ชมกันทุกค่ำคืนตามสถานที่ต่างๆ เช่น การรำ เคจะห์ของผู้ชายจะเน้นจังหวะครึกครื้นกับท่วงท่าสนุกสนาน ส่วนฝ่ายหญิงจะรำ บารองหรือรำ เลอกอง กลิ้งกลอกดวงตาไปมาพร้อมลีลาร่ายรำ อ่อนช้อยพูดถึงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ สิ่งที่เป็นเสน่ห์ตรึงใจนักเดินทางหนีไม่พ้นภาพนาขั้นบันไดท่ามกลางขุนเขาและยังสามารถไปชมความน่ารักของลิงแสมนับร้อยๆ ตัวที่ Monkey Forrest และถึงคุณจะไม่ใช่สาวอารมณ์ศิลปิน เพียงแค่อยากมาพักผ่อนให้ธรรมชาติได้เยียวยาความเหนื่อยล้า จรรโลงใจด้วยงานศิลปะเป็นบางเวลา มีเวลาจิบกาแฟ อ่านหนังสือ เข้าสปา หรือไปช้อปปิ้งเบาๆ อย่ามองข้ามเมืองเล็กๆ ชื่อ "อูบุด" ซะล่ะ

เสน่หาฮอยอัน: บางครั้งเมืองเล็กๆ ก็กลับมีเสน่ห์ชวนหลงได้มากกว่าไม่อย่างนั้นองค์การยูเนสโกก็คงไม่ยกฮอยอันขึ้นหิ้งให้เป็นเมืองมรดกโลก และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกก็คงไม่หลั่งไหลมาประทับรอยเท้าไว้ที่นี่ หากฮอยอันไม่มีอะไรดี

เลียบสายน้ำทูโบน: ฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าแห่งอุษาคเนย์ที่มีแม่น้ำทูโบนนำพาวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกมาพบกัน ปัจจุบันสายน้ำนี้ยังคงหล่อเลี้ยงเมืองฮอยอันเช่นเดิม และมีบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลช่วยแต้มสีให้สองฝั่งแม่น้ำมีชีวิตชีวา การเดินเล่นในฮอยอันจึงไม่มีเหงา ยิ่งเป็นเมืองเล็กๆ ใช้เวลาวันเดียวก็เที่ยวทั่ว แนะนำให้ยึดสะพานญี่ปุ่นเป็นจุดตั้งต้น สะพานทรงโค้งหลังคามุงกระเบื้องสร้างโดยชุมชนญี่ปุ่นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว เมื่อข้ามสะพานก็จะพบบ้านเก่าสุดคลาสสิกและแกลเลอรี่ริมถนนสองฟากฝั่งถนน บรรยากาศมันฟินได้ใจเลยอะ

เยี่ยมบ้านประจำตระกูล : เสน่ห์อย่างหนึ่งของการมาเยือนฮอยอันคือ เช้าชมบ้านประจำตระกูลบนถนนตรันฝูและเหวียนไทฮ็อก ที่พลาดไม่ได้คือ บ้านเลขที่ 101 ของตระกูล Tan Ky เป็นบ้านไม้อายุ 75 ปี เก่าแก่ที่สุดในฮอยอัน แวะชมพิพิธภัณฑ์เซรามิกในบ้านเลขที่ 80 ซึ่งบรรพบุรุษเป็นชาวจีนฟุกเกี๋ยนค้าขายยาสมุนไพร ถ้วยชาม และเครื่องใช้เหล่านี้สะท้อนความเป็นมาของฮอยอัน และจากบริเวณระเบียงบ้านชั้น 2 ยังมองเห็นทัศนียภาพในมุมสูงได้อีกด้วย ช่วงบ่ายที่ศูนย์วัฒนธรรมและหัตถกรรมจะจัดการแสดงพื้นเมือง เล่าเรื่องวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม แต่เปิดแสดงเฉพาะวันอังคาร-อาทิตย์ ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศมีบริการล่องเรือสัมผัสมนต์เสน่ห์ของสายน้ำทูโบน หรือออกไปปั่นจักรยานกลางทุ่งนาเขียวๆ ก็วิวดีไม่แพ้กัน

โรแมนติกในฮอยอัน: ค่ำคืนเดินชมความสวยงามของเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟสีแดงส้มระยิบระยับกับตึกเก่าๆ ซึ่งแขวนตะเกียงจีนเรียงราย หลายคู่รักเดินเกี่ยวแขนกินลม ชมแม่น้ำอย่างอิ่มเอม ใครหัวใจเปลี่ยวก็ไม่ต้องกลัวเฉา มีร้านขายสินค้าพื้นเมืองให้ช้อปปิ้งสนุกทั้งกระเป๋า เป้ รองเท้า ผ้าไหม โคมไฟผ้าไหม สีสวยๆ ราคาย่อมเยา รับรองได้ของติดมือ กลับบ้านแน่ๆ และไม่ว่าใครจะไปหรือจะมา ฮอยอันก็ยังเป็นเมืองเล็กสุดแสนโรแมนติกและคลาสสิกเสมอ

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ ท่องเมืองเล็กเสน่ห์แรง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook