หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน ชวนอยู่น่าน นาน นาน นะ

หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน ชวนอยู่น่าน นาน นาน นะ

หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน  ชวนอยู่น่าน นาน นาน  นะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

น่าน เมืองในอ้อมกอดแห่งขุนเขาทางภาคเหนือที่ได้รับสมญา ล้านนาตะวันออก หรือ หลวงพระบางเมืองไทย แม้จะอยู่ไกลแสนไกล และในอดีตหลายคนคิดว่าเป็นแค่เมืองทางผ่าน...แต่ทุกวันนี้กลับมีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยดั้นด้นเดินทางไปจนถึงเมืองนานเพื่อสัมผัสความงามของวัฒนธรรมและประเพณี ที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้ดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น 


ดังนั้นเมื่อ สนุก! ท่องเที่ยว ได้รับคำเชิญจากนิตยสาร Aday ผมจึงไม่รีรอที่จะตอบตกลงและคว้าเป้ไปยังจุดนัดหมาย ซึ่งทริปนี้เราเดินทางไปน่านแบบชิลล์ๆ ขึ้นเครื่องบินใบพัดเหิรฟ้าบินจากดอนเมือง สู่ท่าอากาศยานน่าน เพียงแค่ชั่วโมงหน่อยๆ

การเดินทางครั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ นิตยสารอะเดย์ a day พาสมาชิกหัวใจสีเขียวกว่า 40 ชีวิตร่วมเดินทางท่องเที่ยวแนวกรีนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด 7 Green Ways (เซเว่นกรีนเวย์) ที่เชื้อชวนให้นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มีหัวใจอนุรักษ์ โดยมีนักร้องนักแสดงหนุ่มสุดแนว เป้-อารักษ์ ร่วมเดินทางไปกับเราด้วย พูดได้ว่าทริปนี้ได้ยินสาวๆ ในก๊วนเพ้อถึงเป้ตั้งแต่ขึ้นเครื่องจนถึงสนามบินน่านเลยทีเดียว แถมนักร้องหนุ่มยังลงทุนหิ้วกีต้าร์ส่วนตัว ไปดีดเพลงเพราะๆ สร้างความสุขให้กับเพื่อนๆ สำหรับกิจกรรมพิเศษครั้งนี้ด้วย

เมื่อไปถึงน่านพวกเราและบรรดาสมาชิกได้เข้าชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน แหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ที่รวบรวมประวัติการก่อร่างสร้างเมือง โบราณวัตถุล้ำค่า และข้อมูลมากมายที่ทำให้เราเข้าในเมืองน่านมากกว่าเดิม

จากนั้นพากันนั่งรถรางชมวัดทั่วตัวเมืองน่าน เห็นแล้วต้องบอกว่าเป็นจังหวัดที่มีวัดเยอะจริงๆ ครับ ทุกแยกทุกมุมเมืองหันไปทางไหนก็เจอวัดเต็มไปหมด ช่างสมกับเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมจริงๆ ทริปนี้ทุกคนได้ไหว้พระขอพรกันหลายวัดจนจำชื่อเกือบไม่หมด เช่น วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดศรีพันต้น วัดมงคล วัดสวนตาล ฯลฯ ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีความงดงามแตกต่างกันไป โดยเฉพาะวัดมงคล ที่ไกด์บอกว่าเป็นวัดที่ใครลงไปขอคู่ เป็นอันว่าสุขสมอารมณ์หมายกันทุกคน และดูเหมือนสมาชิกร่วมทริปหลายคนของเราจะให้ความสำคัญกับวัดนี้เป็นพิเศษ ผมสังเกตุเห็นว่าพวกเขานั่งกันนานมาก ซึ่งเดาไม่ออกว่าอธิฐานอะไรกันบ้าง แต่เชื่อได้ว่าหากคำอธิษฐานเป็นจริงขึ้นมา ต้องมีเพื่อนร่วมทริปกลับมาน่านอีกแน่ๆ

วัดไฮไลท์สำคัญของทริปนี้ต้องยกให้ วัดภูมินทร์ ที่มีจิตรกรรมฝาผนัง กระซิบรักบันลือโลก อันเลื่องชื่อ โดยผมเข้าไปชื่นชมใกล้ๆ อย่างเต็มตาสมกับที่หวังไว้

ตกบ่ายพวกเราไปร่วมทำกิจกรรมสนุกๆ ทำสาหร่ายทอดกรอบ และ กลุ่มทอผ้าจันทร์สมการทอ หลายคนวาดลวดลายการทำสาหร่ายทอด ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทลื้อแห่งบ้านหนองบัวได้รสชาติดีไม่แพ้ต้นฉบับ ในขณะที่ เป้ อารักษ์ ก็ไม่ยอมน้อยหน้าด้วยการลงมือทอผ้าด้วยตัวเอง

ระหว่างทางเราแวะ หอศิลป์ริมน่าน ซึ่งชาวคณะโชคดีที่มีโอกาสได้เจอกับ อาจารย์วินัย ปราบริปู ผู้ก่อตั้งหอศิลป์แห่งนี้แถมยังใจดีพาพวกเราชม นิทรรศการภาพถ่ายจิตรกรรมฝาผนังเมืองน่าน พร้อมให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ของที่มาที่ไปของภาพวาดเมืองน่านแบบไม่มีกั๊ก

ในยามเย็นเราร่วมงานจัดเลี้ยงต้อนรับขันโตก บายศรีสู่ขวัญ ก่อนฟังบทเพลง อยู่น่าน นานๆนะ ซึ่งเป้ อารักษ์ แต่งไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ ตามด้วยเซอไพรต์มอบผ้าที่เป้ทอไว้เมื่อบ่าย เป็นของขวัญให้แก่ผู้ร่วมทริปด้วยการจับฉลาก เสร็จสิ้นงานเลี้ยงหลายคนไม่หนำใจแอบหนีไปเติมพุงกันต่อที่ ร้านของหวานป้านิ่ม ที่มีสารพันเมนูของหวานให้เลือกกินมากมายก่อนกลับเข้าพักกันที่ โรงแรมแกรนด์แมนชั่น นอนฝันดีกันทั้งคืน

เช้าวันที่สอง เรามีโปรแกรมชิลล์ๆ ไปเดินป่าระยะทางสั้นๆ แต่ก่อนออกไปชิมชากันชิลล์ๆ ในยามบ่าย พวกเราได้แวะเติมพลังกันที่ ร้านสายน้ำตะวันออก ซึ่งมีอาหารขึ้นชื่ออย่างข้าวซอย ไก่ทอด และหมูทอดมะแขว่น และขาไก่ฮ่องแต้ มื้อนี้กินกันจนอิ่มแป้พร้อมรบ ก็ได้เวลาไปเดินไปชมไร่ชากัน เดินไปได้ราวสองกิโลเมตร ก็แวะพักกลางป่าชิมอาหารพื้นเมืองที่ปรุงกันแบบหลาม หรือปรุงในกระบอกไม้ไผ่ โดยปูใบตองนั่งล้อมวงกินกันกลางป่า ได้บรรยากาศธรรมชาติจริงๆ

หลังจากอิ่มหมีพีมันดีแล้ว คนนำทางก็บอกว่า เราจะเดินกันเป็นเลขแปด โดยมีปลายทางที่น้ำตกซึ่งเดินทางต่อไปอีกไม่ไกล แต่ปรากฏว่างงานนี้มีผิดแผนนิดหน่อยครับ นอกจากจะระยะทางไม่สั้นอย่างที่ปลอบสมาชิกเอาไว้แล้ว พวกเรายังต้องเดินตัดลำห้วยและปีนหน้าผาไปจนถึงน้ำตก กว่าจะเดินวนกลับมาจนถึงจุดจอดรถก็เรียกเหงื่อจากสมาชิกได้ถ้วนหน้า สมชื่อการเดินทางแบบกรีนๆ ที่หัวใจเติมสีเขียวกันเข้าไปเต็มดวงเลยทีเดียว

จากนั้นเรานั่งรถย้อนลงมายัง หมู่บ้านทำเมี่ยง ซึ่งสมาชิกได้เยี่ยมชมขั้นตอนต่างๆมากมายกว่าจะได้เมี่ยงคำเล็กๆ ที่รสชาติอร่อยลิ้น ตั้งแต่การเลือกใบสดคุณภาพดีมาล้าง ต้ม ผึ่ง หมัก และปรุงรสกันที่ละชิ้น กรรมวิธีทั้งหมดใช้เวลาหลายวันหลายเดือนกว่าจะได้ของอร่อยคำเล็กๆที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีขั้นตอนการเดินทางยาวไกลถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะขั้นตอนการหมักเกลือในโอ่งนั้นคุณป้าบอกว่าถ้าครบ 15 วันก็เปิดฝาออกใช้งานได้ แต่ถ้าต้องการรสชาติเข้าเนื้อก็ทิ้งไว้ได้เป็นเดือนเป็นปีแบบยิ่งนานยิ่งอร่อย

จากนั้นทุกคนก็แวะชิมชาอัสสัมขึ้นชื่อแห่ง บ้านศรีนาป่าน-ตาแวน แก้กระหาย ได้ดูสาธิตการคั่วใบชา ชิมชาขาวและชาเขียวคุณภาพเยี่ยมที่ชงกันร้อนๆจนหลายคนเสียเงินซื้อกลับบ้านกันหลายกล่องจึงเดินทางสู่ เรือนฐิติรัตน์ ที่จัดเต๊นท์ริมหุบเขาไว้รอต้อนรับพวกเรา หลังเอาของเข้าที่พักอาบน้ำกินข้าวเย็นแล้ว ไหนๆก็เป็นคืนสุดท้ายของการเดินทาง จึงจับกลับเดินทางไปเที่ยว ถนนคนเดินเมืองน่าน ที่ละลายทรัพย์หลายคนจนขอดกระเป๋าแลกกับของที่ระลึกพะรุงพะรังไม่ว่าจะเป็น เสื้อยืด โปสการ์ด พวงกุญแจ และงานจักสาน

เช้าวันสุดท้ายพวกเราพากันตื่นเช้ากว่าปกติ เพื่อไปแวะนมัสการ พระธาตุแช่แห้ง พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของชาวเมืองน่านเสริมสิริมงคล แล้วแวะซื้อของฝากกันอีกครั้ง จนนาทีสุดท้าย ก่อนไปเช็คอินที่สนามบินก่อนประตูปิดกันฉิวเฉียด
ทริปนี้พวกเราใช้ทุกนาทีกันในเมืองน่านได้คุ้มค่ามาก รู้สึกได้เลยว่าเวลา 3 วัน 2 คืนที่นี่นั้นน้อยเกินไปจนเพื่อนบางคนแอบดื้อทิ้งตั๋วเครื่องบิน แล้วอยู่ต่อเมืองน่านเสียดื้อๆ งานนี้เรียกได้ว่า อยู่น่าน นานๆนะ สมชื่อทริปนี้จริงๆ

หนาวนี้หากใครกำลังวางแผนไปเที่ยว อย่าลืมลิสต์ชื่อเมืองน่านไว้ในทริปของทุกคนด้วยนะครับ

เรื่องและภาพ: กรกฤษณ์ พิณศรีสุข

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)


ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook.. ได้ที่นี่เลย!!

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ

อัลบั้มภาพ 20 ภาพ ของ หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน ชวนอยู่น่าน นาน นาน นะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook