มาริออน' กางแผนที่ซิ่ง ‘มัสแตงก์' ท่องอเมริกา

เก็บกระเป๋าแพ็กเสื้อผ้าหอบของที่น่าจะคุ้นเคยเพราะเดินทางบ่อย แต่ครั้งนี้กลับทำเอาหนักใจเมื่อ "ฉัน"  "แหม่ม" มาริออน อัฟโฟลเทอร์ จองตั๋วเครื่องบินและพร้อมเดินทางแบบไม่พึ่งพาทัวร์ อาศัยตัวช่วยแค่แผนที่ เท่านั้นจริงๆ อ้อ...ต้องไม่ลืมเตรียมศึกษาสภาพอากาศเอาไว้ให้ดีเพราะหลากเมืองหลายโซนเสียเหลือเกินสำหรับทริป...นี้ มาติดตามกันดีกว่าว่า "มาริออน" เจอกับอะไรบ้าง เพราะการไปเที่ยวอเมริกาครั้งนี้ถือได้ว่าตื่นเต้นที่สุดก็ตอนขับรถเข้าด่านประเทศเม็กซิโก เพราะว่าเดินทางมาที่อเมริกาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เลยหาอะไรที่น่าตื่นเต้นทำเริ่มจากการอยากเช่ารถในฝันคือ "มัสแตง Mustang" เป็นรถประจำชาติอเมริกา

ขึ้นรถปุ๊บก็เริ่มเลย...เปิดแผนที่แล้วก็คลำทางเริ่มจากที่สนามบินกันเลยดีกว่า ปกติเราขับขวา แต่ที่นี่ขับซ้าย ตั้งแต่เริ่มก็เกือบชนหลายที เป็นที่รู้กันดีว่าถนนในซานฟรานซิสโกจะสูงแล้วก็ต่ำเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง "นั่นแหละเหมือนขึ้นรถไฟเหาะไม่มีผิด !" และมาซานฟรานฯ ก็พลาดไม่ได้กับเมนูนี้ต้องไปทานไอติมร้านต้นตำรับนั่นก็คือ Ghirardelli ก็อร่อยดีนะ! อากาศที่นั่นดีมากท้องฟ้าสวยใส เย็นสบายๆ มีแดด แต่ก็ชอบที่สุดเพราะว่าเหมือนไม่หนาวมากไม่ร้อนมากพอดีพอดี แต่ก็ต้องทาครีมกันแดดมากนะ ไม่งั้นเผลอแป๊บเดียวอาจจะเปลี่ยนเป็นผิวสีเข้มได้เลย ชนิดที่ได้...ผิวแทน...คือแทนขาว...หมายถึงดำอ่ะ... มาแทน

จากซานฟรานฯ เราทิ้งสัมภาระไว้ที่โรงแรมแล้วก็ขับรถไป Moterey ที่นี่ดอกไม้สวยมาก ได้มีโอกาสไปใส่ชุด (ที่เห็นในภาพ) เป็นชุดสมัยโบราณของที่นี่ ที่ Monterey เต็มไปด้วยหุบเขาขณะที่ขับก็จะเจอวิวสวยๆ มากมาย จากนั้นมาต่อกันที่สะพาน Golden Gate ถึงจะมาที่นี่บ่อยแต่ก็ชอบทุกครั้งที่ขับรถผ่าน ชอบสีสะพานที่ไม่เหมือนใครในโลก เสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้ไป Alcatraz คุกที่อยู่ใจกลางเกาะที่นี่ อยู่ซานฟรานฯมา 3-4 วันขับรถไปซานดิเอโกประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งที่นี่จุดเด่นคือเรือและเมืองที่ทันสมัย

คงสงสัยใช่ไหมว่าทำไมเรามาที่นี่ เพราะว่าอยากไปเม็กซิโกต่างหาก ระหว่างทางตอนขับรถเข้าไปเฮฮาร้องเพลงสนุกสนานเบิกบาน แต่พอเข้าไปถึง "เม็กซิโก" ปรากฏว่ามันไม่ใช่อย่างที่ฝันไว้เลยคง เพราะเราไม่ได้มากับทัวร์ด้วย แถมราคาของที่นั่นต้องหารแล้วหารอีกทีนะจ๊ะ ในที่สุดเราก็เหนื่อยกันมากเลยตัดสินใจกลับอเมริกา พอกลับมาซานดิเอโกก็ป่วยเป็นไข้อย่างแรง แต่มันต้องเที่ยวต่อทำไงได้เราต้องไป Sea World เพราะที่นี่มีโลมา สัตว์น้ำมากมาย แต่ไอ้ที่งงเนี่ยคือพวกเค้าหลงใหลกับกิ๊งกือบ้านเรามากเอามาจับมาลูบแล้วก็ถามเราว่าจับมั้ย โอ๊...แถวบ้านมีเยอะมาก ก็ไม่มีอะไรมากที่นี่เน้นไปในเรื่องโชว์มากกว่า

วันรุ่งขึ้นก็ขับรถต่อไปเมืองในฝัน Las Vegas เชื่อไหมว่าการขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมเมืองกลางคืนนี่สีไฟมันสวยจนเข้าใจว่านี่แหละ คือการได้พบกับความฝันที่มีจริง เราพักที่ Wynns แต่ละโรงแรมที่ 5 ดาวขึ้นไปจะมีพวกแบรนด์เนมขายชั้นล่าง คือเอาง่ายๆ นะเมืองนี้ก็เล็ก แต่มีร้านหลุยส์เยอะมาก เฉพาะที่นับได้ประมาณ 6 ร้าน Prada อีกไม่รู้กี่ร้าน เห็นคนที่เล่นได้ใช้เงินแล้วก็เสียดาย แต่ไม่แนะนำนะคะ เราแค่ไปดูแต่ไม่เล่นไม่กล้าเสียเงินกับของเหล่านี้ จากนั้นเราก็ไปชมโชว์ ลาสเวกัสไม่ชมโชว์ก็คงไม่ได้ ไปชมน้ำพุ Bellagio ถ้าใครมาเวกัสไม่ไปชมก็ถือว่ามาไม่ถึงเวกัส

เราก็ขับรถจากเวกัสไป แอล.เอ. ที่แอล.เอ.ก็รู้กันอยู่ว่าเป็นเมืองแห่งดารา การแสดง มีสตูดิโอมากมาย เราไปที่ Warner's brothers ค่าเข้าชมก็โออยู่มีคนแนะนำโน่นนี่ ไปชมสถานที่ถายทำซีรีส์ และภาพยนตร์ แต่ก่อนเข้าพนักงานที่นั่นบอกว่า ถ้าเจอดาราก็ขอความกรุณาห้ามถ่ายรูป และส่งเสียงดัง หรือตะโกนเรียกชื่อเด็ดขาด เพราะเค้าจะให้เกียรติดาราเค้ามาก ได้มีโอกาสเข้าไปชมฉากของจริงจากซีรีส์ "Friends" และดูเสื้อผ้าของจริงเรื่อง "Harry Porter" เห็นยานพาหนะของเรื่อง "Bat Man" ซึ่งใช้ได้จริง ชมห้องเก็บพร็อพ ที่นี่เค้ามีให้เช่าพร็อพด้วยนะ มีโคมไฟอันหนึ่ง แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เช่าอาทิตย์ละเจ็ดแสนบาท แต่ใช้เสร็จก็ต้องคืนเจ้าของทันที ก็อยู่แอล.เอ.ไปเรื่อยๆ เพราะช้อปปิ้ง

จากนั้นก็เดินทางบินกลับซานฟรานฯ แล้วก็ไปสิงคโปร์ต่อก่อนจะถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพค่ะ

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)