เก็บตะวัน ชมดาว ลมหนาว ที่ "วังน้ำเขียว"

เก็บตะวัน ชมดาว ลมหนาว ที่ "วังน้ำเขียว"

เก็บตะวัน ชมดาว ลมหนาว ที่ "วังน้ำเขียว"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อ.วังน้ำเขียว สถานที่แสนจะโรแมนติกในยามค่ำคืนสำหรับฉัน บรรยากาศแสนดี แถมยังเป็นแหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก จนฉันอยากจะเก็บอากาศบริสุทธิ์นี้ใส่ขวดแก้วแล้วนำกลับมาฝากคนที่กรุงเทพฯ เสียจริง และที่แห่งนี้ยังมีความงดงามเล็กๆ น้อยๆ แต่ยิ่งใหญ่ในสายตาฉันอยู่ ทั้งช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ยามค่ำคืน และช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นมาทักทาย หรือแม้กระทั่งสายลมหนาวของช่วงต้นปีที่พัดแรงจนตัวสั่น

ผาเก็บตะวัน

เมื่อเลี้ยวรถเข้าสู่ อ.วังน้ำเขียว เราจะเห็นร้านกาแฟ รีสอร์ท บ้านคน ตลาดนัดเล็กๆ เนินเขาน้อยใหญ่ ฝูงวัว แปลงเกษตร และทุ่งดอกหญ้าสีน้ำตาลอ่อนกว้างสุดตา ตลอดสองข้างทาง แม้แสงแดดจะแรงแต่ลมหนาวกลับแรงกว่า ฉันตัดสินใจเลือกบ้านพักไม้เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากจุดหมายสำคัญอย่าง ผาเก็บตะวัน ที่เราจะเดินทางขึ้นไปในช่วงยามเย็น

จากบ้านพักไปผาเก็บตะวัน ระยะทางเพียง 4 กิโลเมตร ผ่านอ่างเก็บน้ำห้วยขมิ้น และเมื่อขึ้นไปถึงผาเก็บตะวัน ใกล้ๆ ลานจอดรถก็จะเห็นลูกหมีควายอายุประมาณ 1 ขวบอยู่บนต้นไม้ ชะเง้อคอมองนักท่องเที่ยวอย่างเหงาๆ เพียงลำพัง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลมันเล่าให้ฟังว่า มีชาวบ้านเข้าป่าแล้วไปเจอมันเข้า ก็เลยสันนิษฐานว่า แม่ของลูกหมีโดนนายพรานยิงตาย เพราะโดยธรรมชาติของลูกหมีจะอยู่ลำพังไม่ได้ ชาวบ้านก็เลยเอามาให้เจ้าหน้าที่ดูแล แล้วรอมันโตพอดูแลตัวเองได้ ก็จะปล่อยคืนสู่ป่า หากอีกสองสามปีข้างหน้ามาแล้วไม่เจอ ฉันก็รู้แล้วว่า มันโตพอที่อยู่ตามลำพังได้แล้ว

แล้วฉันก็เดินกลับมาบริเวณร้านค้าสวัสดิการอุทยานแห่งชาติทับลาน หย่อนเงินเล็กๆ น้อยๆ ลงตู้บริจาคสำหรับค่าอาหารเจ้าหมีตัวนี้ นอกจากจะได้เจอลูกหมีควายแล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมน่ารักๆ อีกอย่างคือ การยิงหนังสติ๊กเมล็ดมะค่าโมง เพื่อทำการปลูกป่า บริเวณผาเก็บตะวัน มีทั้งหนังสติ๊กแบบมือถือ หนังสติ๊กขนาดใหญ่ตั้งริมหน้าผา และมีไม้กอล์ฟ สำหรับคนที่ชื่นชอบการหวด แต่ฉันว่ายิงหนังสติ๊กสนุกกว่า เพราะเมล็ดมันเล็กนิดเดียวเอง ราคาเมล็ดมะค่าโมงถุงละ 10 บาทเท่านั้น ได้ตั้งหลายเมล็ด ซื้อมาหลายถุงยิงไปเพลินๆ รอเวลาพระอาทิตย์ตก

ที่นี่มีจุดถ่ายรูปน่ารักๆ อย่างหลักกิโลเมตรขนาดใหญ่ บนพิกัดสุดเขต อ.วังน้ำเขียว และที่สำคัญยังสามารถนำเต๊นท์มากางนอนได้อีกด้วย มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำสะอาดพร้อม แถมยังมีร้านอาหารของทางอุทยานฯไว้คอยบริการ หรือจะเดินขึ้นหอชมวิวก็สวยงามไม่แพ้กัน

และเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง ประมาณ 17.30 น. พระอาทิตย์สีแดงสุก ค่อยเคลื่อนตัวลงช้าๆ แล้วลับหลังเขาไปอย่างเงียบๆ คนตัวเล็กลงทันตา เมื่อยืนมองพระอาทิตย์แสงสุดท้ายของวัน อากาศเริ่มเย็น เราจึงกลับลงไป แวะหากับข้าวกับปลากินจนอิ่ม แล้วกลับที่พัก

ชมดาวเต็มท้องฟ้า

เมื่อท้องฟ้ามืดลง (คืนเดือนมืด) เรานั่งคุยกันอยู่หน้าระเบียงบ้านอย่างออกรส เวลาผ่านไปจนดึก ฉันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วฉันก็ลิงโลดหัวใจเต้นเร็ว พลางรีบดิ้นตัวออกจากหน้าระเบียงแล้วเดินออกไปที่ลานกางเต๊นท์ บริเวณหน้าบ้าน เพราะฉันเห็นดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า แสงของดาวชัดเจนมาก โชคดีที่บริเวณบ้านพักที่ฉันอยู่นั้น สามารถปิดไฟบริเวณโดยรอบได้ ทำให้เห็นดาวได้ชัดขึ้นกว่าเดิม แม้ลมจะแรงจนจมูกและเท้าเย็น แต่การที่ได้นอนลงบนพื้นหญ้านุ่มๆ แล้วมองทะเลดาวแบบนี้ มันเกินคำบรรยายจริงๆ หนาวแค่ไหนก็ยอม จนอดที่จะคิดถึงคนที่อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ใกล้กรุงเทพฯ เพียงไม่กี่ร้อยกิโลเมตรจะมีสถานที่ที่นอนดูดาวแบบนี้ได้อย่างจุใจ

ผาชมตะวัน

เช้าตรู่ลมหนาวยังพัดแรง พัดมาทีไรขนลุกเป็นระวิงทุกที ฉันตื่นมาเพื่อตามหาพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า เมื่อวานเห็นแวบๆ ระหว่างทาง ว่ามีผาชมตะวัน ก็เลยขับรถตามหาผาชมตะวันอยู่เป็นนาน ซึ่งที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นจุดหลักเหมือนผาเก็บตะวัน มันเป็นเวิ้งกว้างบนเนินลูกเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยทุ่งดอกหญ้ากว้างๆ ที่กั้นด้วยรั้วไม้สีขาวเตี้ยๆ เป็นเขตแดน พอเราเข้าไปยืนท่ามกลางดอกหญ้าที่ขึ้นสูง แล้วมีลมพัดดอกหญ้าไหว พลางคิดขึ้นมาทันทีว่าตัวเองเป็นนางเอกมิวสิกเพลง และไม่ไกลจากจุดที่กำลังอินกับการเป็นนางเอกอยู่นั้น มีโบสถ์คริสต์ขนาดย่อมตั้งอยู่ เป็นเหมือนฉากในละครสักเรื่อง น่ารักมากเลย

อ้อยอิ่งอยู่กับบรรยากาศ จนแดดแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็กลับที่พักอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ เสียที ขากลับแวะซื้อของฝากอย่าง น้ำองุ่นสด ผักออร์แกนนิกส์นานาชนิด องุ่นสดไร้เม็ด ลูกพลับหวานๆ เห็ดแปรรูป และผักอื่นๆ ฝากคุณที่บ้านเสียหน่อย เพื่อให้รู้ว่า เราคิดถึงพวกเขาตลอดเวลา

ฉันเองอยากจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นไปฝากคนกรุงเทพฯ อาจทำได้โดยการถ่ายภาพมาให้ชมบ้าง แต่ดาวเต็มท้องฟ้านั้น ฉันไม่สามารถเก็บมาให้ใครได้จริงๆ เว้นแต่ว่า ต้องมาดูด้วยตาของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงคืนเดือนมืด อากาศหนาวๆ แบบนี้เห็นทีต้องสะกิดคนข้างๆ ไปนอนดูดาวด้วยกันแล้วล่ะ

การเดินทาง

ใช้รถยนต์ส่วนตัวจะสะดวกที่สุด จากกรุงเทพฯ ขึ้นมอเตอร์เวย์ แล้วลง จ.ฉะเชิงเทรา วิ่งเส้นทางหลวง 304 มุ่งหน้าไปจนถึงสี่แยกกบินทร์บุรี แล้วตรงขึ้นเขาอีกประมาณ 50 กิโลเมตร จะผ่านศาลเจ้าพ่อ บริเวณนี้จะมีป้ายบอกไปผาเก็บตะวันเป็นระยะๆ จากนั้นตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร สังเกตซ้ายมือเป็นตำรวจทางหลวง จากนั้นก็กลับรถ พอกลับรถมาสังเกตโรงเรียนบุไผ่ ตรงไปอีก 500 เมตร ก็จะเจอกับป้ายบอกว่าผาเก็บตะวัน เลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้วตรงไปอีก 15 กิโลเมตร ก็จะถึงผาเก็บตะวัน

คิวรถตู้ : ข้างๆ โรงพยาบาลราชวิถี ค่ารถคนละประมาณ 190 บาท มาลงที่ศาลเจ้าพ่อ แล้วติดต่อทางรีสอร์ทที่ทำการจองไว้ให้มารับ หรือสามารถขึ้นไปผาเก็บตะวันได้โดยเริ่มที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อ.วังน้ำเขียว ค่าบริการไปกลับ 200 บาท/คน (ระยะเวลาการเที่ยวชม 1 ชั่วโมง)

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อ.วังน้ำเขียว โทร.087 875 4321

เรื่อง : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ / ภาพ : นวมินทร์ กุลประดิษฐ์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook