สังขละ มีมอญ มีหมอก มีมนต์

สังขละ มีมอญ มีหมอก มีมนต์

สังขละ มีมอญ มีหมอก มีมนต์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"หน้าฝน ใครเขาไปเที่ยวกัน ??" คนถามย่อมฉงนถ้ายังไม่ได้คำเฉลย ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าพอฝนมา พายุลงเมื่อไหร่ คนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยจะอยากไปออกไปไหน ทั้งกลัวว่าจะไปติดแหง่กอยู่ในรีสอร์ท กลัวล่องแก่งแล้วจะเจอน้ำหลากพัดจมหาย กลัวจะเจอน้ำเหนือไหลท่วมที่เที่ยวและที่พักจนกลับบ้านไม่ได้ เป็นนักท่องเที่ยวในเมืองไทยสมัยนี้น่าเห็นใจ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับความกลัวร้อยแปด แต่ถ้าหัวใจเรียกร้องจะออกไปชมโลกกว้างซะอย่าง อะไรก็ฉุดไม่ได้

ป่าฝนชอุ่มสุดเขตฝั่งตะวันตกของไทยเขาว่างามตามฤดูนัก หากจะหนีความวุ่นวายมาพักใจชั่วคราวก็เหมาะมาก เมืองเล็กๆ แต่ร่องรอยอดีตไม่เล็กอย่าง "สังขละบุรี" ที่ซ่อนตัวอยู่ในแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ของจ.กาญจนบุรี จึงเป็นตัวเลือกของนักท่องเที่ยวตั้งแต่ระดับ "จัดเต็มชุดใหญ่" คือเลือกที่จะร่วมขบวนคาราวานจากทางเรียบแล้วออฟโรดสู่ป่าคดเคี้ยวเพื่อข้ามด่านเจดีย์สามองค์ต่อไปยังพม่า หรือจะจับรถตู้-โหนรถไฟ-ไปรถทัวร์ เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง จึงเหลือเวลาชิลล์ๆ ให้ได้ชื่นชมทัศนียภาพที่ดูราวกับผจญภัยอยู่ในฝัน ทั้งลำน้ำทะเลสาบ ขุนเขา ไอหมอกเช้าอันหนาวเหน็บก่อนตะวันจะโผล่จ้าขึ้นมาให้อุ่นจนถึงบ่าย เมืองอัศจรรย์แห่งนี้คือความหลากหลายที่สองวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแควน้อยถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาแต่ช้านาน

สะพานมอญ

เปิดประตูสู่สังขละ

สังขละบุุรี ถือเป็นจุดบรรจบระหว่างอำเภอสุดท้ายของกาญจนบุรีกับด่านแรกของเมืองพม่า ด้วยพรมแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ด้าน หากถ้าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนจะเอ่ยปากชวนเพื่อนไปเยือนสังขละอาจมีหลายคนส่ายหน้าปฏิเสธเพราะเส้นทางนั้นทั้งไกลทั้งโหดหินกินเวลาเป็นวัน แต่ปัจจุบันเส้นทางสู่สังขละบุรีถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าสะดวกสบาย วันหยุดสุดสัปดาห์หลายคนจึงแบกเป้ถือกระเป๋ารอจับรถทัวร์-รถตู้ ไปสังขละบุรี ออกจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 4 ถ.เพชรเกษม มายังเส้นทางนครปฐม ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานีขนส่งเมืองกาญจน์ฯ ซึ่งจะมีบริการรถสองแถวต่อไปสังขละบุรีที่คราวนี้จะใช้เวลานานหน่อยประมาณ 4 ชม. แต่ก็มีบริการเส้นทางตรงจากกรุงเทพฯ ไปถึงสังขละบุรีโดยไม่ต้องต่อรถโดยบริษัทขนส่งบางเจ้า ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากจะไปกันแบบไหน

ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสังขละบุรีเริ่มเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่การบริการนักท่องเที่ยวของสังขละบุรีในวันนี้จัดว่าครบครันและสะดวกสบายพอสมควร รีสอร์ทเล็กๆ และที่พักขนาดพอเหมาะไม่หรูหรามากนักแต่ก็พักสบายจะหาได้ง่ายในละแวกสามสบ ช่วงฤดูปลอดนักท่องเที่ยวขอให้เดินทางมาแต่หัววัน ไม่ต้องจองที่พักล่วงหน้าก็ยังสามารถหาที่พักสะอาดๆ บรรยากาศดี มีวิวแม่น้ำซองกาเลียทอดผ่านระเบียงห้อง ในราคาย่อมเยาตั้งแต่หลักร้อยต้นๆ จนถึงหลักพันนิดๆ เรียกว่าหากมีงบไม่เยอะนัก ก็สามารถมาปักหลักพักค้างอ้างแรมที่สังขละบุรีได้อย่างสบายใจ

แม้ใจลึกๆ จะยอมรับในความสะดวกสบาย แต่ก็อดห่วงแทนคนสังขละไม่ได้ หากคนเมืองอย่างเราแห่กันไปรบกวนเขา เขาก็ต้องสร้างความสบายมาต้อนรับขับสู้เรา ซึ่งบทเรียนจากปายหรือเชียงคานเป็นเครื่องเตือนใจอย่างดี หากรักจะมาเยือนสังขละบุรี คงต้องเป็นนักท่องเที่ยวที่พึงใจในธรรมชาติและขนบของเขาอย่างจริงใจ จะเรียกร้องความสบายมากเกินจำเป็นเห็นทีจะไม่เหมาะ ต่างคนต่างพึ่งพา แต่ช่วยกันรักษาสิ่งดีๆ ร่วมกัน นั่นคือดีที่สุด

สะพานมอญ

เดินเช้า-เที่ยวบ่าย-ผ่อนคลายค่ำ

หากจะชื่นชมธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวไทย มอญ และพม่า ที่อยู่ร่วมกันอย่างผูกพันยาวนาน ควรตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะชีวิตผู้คนที่นี่เขาเริ่มวันอย่างคึกคักที่ชุมชนชาวมอญ "สามสบ" หรือ สามประสบ จุดบรรจบของลำห้วยสามสาย ซองกาเลีย-บิคลี่-รันตี ที่เลื่องลือ มีสะพานมอญที่มั่นคงท้ากาลเวลาทอดยาวให้ก้าวผ่านไปท่องเที่ยวและจับจ่าย และอย่าได้พลาดทะเลหมอกยามเช้าของที่นี่

แม้จะตั้งอยู่บนพื้นที่สูง แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสังขะลบุรีจึงมีลำน้ำขวางกั้นเป็นแนวยาว ก่อนจะสืบรู้ว่า ลำน้ำนี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับการสร้าง เขื่อนเขาแหลม หรือ เขื่อนวชิราลงกรณ์ ครานั้นลำน้ำทะลักถมที่ราบเดิมที่ถือว่าเป็นย่านชุมชนสำคัญของเมืองสังขละที่มีบ้านเรือน ตลาด และ วัดวังก์วิเวการามหรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ จนจมหาย ชาวบ้านจึงต้องย้ายชุมชนใหม่ พร้อมกับวัดหลวงพ่ออุตตมะก็ถูกสร้างใหม่ สิ่งที่ยังหลงเหลือคือพระอุโบสถกลางลำน้ำ และอัศจรรย์ในหน้าน้ำลดที่ผู้คนสามารถเดินเท้าเข้าไปชมร่องรอยภายในอุโบสถได้ ทำให้กลายเป็น "อันซีนไทยแลนด์" อีกแห่งหนึ่งที่คุ้มค่าแก่การมาชม

สะพานมอญ ยามเช้ายังถือเป็นภาพสะท้อนความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาของชาวมอญและชาวไทยในแถบนี้ กิจวัตรประจำวันและกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวพร้อมใจกันทำคือการใส่บาตร แม้แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนเราก็เห็นเขาถอดรองเท้า ใส่บาตร และก้มกราบพระที่พื้นเหมือนคนในท้องถิ่น ผิดกับเราซึ่งผูกติดชีวิตในเมือง จึงทำได้แค่พนมมือขอพรและลืมถอดรองเท้า เห็นทีคราวหน้าเราจะต้องลองกลับสู่วิถีแห่งศรัทธาแบบชาวบ้านให้มากขึ้นเสียแล้ว

เราเดินสวนสาวมอญหน้าแฉล้มที่ยังคงวัฒนธรรมการแบกถือด้วยการทูนโถข้าวและถาดถวายพระขึ้นบนศีรษะ จากที่เคยคิดว่าจะมีแต่ป้าๆ แม่ๆ แต่สาวๆ รุ่นใหม่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ก็ยังคงทำแบบนี้ด้วยท่าทีคล่องแคล่วมาก

เวลาอีกค่อนวันที่เหลือ อยากเผื่อใจให้กับการเดินทางข้ามแม่น้ำแควน้อยสู่อีกฟากหนึ่งซึ่งเป็นทางเข้าสู่ฝั่งอำเภอ เพื่อจะแวะไปดูวิถีชาวบ้านแถวด่านเจดีย์สามองค์ดูบ้าง เพราะถ้ามาถึงสังขละบุรีแล้วไม่ได้ไปกราบนมัสการขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชมชีวิตงามของชาวพุทธที่นี่ ก็คงเสียเที่ยว และสังขละบุรียังมีวัดเก่าแก่ที่น่าทึ่งไม่แพ้วัดวังก์วิเวการามอย่าง วัดเสาร้อยต้น ซึ่งถือเป็นปลายทางสำคัญของเราในวันนี้

วัดวังก์วิเวการาม

เส้นทางไปด่านเจดีย์สามองค์ในปัจจุบันนั้นพัฒนาเป็นทางราดยางมะตอยหมดแล้ว หากเช่ามอเตอร์ไซค์หรือรถสองแถวเล็กจากสังขละไปก็ใช้เวลาไม่มาก เมื่อสายตาทอดไปเห็นเจดีย์สามองค์ตรงหน้าก็แปลว่ามาถึงแล้ว พระเจดีย์สามองค์ หรือ หินสามกอง นี้มีประวัติความเป็นมา ซึ่งเส้นทางนี้เคยเป็นจุดรวมไพร่พลของกองทัพไทยและพม่าในสมัยสงคราม ต่อมาในปี 2472 พระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรีของไทย ได้เป็นผู้นำชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธามาร่วมแรงกันสร้างเจดีย์ขนาดเล็กสามองค์ไว้เป็นที่สักการะของคนไทยในสมัยโบราณก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่เขตพม่า ทุกวันนี้ ด่านเจดีย์สามองค์ถือเป็นทางผ่านเข้าออกของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวระหว่างพรมแดนไทย-พม่าที่สำคัญ วันนี้เราจึงตั้งใจจะมาเสียค่าผ่านด่าน 25 บาท แสดงหลักฐานพาสปอร์ตพร้อมกรอกเอกสารให้เรียบร้อย เพื่อจะไปต่อกันที่วัดเสาร้อยต้นในช่วงบ่าย

ข้ามมาสูดกลิ่นอายของชนบทพม่าก็ทำให้เราเหมือนหลุดมาสู่อีกโลกหนึ่งซึ่งก้าวถอยหลังจากความคุ้นเคยไปหลายสิบปี แต่นี่ล่ะคือสิ่งที่เราตั้งใจมาสัมผัสจากทริปนี้ จับรถเครื่องพม่ามาได้ราว 5 ก.ม. ก็มาถึง วัดเสาร้อยต้น ย่างเท้าก้าวแรกเราก็ต้องมนต์ เพราะความขลังของสถาปัตยกรรม เสาไม้สักแดงนี้หากนับดีๆ จะมีอยู่ 105 ต้น แต่ละต้นแกร่งตระหง่านและใหญ่มากขนาด 2 คนโอบ หากมองในแนวทัศนียภาพปนแสงเงาส่องลอดยามบ่ายจะยิ่งขรึมขลัง บวกกับวัตรปฏิบัติของสงฆ์พม่านั้นยังคงความน่าเลื่อมใส ระหว่างที่คิดว่าจะเก็บภาพหน้าจั่วของโบสถ์หลังใหญ่ หรือจะย่ำเท้าไปนับองค์พระปฏิมาพระพุทธเจ้าและคณะสงฆ์ 500 รูป ที่เรียงตระหง่านหน้าแนวทิวเขา สายตาก็พลันเห็นภาพเขียนพุทธประวัติลายเส้นสีสดแบบพม่า จึงหยุดพิจารณาลายเส้นที่เรียบง่าย แต่แฝงความเข้าใจที่ตรงไปตรงมา เป็นเสน่ห์ตามวิถีวัดชนบทน่าชื่นใจ ใช้เวลาพิจารณาจิตตัวเองอยู่ครู่ใหญ่กับการสอบถามพระผู้ใหญ่ผู้ดูแลวัดซึ่งพูดไทยได้คล่องแคล่ว เราก็ต้องนมัสการลา ก่อนจะขึ้นไปเคารพความวิจิตรของเจดีย์วัดเสาร้อยต้น สถาปัตยกรรมพม่าดั้งเดิมอีกแห่งที่งดงาม ถือเป็นการตามรอยวิถีพุทธที่ทำให้เราชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ก่อนข้ามด่านกลับไปสังขละบุรีก่อน 6 โมงเย็น

ด่านเจดีย์สามองค์

กลับสู่สังขละบุรีเย็นนั้นพร้อมฟ้าฝนหม่นมัว เพื่อนใหม่จากเมืองกรุงที่พบกันระหว่างเก็บภาพคุ้งน้ำแควน้อยบนสะพานมอญ เอ่ยชวนไปดูแสงสีเจดีย์พุทธคยาจำลองยามค่ำ เรารีบตกปากรับคำเพราะค่ำนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของทริปหนีเมือง หลังอาบน้ำอาบท่าท้าความหนาว ลงมาทานอาหารค่ำอุ่นๆ เติมพลังที่หมดไปทั้งวัน เราก็ตามไปกับคณะเพื่อนใหม่ หวังว่าอย่างน้อยก็ถือโอกาสสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่หลวงพ่ออุตตมะนำมาประดิษฐานจากอินเดีย เพียงจิตสงบ ปลอดโปร่ง อิ่มเอมกับบุญตาตรงหน้า แม้ขอพรพระให้ช่วยคุ้มครองพวกเราให้เดินทางกลับอย่างปลอดภัย ไม่ต้องอธิษฐานขอมั่งมีใดๆ ก็ถือว่าเราได้กุศลผลบุญทางใจอย่างมหาศาลแล้ว

คืนนั้นจึงได้หลับอย่างเต็มตา แม้ว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องเดินทางกลับเมืองกรุงเพื่อมารับใช้ความวุ่นวายต่อไป แต่สักครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มีโอกาสมาบำบัดกาย บำรุงใจ ในเมืองเล็กๆ ที่เรียบง่าย ก็ถือว่าเราได้ "ให้" ของขวัญอันมีค่าแก่ตัวเองอย่างที่สุด และสัญญากับตัวเองว่าครั้งหน้าจะถือโอกาสย่ำเท้าบุกป่าฝ่าดงไปชมความงามของน้ำตกตะเคียนทองแบบลุยๆ ให้คุ้มค่ากับการที่ได้ค้นหาเมืองในฝันแห่งใหม่ในชีวิตนี้

แว้บหนึ่งระหว่างหันหลังกลับไปมองสังขละบุรีเป็นที่ระลึกก่อนจาก แอบสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เข้ามาแทนที่วิถีชาวบ้านดั้งเดิม ร้านกาแฟเก๋ไก๋แบบคนเมือง...ใครนะช่างคิดที่จะเปิดร้านกาแฟในสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ และอะไรที่ทำให้หลายคนพร้อมใจกันนำไลฟ์สไตล์แบบนั้นเข้ามาฝังตัวที่นี่ ไม่ใช่ว่าร้านกาแฟนั่งเล่นจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่บทเรียนจากปายทำให้เราเห็นว่า การทำอะไรตามใจอยากมากเกินไปของคนที่อยากเอาใจนักท่องเที่ยว หากไม่ควบคุมดูแลบ้าง และคอยแต่จะปรับทุกอย่างให้เก๋ไก๋กลืนวัฒนธรรมชาวบ้านไปหมด อนาคตเราคงไม่เหลือชุมชนชาวบ้านขนานแท้แบบนี้ให้ได้เห็นกันอีก

ความรู้สึกใจหายเล็กๆ เข้ามาเยือนโดยไม่รู้ตัว เมื่อเพื่อนร่วมทางตะโกนแซว "เอ้า รีบดูซะ คราวหน้าอาจไม่เป็นแบบนี้"

เราหวังว่าจะเป็นเพียงแค่คำพูดหยอกล้อ ที่ไม่มีทางเกิดอย่างแน่นอนกับสังขละบุรี

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook