ความสุขเล็กๆ ใน"เมืองลุง"

ความสุขเล็กๆ ใน"เมืองลุง"

ความสุขเล็กๆ ใน"เมืองลุง"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"พัทลุงเป็นเมืองผ่าน คนไม่ค่อยรู้ว่ามีที่เที่ยวดีๆ" เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยท่านหนึ่งเคยบอกกับ "นายรอบรู้" ไว้นานแล้ว แต่เราก็เดินทางผ่านพัทลุงไปรอบแล้วรอบเล่าโดยไม่ได้แวะพิสูจน์คำกล่าวของท่านสักที

กระทั่งปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา "นายรอบรู้" ได้รับเกียรติจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กองตลาดภาคใต้ พาไปเยือน "เมืองลุง" หรือจังหวัดพัทลุง ในเส้นทางตามรอยเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง จึงพบว่าคำกล่าวข้างต้นไม่เกินจริงแม้แต่น้อย ด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีทั้งภูเขา ทะเลสาบ แถมยังมีประวัติศาสตร์เกี่ยวโยงกับอาณาจักรที่รุ่งเรืองในอดีต ทำให้ "เมืองลุง" แห่งนี้มีสถานที่ที่น่าแวะไปเยือนมากมาย

ตามรอยเสด็จ บนเส้นทางสายประวัติศาสตร์

ย้อนกลับในปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าหัว รัชกาลที่ 5 หรือ "พระพุทธเจ้าหลวง" ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ตลอดแหลมมลายู การประพาสครั้งนั้นพระองค์ทรงประทับอยู่ในจังหวัดพัทลุงถึง 6 วัน ซึ่งนับว่านานที่สุดเมื่อเทียบกับเมืองอื่น คนพัทลุงต่างภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสต้อนรับพระองค์ท่าน จึงร่วมกันจัดงานย้อนรำลึกในช่วงเดียวกับการประพาสดังกล่าว คือวันที่ 22-26 กรกฎาคม ของทุกปี

จากสนามบินนานาชาติ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา คณะสื่อมวลชนออกเดินทางมาที่ จ. พัทลุง โดยมีเป้าหมายในวันแรกคือการตามรอยเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง ระหว่างทางเราแวะเที่ยวสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง ทั้งบ่อน้ำพุร้อน ใน อ. เขาชัยสน ที่มีบรรยากาศน้ำพุร้อนแบบ "บ้านๆ" ได้เห็นภาพพ่อแม่ลูกชวนมาแช่น้ำกันอย่างอบอุ่นน่ารัก และวัดเขียนบางแก้ว วัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ภายในมีพระมหาธาตุเจดีย์บางแก้ว เจดีย์ทรงระฆังแบบลังกาที่สง่างามน่าชม หากสังเกตุให้ดีจะพบว่าแต่ละมุมบริเวณส่วนยอดของเจดีย์มีรูป "นกกา" ประดับไว้ ซึ่งมาจากตำนานว่ามีการเสกกา 4 ฝูงให้มาช่วยเฝ้าพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานไว้ในพระมหาธาตุเจดีย์

จากนั้นเรามุ่งเข้าสู่ อ. เมือง มาที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ถ้ำแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาประพาสและลงพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ไว้เป็นที่ระลึกที่ผนังทางเข้าถ้ำ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินีก็ได้เสด็จมาและร่วมจารึกพระปรมาภิไธยย่อไว้เช่นกัน เรียกว่าถ้ำแห่งนี้มีพระมหากษัตริย์ถึง 3 พระองค์มาเยี่ยมเยือนเลยทีเดียว ภายในถ้ำคูหาสวรรค์ยังมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์ใหญ่และพระพุทธรูปนั่งประดิษฐานอยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีทางเดินลงไปชมหินงอกหินย้อยที่สวยงาม ถ้าใครมีเวลาก็น่าลงไปยลเสียหน่อย

แสงแดดอ่อนลงเมื่อเข้าสู่ช่วงเย็น คณะสื่อจึงเดินทางต่อเข้าตัวเมือง มานมัสการพระพุทธนิรโรคันตรายชัยวัฒน์จตุรทิศ หรือ "พระสี่มุมเมือง" ที่ประดิษฐานใกล้กับศาลจังหวัดพัทลุง นอกจากที่นี่แล้วยังสามารถไปนมัสการพระสี่มุมเมืองได้อีกที่จังหวัดลำปาง สระบุรี และราชบุรี โดยมีเพียง 4 แห่งในประเทศเท่านั้น ในช่วงโพล้เพล้ เรามาที่หาดแสนสุขลำปำ ริมทะเลสาบสงขลา อีกสถานที่หนึ่งที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาส ครั้งนั้นพระองค์ทรงประทับแรม ณ ชายหาดแห่งนี้ ปัจจุบันเทศบาลเมืองพัทลุงได้ปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นสวนสาธารณะ ซึ่งมีบรรยากาศริมทะเลที่แสนสบาย ทิวทัศน์สวยงาม มีลมเย็นๆ พัดมาชวนให้นั่งพักผ่อน วันที่เราไปนั้นทางจังหวัดได้จัดงานตามรอยเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง มีการบวงสรวงและการแสดง แสง สี เสียง ภายในงานยังจัดเลี้ยงอาหารให้ผู้เข้าชม เราแอบไปดูเห็นมีแกงและอาหารพื้นบ้านหลายหม้อใบใหญ่ หากได้กินกับข้าวพื้นบ้านของพัทลุง อย่างข้าวสังข์หยดร้อนๆ ก็คงจะดีไม่น้อย แต่คณะเรารับประทานมาจากที่อื่นแล้วก็ได้แต่เสียดาย นอกจากนั้นไม่ควรพลาดชิมขนมโค ขนมพื้นบ้านภาคใต้ที่เป็นลูกๆ กลม กัดแล้วสัมผัสกับแป้งนุ่มๆ และไส้รสหวานที่ทำจากมะพร้าวกวนกับน้ำตาล คล้ายกับขนมต้มของคนภาคกลาง ได้ชิมแล้วจะติดใจ

ถึงช่วงหัวค่ำการแสดงแสง สี เสียง ก็เริ่มขึ้น ความสนุกเริ่มต้นที่การแสดงหนังตะลุงที่ใช้ตัวหนังผืนใหญ่ การร่ายรำต่างๆ โดยเฉพาะการแสดงโนรานั้นถือว่าสนุกมาก ช่วงที่หน้าพรานออกมาขยับพุงดึ๋งดั๋ง ล้อเลียนท่าทางของกินรีนั้น เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้อย่างกึกก้องเลยทีเดียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยการจำลองเหตุการณ์การเสด็จประพาสด้วยเอฟเฟกต์แสงสีเสียงสุดอลังการ

ล่องแก่งหนานมดแดงสุดตื่นเต้น!

วันต่อมาคณะของเรามาที่ อ. ป่าพะยอม พื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดพัทลุง นครศรีธรรมราช และสตูล หลายคนอาจไม่รู้ว่าที่นี่มีกิจกรรมล่องแก่งหนึ่งเดียวในพัทลุง รู้จักกันดีในชื่อ "ล่องแก่งหนานมดแดง" ชื่ออย่างเป็นทางการคือชมรมล่องแก่งลานข่อย มีผู้ให้บริการอยู่ 5 เจ้า คือ ล่องแก่งหนานมดแดง ซึ่งเปิดเป็นเจ้าแรก ล่องแก่งหนานท่าส้าน ล่องแก่งลานข่อย ล่องแก่งวังไม้ไผ่ และล่องแก่งระฆังทอง

ใครที่เคยไปลุยล่องแก่งในสนามอื่นๆ อย่างล่องแก่งน้ำว้า หรือล่องแก่งน้ำเข็ก มาแล้ว คงจะยินดีที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการล่องด้วยแพยางมาใช้เรือคายัค ซึ่งให้ความตื่นเต้นคนละแบบกัน คนล่องจะได้ตะลุยแก่ง ฝ่าสายน้ำเชี่ยวกรากในคลองไม้เสียบไปด้วยกันเพียงลำละ 2-3 คน โดยมีแก่งอันตรายท้าทายหัวใจอยู่ 5 จุดด้วยกัน ระดับความยากโดยรวมของแก่งอยู่ที่ระดับ 3 ซึ่งคนทั่วไปทุกเพศทุกวัยสามารถเล่นได้โดยไม่อันตราย ทั้งนี้ชมรมล่องแก่งยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอย่างแรก ตลอดทางจะมีสตาฟล่องไปคอยดูแลอย่างใกล้ชิด มีกฎบังคับให้ทุกคนสวมหมวกกันน็อกและเสื้อชูชีพอย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีการทำประกันภัยให้นักผจญแก่งทุกคนด้วย

ระยะทางการล่องทั้งหมดประมาณ 4-5 กม. ใช้เวลาการล่องประมาณ 2 ชั่วโมง ตลอดสองฟากน้ำร่มครึ้มไปด้วยป่าดงดิบ แต่ไม่ต้องกลัวน้ำป่าในฤดูน้ำหลาก เพราะสายน้ำคือน้ำที่ปล่อยมาจากอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส ซึ่งใช้ในการชลประทานของชาวบ้านอยู่แล้ว จึงสามารถมาล่องได้ตลอดปี นับเป็นข้อดีเด่นที่ต่างจากการล่องแก่งที่อื่น ส่วนคำว่า "หนาน" นั้น หลายคนอาจสงสัยว่าแปลว่าอะไร มีคนใต้ใจดีมาเฉลยให้ฟังว่ามีความหมายเดียวกับแก่ง คือหมายถึงโขดหินที่น้ำที่ไหลผ่านบางๆ

ใน อ. ป่าพะยอม ยังมีกลุ่มทอผ้านิคมลานข่อย อยู่ไม่ไกลจากที่ล่องแก่ง มีผ้าทอลายสวย ฝีมือประณีต ให้เลือกหลายแบบ ชาวบ้านมารวมตัวนั่งทอกันที่นั่นเลย นอกจากนี้เรายังได้พบคณะจักรยาน ที่ปั่นจากสถานีรถไฟแหลมโตนดมายังอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำใส พวกเขาบอกว่าเส้นทางปั่นบริเวณนี้มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่รื่นรมย์น่าปั่นไม่น้อย ขากลับจากการล่องแก่ง ทีมงานพาเราผ่านไปแถวทะเลน้อย ในช่วงเวลาที่ไม่มีบัวบานอวดดอกสีสวย ก็ยังพอมีนกน้ำให้เห็นอยู่บ้าง และเมื่อขับรถมาจอดชมทิวทัศน์บนสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (ไสกลิ้ง-บ้านหัวป่า) เราก็ได้เห็นควายน้ำฝูงใหญ่มานอนแช่ในปลักอย่างสบายอารมณ์ กระดิกหูดิ๊กๆ ราวกับมีความสุขเหลือล้น ควายเหล่านี้ก็เป็นควายแบบที่ใช้ไถนาทั่วไป เพียงแต่ชาวบ้านนำมาเลี้ยงในทะเลน้อยตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้พวกมันว่ายน้ำคล่องแคล่ว ดำผุดดำง่ายเก่งกว่าควายที่อื่น

ข้ามสะพานมาแล้ว มีแผงขายปลาจากทะเลน้อยตั้งเรียงอยู่ข้างทาง ขายปลาช่อนแดดเดียว ปลาดุกร้า ปลาทราย รวมไปถึงวัตถุดิบอย่างกะปิ น้ำปลา และอีกนานาชนิด ใครที่มองหาของฝากกลับบ้าน ก็ได้ซื้อกันสนุกล่ะงานนี้

ความสนุกที่อยู่ไม่ไกลจากหาดใหญ่

วันสุดท้ายเราตระเวนตามที่เที่ยวซึ่งไม่ไกลจาก อ. หาดใหญ่ มีหลายแห่งมากจึงขอจับมาเขียนแบบ "เมดเลย์" คัดเฉพาะที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟัง

เริ่มกันตั้งแต่มื้อเช้า ทีมงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ พาเราไปกินติ่มซำ อาหารเช้ายอดฮิตของคนหาดใหญ่ที่ร้านกุ๊กชัยติ่มซำ ที่ ถ. ทุ่งเสา 1 ร้านนี้มีติ่มซำอร่อยแต่นักท่องเที่ยวยังไม่รู้จักมากนัก จึงเป็นข้อดีที่ไม่ต้องต่อคิวรอนาน ติ่มซำของร้านมีให้เลือกหลายสิบชนิด สด และนึ่งใหม่ทุกเข่ง โดยเฉพาะบะกุ๊ดเต๋นั้นหอมกลิ่นเครื่องยาจีนมาก กินแล้วรู้สึกสดชื่นมีพลัง ช่วงสาย เราแวะไปที่พระมหาธาตุเจดีย์ ไตรภพ ไตรมงคล หรือที่เรียกกันว่า "เจดีย์สแตนเลส" เพราะสร้างจากท่อแสตนเลสนำมาเชื่อมต่อกันจนเป็นเจดีย์ที่สูง 32 ม. เดินเข้าไปภายในจะเห็นเส้นสายท่อสแตนเลสเป็นลวดลายดูน่าตื่นตาตื่นใจ เจดีย์แห่งนี้ไปไม่ยาก เพียงขับรถเลยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นิดเดียวก็จะเห็นยอดเจดีย์อยู่บนเขาแล้ว ต่อมาคณะสื่อเดินทางไปที่ ต. รำแดง อ. สิงหนคร จ. สงขลา ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมต่อสิงหาคมที่เราไปนั้น ดอกปอเทืองที่ชาวบ้านปลูกไว้ในทุ่งนา เตรียมไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสด กำลังออกดอกกันสะพรั่ง มองดูเป็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองกว้างใหญ่ที่พลิ้วไหวเมื่อลมพัดผ่าน ดอกปอเทืองจะบานไปจนถึงกลางเดือนสิงหาก็ถูกไถกลบไป

หากผ่านไปทางนั้น อย่าลืมแวะไปกินร้านครัวปากกว้าง คณะสื่อได้ไปลองชิมและติดใจกันมาแล้ว ร้านนี้อยู่ติดกับคลองปากรอ มีบรรยากาศดี ลมพัดเย็นสบาย แถมปลาที่นำมาปรุงอาหารก็สดใหม่ รสอร่อย ขอแนะนำให้ชิมยำกุ้งยอดมะพร้าว ปลากระบอกไข่ทอด และต้มยำกุ้งแม่น้ำ ตกบ่ายเราแวะไปที่วัดคูเต่า ต. แม่ทอม อ. บางกล่ำ จ.สงขลา วัดเก่าแก่ซึ่งมีสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สวยงาม ชุมชนช่วยกันบูรณะศาลาการเปรียญจนได้รับรางวัล Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation จากยูเนสโก เมื่อ พ.ศ. 2554 ก่อนที่คณะจะกลับมาสนามบินหาดใหญ่และเดินทางกลับมาโดยสวัสดิภาพ

ในช่วงเวลาไม่กี่วันเราได้พบว่า เมื่อเทียบกับ อ. หาดใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลกันมากแล้ว สถานที่เที่ยวต่างๆ ในพัทลุงอาจไม่สะดวกสบาย ไม่หรูหราเท่า แต่ก็ได้ความสงบเงียบ และวิถีชีวิตดั้งเดิมที่หาได้ยากในเมืองอื่น จึงเป็นโอกาสดี หากใครสักคนคิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศจากเมืองที่วุ่นวาย มาสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ แล้วคุณจะพบความสุขเล็กๆ ...ที่สัมผัสได้ จากเมืองผ่านแห่งนี้

>>>สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานหาดใหญ่ โทร. 0-7423-1055, 0-7423-8518 ล่องแก่งหนานมดแดง โทร. 08-9873-1464 ล่องแก่งท่าส้าน โทร. 08-9297-6938<<<

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ ความสุขเล็กๆ ใน"เมืองลุง"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook