สะหวันนะเขต

สะหวันนะเขต

สะหวันนะเขต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บางเวลาที่เราได้อยู่กับตัวเรา เพื่อตามหาตัวเรา

     กลิ่นฉุนปนหอมลอยเข้ามาในโพรงจมูกเข้าอย่างจัง “สงสัยใครคงสั่งผัดกระเพราเข้าแล้วซินะ” ผมรำพึงในใจเมื่อเดินผ่านร้านขายอาหารตามสั่งในสถานีขนส่งหมอชิต 2  ถึงแม้ผัดกระเพราจะเป็นอาหารจานโปรด แต่ในเวลานี้ผมกลับรู้สึกเบื่อเมนูนี้  อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงเวลาที่ท้องไม่ยังไม่ว่างและสภาพจิตใจกำลังพะวงอยู่กับจุดหมายปลายทางในทริปนี้ 

     เดินไปเรื่อยๆ วนไปวนมาอย่างคนไร้จุดหมาย แต่ภายในสมองกลับสับสนไม่ต่างกับผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า ณ ที่แห่งนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักใคร ไม่ค่อยมีใครมีน้ำใจให้ใคร ไม่ค่อยมีใครที่จะหวังดีกับใคร  จะเดินหรือจะนั่งเกือบทุกลมหายใจเป็นต้องมีแต่คำว่า “ระวังตัว”  หลายคนมีจุดหมายปลายทาง  หลายคนนั่งคอยเวลา  หลายคนนั่งฆ่าเวลาอย่างไม่ผิดกฎหมาย และอาจจะมีเพียงคนเดียวคือผม ที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางของตนเอง 

      เชียงใหม่…เคยไปบ่อยแล้ว  แม่ฮ่องสอน…ไกลไปมั้ง  เชียงราย…คงต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวถึงจะสะดวก  หนองคาย…ก็พึ่งไปมาเมื่อสองเดือนที่แล้ว  นครพนม…มีเพื่อนอยู่ที่นั่นเยอะเหมือนกัน แต่อารมณ์นี้อยากไปลุยคนเดียว  อุดร…เจริญและทันสมัยไปมั้ง  อุบล…นี่ยิ่งไปบ่อยเลยละ  มุกดาหาร…อืม…น่าสน จังหวัดนี้แหละที่เรายังไม่ค่อยได้ไป ถ้าไปแล้วจะไปเที่ยวที่ไหนในจังหวัดนี้ดีล่ะ? 

      762 บาท สำหรับค่าเดินทางสู่จังหวัดมุกดาหารโดยรถปรับอากาศวีไอพี 24 ที่นั่ง ของ บขส. ออกจะหรูหราเกินฐานะไปสักหน่อย  แต่ทว่าซื้อความสบายบนเบาะใหญ่ปรับนอนได้มากองศาก็ถือว่าเกือบคุ้ม  ผมไม่รู้ว่าอีกสองวันข้างหน้าจะต้องพบเจอกับสถานที่และสภาพแวดล้อมแบบไหน  ยิ่งเป็นการเดินทางแบบไร้จุดหมายในทริปนี้ด้วยแล้ว  การดูแลตัวเองให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอถือเป็นเรื่องจำเป็น 

      21.00 น. รถออกตรงเวลาเป๊ะ  รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่คนนั่งข้างๆ เป็นสาวผิวขาวหน้าตาแฉล้มแช่มช้อย เธอคงมีจุดหมายอยู่ที่จังหวัดมุกดาหารเช่นเดียวกัน  ผมอยากจะยิ้มให้แต่ก็เขินเสียเหลือเกิน เลยต้องหันไปยิ้มกับกระจกและแสงไฟข้างทางแทน  และเธอเองก็คงจะเขินเหมือนกัน หรือคิดอีกอย่างเธอก็คงจะหวาดระแวงชายแปลกหน้าที่ดันมาซื้อตั๋วนั่งอยู่ข้างเธอ  คืนนี้บนรถทัวร์ผมจึงหลับไปแบบเกร็งๆ โดยที่จะพยายามไม่กรนและไม่สัปหงกไปซบไหล่อันนุ่มนิ่มหอมกรุ่นชวนพิศมัย 

      ช่วงเวลา 10 ชั่วโมง บนทัวร์แสนสบายเพราะเบาะใหญ่แต่จิตใจนั้นแสนจะอึดอัด  10 ชั่วโมง แล้วซินะที่ผมปิดโทรศัพท์หนีความวุ่นวายจากเมืองสับสน  มาคิดดูถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนนั้นผมยังไม่มีโทรศัพท์มาเหน็บเอว ก็ยังสามารถใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุขได้  มีธุระด่วนก็เดินไปหาตู้โทรศัพท์  ไม่ต้องมีใครมาโทรตามงานหรือตรวจสอบให้รายงานตัวว่าอยู่ตรงไหนของโลกที่ใกล้แตกใบนี้  ที่สำคัญไม่ต้องรับคำสั่งหรือคำขอร้องจากใคร ช่วงเวลานั้นและตอนนี้ช่างเป็นช่วงเวลาวิเศษเสียจริง 

      การเดินทางท่องเที่ยว คือ การใช้ชีวิตให้แตกต่างไปจากวิถีชีวิตของตนเองในทุกวัน  ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง แต่นั่นก็คือการไปพักผ่อน ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สัมผัสได้จริง ตัวหนังสือ ภาพ หรือคำบอกเล่าผ่านอุปกรณ์โสตต่างๆ ก็ไม่อาจอธิบายได้อย่างถึงรส  เพราะฉะนั้นการเดินทางท่องเที่ยวมันจึงเป็นอมตะ ไม่มีวันจบสิ้น ไม่มีเส้นทางสิ้นสุด  ไม่ว่าเราจะเดินตามรอยใคร หรือใครจะเดินตามรอยเรา ความรู้สึกที่ได้นั้นล้วนแตกต่างกันออกไป   ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน ถ้าจะมองให้บวกทุกที่ก็มีข้อดี  ถ้าจะมองให้ลบทุกที่ก็มีข้อเสีย  ผมจึงเลือกเดินทางสายกลาง โดยการไม่คาดหวังกับอะไรเป็นการล่วงหน้า  เมื่อหวังมากแล้วผิดหวัง คนเรามักจะปวดร้าว หากหวังน้อยแล้วได้เกินหวังเรามักจะยิ้มได้เสมอ

 

      ผมเลือกร้านขายก๋วยจั๊บญวน ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี บขส.มุกดาหาร  เป็นร้านอาหารมื้อเช้ามื้อแรกในเมืองที่เงียบสงบ  สัมภาระที่ติดตัวมาคือเป้เสื้อผ้าที่หนักพอสมควร 1 ใบ และกระเป๋ากล้องอีก 1 ใบ ทำให้ไม่สามารถเดินเลือกร้านอาหารได้ไกลนัก

      นอกจากสัมภาระที่ติดตัวมาก็มีหนังสือพ๊อกเก็ตบุ๊คแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดมุกดาหาร ที่จัดทำโดยนายรอบรู้นักเดินทาง อีกเล่มที่ซื้อไว้ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อในสถานีขนส่งหมอชิต 2 นับว่าเป็นหนังสือดีมีประโยชน์สำหรับนักเดินทางมาก ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนในประเทศไทย เขาก็จะเขียนแนะนำไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ด้วยวิธีการเดินทางไปสำรวจเส้นทางจริงด้วยตนเอง โดยไม่ใช้วิธีการไปก๊อปปี้ข้อมูลใครที่ไหนมาลง ให้เกิดเป็นขยะซ้ำซากเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งรวมไปถึงเว็บไซต์ของเขาอีกด้วย ที่เก็บข้อมูลแล้วนำมาเขียนด้วยตนเอง อยากจะแนะนำนักเดินทางให้ลองไปหาซื้อมาอ่านกัน หรือ จะเข้าชมเว็บไซต์ของเขาก็ได้ที่ www.nairobroo.com (แล้วจะติดใจ)  

      ก๋วยจั๊บญวนเส้นขาวเหนียวหนึบหนับหมดเกลี้ยงไปทั้งถ้วย มันมีรสชาติอร่อยทั้งที่ผมยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเหมือนทุกเช้า  หลังจากนี้ก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ ผมเริ่มเข้าใจชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เขาเรียกกันว่า “ไร้จุดหมาย” โลกใบเบี้ยวในใจเริ่มว่างเปล่า กลับมาที่ บขส. อีกครั้ง กลับมาเพื่อตั้งต้น ตั้งสติ แล้วเริ่มวางแผนให้กับชีวิตอิสระ 3 วันที่เหลือจากนี้ 

      มีคนขับรถมอเตอร์ไซต์ดัดแปลงเป็น 3 ล้อ สองสามคนเข้ามาทักทาย สอบถามว่า “จะไปไหน” ผมตอบ “ก็ยังไม่รู้” เขาทำหน้างงๆ แล้วเดินจากไปทักทายคนอื่น  ที่สถานี บขส. มุกดาหาร ยิ่งสายก็ยิ่งเงียบสงบ ผู้คนเริ่มน้อยลง เขาเหล่านั้นคงเดินทางไปยังจุดหมาย รถสองแถวเขียนข้างรถว่าไปอำเภอคำชะอี แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ทำให้ผมนึกถึงงานเขียนเรื่องนักเลงตราควายของท่านคำพูน บุญทวี นักเขียนชาวจังหวัดยโสธร ที่ได้รับรางวัลซีไรท์เป็นคนแรกของไทยจากผลงานเขียนนวนิยายเรื่องลูกอีสาน 

      งานเขียนเรื่องนักเลงตราควาย มีฉากที่กล่าวถึงอำเภอคำชะอีไว้อย่างโดดเด่น ในหลายปีก่อนนั้นที่ผมได้อ่านทำให้รู้สึกอยากเดินทางไปท่องเที่ยวในอำเภอที่ท่านคำพูนได้ประพันธ์ถึง  บ้าน ต้นไม้ ชีวิตเรียบง่ายปะปนไปด้วยความจริงใจของชาวอีสานล้วนมีเสน่ห์ชวนหลงใหล  ถึงแม้ผมจะไม่ได้ตัดสินใจไปอำเภอคำชะอีในวันนี้ แต่ได้มาเห็นรถสองแถวที่กำลังรอคอยผู้โดยสารกลับไปยังอำเภอที่เคยใฝ่ฝัน นั้นทำให้รู้สึกปิติได้ไม่น้อย 

      8 โมงเช้าแล้วซินะ นี่ถ้าหากอยู่บ้านก็คงได้อาบน้ำเช้าเรียบร้อยไปแล้ว พลิกหนังสืออ่านไปมาพลันไปสะดุดตาที่สะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาวแห่งที่ 2 ....น่าสนใจแฮะ.... ถ้าจะได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่อยู่เพียงแค่เอื้อมจากตรงนี้…โชคดีที่ทางจังหวัดมุกดาหารได้เปิดให้บริการรถโดยสารระหว่างประเทศ  โดยให้บริการจากสถานี บขส.มุกดาหาร มุ่งหน้าสู่แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว ทุกวัน  ผมรีบเดินไปติดต่อซื้อตั๋วโดยสาร ด้วยค่าโดยสาร 45 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมผ่านแดน 40 บาท (ผมมี Pass Port) แต่ถ้าทำหนังสือผ่านแดนชั่วคราวแบบ Borderpass  ก็จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย และใช้ควบคู่กับบัตรประชาชนพร้อมรูปถ่าย  การใช้ Pass Port จึงสะดวกสบายกว่าเยอะ…เป็นอันว่า ผมหาจุดหมายปลายทางของทริปนี้ได้แล้วซินะ 

      ไม่นานรถโดยสารระหว่างประเทศก็ออกจากท่า ช่วงนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ดูวิชีวิตของชาวมุกดาหารไปเรื่อยๆ  หากคุณเป็นคนในจังหวัดนี้คงไม่รู้สึกแปลกที่จะได้รู้สึกว่า ทุกสิ่งอย่างในเมืองมุกดาหารเป็นไปแบบเรื่อยๆ ไม่รีบเร่ง รถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซต์เขาก็ขับกันไม่เร็วนัก บรรยากาศตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงช่วงสายเป็นไปแบบสบายๆ นึกแล้วก็อิจฉาชาวมุกดาหารที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่สงบงามริมฝั่งโขง  ซึ่งแตกต่างกับวิถีชีวิตของคนในเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิง…กลับมาคิดถึงตัวเราว่า เรานั้นเลือกอยู่ไม่ถูกที่ไม่ถูกทางหรือเปล่า ครั้นจะเลี้ยวหันหลังกลับก็เดินทางมาไกลเสียแล้ว หรือว่าเราไม่กล้าที่จะเดินกลับไปกันแน่…

      การเดินทางข้ามประเทศถึงแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ เพียงแค่ข้ามแม่น้ำโขง ก็ต้องผ่านด่านตรวจคนออก และเข้าเมือง พิธีการนั้นไม่ยุ่งยาก แค่ลงมาจากรถและกรอกเอกสารผ่านแดนอีกนิดหน่อย เจ้าหน้าที่ทำงานตรวจตราเอกสารพร้อมสัมภาระ หากไม่พบสิ่งผิดกฏหมายก็เป็นอันว่าผ่านออกและเข้าประเทศไปได้อย่างสบาย  

     รถโดยสารระหว่างประเทศ มาจอดหมดระยะที่สถานีขนส่งของแขวงสะหวันนะเขต  ผมเริ่มมึนงงเพราะไม่รู้จะไปไหนต่อ  สิ่งแรกที่คิดได้ตอนนั้นคือต้องหาที่พักราคาไม่สูงนักเพื่อพักผ่อนเอาแรง ก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยวต่อไป

     เดินๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ผ่านตลาดที่เขาเรียกกันว่า ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนศรีสว่างวงศ์ ดูท่าทางจะเป็นตลาดที่มีความใหญ่ที่สุดของเมือง สินค้าที่นำมาขายกันก็ได้แก่ อาหารสด อาหารท้องถิ่น เครื่องใช้ไฟฟ้าจากประเทศจีน  เสื้อผ้า และอีกมากมายสารพัด  ผมมารู้ภายหลังว่า สาเหตุที่เขาเรียกว่าตลาดสิงคโปร์นั้นเพราะว่า ประเทศสิงคโปร์เคยให้เงินช่วยเหลือในการก่อสร้างตลาดแห่งนี้แทนตลาดเก่าในตัวเมืองนั่นเอง 

     ผมเดินต่อไปไกลพอสมควร เดินไปก็ถามชาวเมืองสะหวันนะเขตไปเรื่อยๆ ว่า ที่พักราคาถูกๆ นั้นพอจะหาได้แถวไหน หลายคนชี้ให้ไปทางริมแม่น้ำโขง ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็เป็นจังหวัดมุกดาหารที่ผมจากมานั่นแหละ  และในที่สุดสองเท้าที่ติดตัวมาได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์และสมบุกสมบัน (รู้งี้นั่งสามล้อเครื่องมาดีกว่า) ที่พักชื่อ NONGSODA GUESTHOUSE  ชื่อเหมือนน้องในที่ทำงานผมเลยนะเนี่ย  ได้รับเกียรติจากผมในการเลือกเข้าไปพักผ่อน ด้วยราคาเพียง 300 บาท/คืน แถมเป็นห้องแอร์ซะด้วย ซำบายข้อยละมื้อนี้ เข้าห้องอาบน้ำนอนหลับสักพัก แล้วอย่างอื่นค่อยว่ากัน

นุ บางบ่อ...เรื่อง / ภาพ
25 ก.พ. 2553

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
สะหวันนะเขต (ตอนจบ)

 

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ

อัลบั้มภาพ 15 ภาพ ของ สะหวันนะเขต

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook