ปีนป่ายสู่ดอยสวรรค์ ลานพฤกษา…ภูสอยดาว (ตอนจบ)

ปีนป่ายสู่ดอยสวรรค์ ลานพฤกษา…ภูสอยดาว (ตอนจบ)

ปีนป่ายสู่ดอยสวรรค์ ลานพฤกษา…ภูสอยดาว (ตอนจบ)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

2...
     


     เสียงพูดคุยจากเต็นท์ข้างๆทำให้ผมตื่น อากาศเย็นและชื้นมากจนมีหยดน้ำฉ่ำเกาะบนฟลายชีทที่กางไว้เหนือเปลเพื่อกันลมและฝน หากเอามือไปแตะจะเปียกหยดติดมือมาด้วย ตอนนี้ผมรู้สึกหนาวลึกไปถึงกระดูก เวลานี้บรรยากาศรอบตัวยังมืดอยู่คงจะราวๆ ตีห้า ผมเห็นนักเดินทางกลุ่มอื่นลุกๆ นั่งๆ ตรงบริเวณแค้มป์ของตัวเอง แสดงว่ามีคนตื่นเช้าหรือหนาวเช่นเดียวกับผม 

 

    เมื่อฟ้าเริ่มกระจ่าง หยดน้ำเกาะบนยอดหญ้าดอกหงอนนาคยังไม่ตื่นจากการหลับใหล หมอกขาวหม่นปกคลุมทั่วทั้งบริเวณจนเห็นสนสามใบเพียงเงาลางเลือนกลางสายหมอกเหมือนเมืองในฝัน ผมเดินฝ่าความเย็นกะว่าไปสำรวจหามุมถ่ายภาพบริเวณจุดชมวิวเมื่อฟ้าสว่างกว่านี้ ทว่าเหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง สายฝนได้โปรยปรายลงมาอย่างหนักจึงกลับไปนั่งๆ นอนๆ เล่นเพื่อรอคอยเวลา ซึ่งทุกอย่างอยู่นอกเหนืออำนาจการคาดเดา กำหนดกะเกณฑ์ ฟ้าจะอำนวยให้การรอคอยของเราสัมฤทธิ์ผลหรือย้อนกลับมาลงดาบประหัตประหารความตั้งใจนั้นให้จบสิ้นไป...ฟ้าเท่านั้นที่รู้และตอบได้ 

     เผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีจากเสียงเท้าเดิน และเสียงพูดคุยกันของเพื่อนนักท่องเที่ยวที่กางเต็นท์อยู่ฝั่งตรงข้ามเดินผ่าน บางคนมองผ่านลอดฟรายชีทเข้ามา คงสงสัยอะไรสักอย่างหนึ่งหรือแอบอิจฉากับที่นอนของเราก็ไม่รู้ได้...แต่เอาเป็นว่าจะช้าอยู่ใยเมื่อแสงแดดหลังฝนยามเที่ยงวันเริ่มสาดส่องลอดหมอกเมฆลงมา พร้อมกับหงอนนาคตื่นจากหลับนอนเบ่งบานเต็มทั่วทุ่งลานสนอยู่ขณะนี้  ไปเถอะไอ้เพื่อนยาก ไปรัวลั่นชัตเตอร์บันทึกภาพให้สมใจ  
 

    บทเรียนจากธรรมชาติสอนให้เรารู้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงไม่เพียงค้นหาในตำรา หรือฟังใครเขามา หากต้องเรียนรู้และทำด้วยตัวเอง อาจเจอะเจออุปสรรคบ้าง  แต่อย่าลืมว่ายังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายในโลกนี้ให้เราได้เรียนรู้ ค้นหาทั้งชีวิตก็อาจจะยังไม่หมด เหมือนเช่นวันนี้ธรรมชาติสอนผมอย่างหนึ่งว่า หากจะถ่ายภาพทิวเขา หรือดอกไม้ต้องรอเวลาเหมาะจึงจะดี อย่างในสภาพอากาศแบบนี้คงต้องรอเวลาสายแก่ๆ หน่อยจึงจะเห็นดอกหงอนนาคบานสะพรั่งทั่วทุ่ง 

     พระอาทิตย์ส่องสว่างขึ้นมาอยู่เหนือยอดเขาให้เห็นเป็นครั้งแรกของวัน พวกเรามุ่งไปยังจุดชมวิวอีกครั้ง “พี่ๆ ดูนั่นซิ ธารหมอกสวยมากๆ”   ผมมองหันหลังกลับไปยังยอดภูสอยดาวตามคำพูดของเธอ ธารหมอกขาวพิสุทธิ์ไหลถาโถมลงมาจากแผ่นผาสูงตระหง่านเหมือนธารน้ำ เป็นภาพที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เป็นความงดงามที่ลงตัว  เราใช้เวลาพักใหญ่เดินสำรวจตามเส้นทางที่ถูกกำหนดขึ้น หากเดินออกนอกเส้นทางจะเป็นการทำลายธรรมชาติที่สวยงามและอาจหลงทางได้ โดยเฉพาะเดินหลุดเข้าไปในฝั่งลาวที่อยู่ใกล้กัน  ปัจจุบันมีหลักปักเขตเด่นชัดไว้ ตรงหลักเขตด้านหนึ่งแสดงเขียนประเทศลาวส่วนอีกด้านประเทศไทย...  “เพียงแค่ก้าวอ้อมหลักเขตไปก็ได้ชื่อว่า ได้เที่ยวเมืองนอกกับเขาแล้ว” ทีมงานท่านหนึ่งพูดขึ้น  

  
    ปีนี้โชคดีได้พบรองเท้านารีอินทนนท์ (Paphiopedilum villosum (lindl) Stein.) ถึงแม้จะยังออกดอกไม่มาก หากปกติแล้วจะออกดอกช่วงปลายๆ ปี ซึ่งมีอยู่หลายกอเชียวแหละ รองเท้านารีอินทนนท์เป็นกล้วยไม้ป่า กลีบหนาสีเขียวอมเหลือง และแดง จุดเด่นอยู่ที่ปากดอกลักษณะเป็นถุงลึกสีเหลืองอมน้ำตาล  ตลอดจนพรรณไม้เล็กๆ บริเวณหุบเขาใกล้ห้วยสายทิพย์ตอนต้น โดยรองเท้านารีอินทนนท์จะอยู่ในเขตประเทศลาว สำหรับช่วงฝนเช่นนี้ดอกไม้ที่โดดเด่นที่สุดบนยอดเขา คือ หงอนนาค หรือหญ้าหงอนเงือก (Murdannia giganteum (Vahl) G. Bruckn.) ทางใต้จะเรียกน้ำค้างกลางเที่ยง ที่ชูช่อบานสะพรั่งอวดโฉม มีทั้งดอกสีม่วงอ่อนและม่วงน้ำเงิน มีเกสรสีเหลือง เช้าจะหุบดอกแต่จะบานเมื่อมีแสงแดดจัด ส่วนล่างของดอกมักจะมีหยดน้ำติดอยู่มีให้เห็นทุกดอกแม้ในเวลาเที่ยงที่แดดแรงก็ตาม มีมากราวเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม ภูสอยดาวคงจะเป็นทุ่งดอกหงอนนาคใหญ่ที่สุด เช่นเดียวกับทุ่งดอกกระเจียว ชัยภูมิ หรือทุ่งทานตะวัน สระบุรี-ลพบุรี ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีดอกกุง สีเหลืองสดชูช่อยาวคล้ายก้านธูป ดอกสาวสนม ดอกหรีด ดอกฮอมดง ดอกเบญจมาศดอก ฯลฯ แข่งกันอวดโฉมโดยมีสนสามใบหรือสนเขา (Pinus kesiya Royal ex Gordon) ยืนต้นสลับอยู่เต็มลาน 

 

    ผมชอบรูปร่างของมัน แม้จะลำต้นจะไม่ใหญ่มากแต่สูงชะลูดไปแผ่กิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างบนเรือนยอด กิ่งก้านคดงอไม่เหมือนกันซักต้น  ริ้วลายของเปลือกที่มีรอยแตกล่อนคล้ายสะเก็ดใหญ่บ้างเล็กบ้างเหมือนร่างแห มีลูกสนร่วงอยู่เกลื่อนไปทั้งลาน ที่สำคัญไม้เกี๊ยะซึ่งเอามาจากลำต้นสนมีน้ำมันหากผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ ใช้เป็นเชื้อก่อไฟติดชั้นดี (แต่ก็อย่าเอามาเลย เพราะเท่ากับว่าต้องต้นโค่นต้น ทำลายมันเชียวครับ) 

3....
     บนลานสนในพื้นที่กว่า 1,000ไร่ พบแต่สิ่งที่สวยงามหลากหลาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมนึกย้อนไปเมื่อราว 17 ปีก่อน นั่นก็คือ บังเกอร์ซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรม ร่องรอยของอดีตที่ปัจจุบันถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกทุ่งหญ้ารกชัฏ ราวปลายปี 2530 ดินแดนแถบนี้เป็นสมรภูมิอาบไปด้วยเลือดของคนสองฝ่ายกับปมความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทยและลาว หรือที่เรียกว่า “ ยุทธภูมิร่มเกล้าและเนิน 1428 ”  ซึ่งประเทศลาวอ้างกรรมสิทธิ์ว่าคือเมืองบ่อแตน แขวงไชยบุรี ประเทศลาว ในขณะไทยเราเรียกว่า บ้านร่มเกล้า  สงครามและความสูญเสียจึงบังเกิดขึ้น ตอนนั้นผมอายุเพิ่งสิบกว่าปี ยังจำความได้ถึงข่าวคราวการต่อสู้ และไม่คิดว่าในวันหนึ่งจะได้มายืนอยู่บนพื้นที่สีแดงที่ปัจจุบันทาทาบไปด้วยสีสันความงามของแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อแห่งหนึ่งในเมืองไทย 

 
    หากเคยติดตามประวัติศาสตร์คงพอจะจำได้ว่า ความขัดแย้งเช่นนี้เคยมีมาก่อนหน้าด้วยซ้ำ เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 2515-2523  ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หรือเรียกตัวเองว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาล เป็นชนวนที่ทำให้คนไทยต้องเข่นฆ่ากันเอง ภูสอยดาวเคยเป็นฐานที่มั่นและเส้นทางเชื่อมต่อจากเขาค้อ ภูหินร่องกล้า ภูเมี่ยงและเชื่อมต่อไปยังประเทศลาว ถึงจะไม่เป็นที่รู้จักหรือกล่าวขานถึงเหมือนดังเช่นภูหินร่องกล้าก็ตาม จนเหตุการณ์ได้ยุติลงในปี พ.ศ. 2525 และอีกครั้งในปี 2530 ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ภูแสนสวยแห่งนี้จึงถูกปิดบังเป็นเสมือนดินแดนต้องห้ามมาตลอดเนื่องด้วยความปลอดภัยและพื้นที่ยังหาข้อยุติไม่ได้

    จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2533 ได้มีการสำรวจโดยสำนักงานป่าไม้เขตพิษณุโลก เห็นถึงสภาพสวยงามของธรรมชาติทั้งน้ำตกและป่าเขา ได้จัดตั้งเป็นวนอุทยานภูสอยดาวมีพื้นที่เพียง 20,000 ไร่ ต่อมาจึงได้สำรวจเพิ่มเติมในเขตอำเภอน้ำปาด อุตรดิตถ์ และป่าภูสอยดาว อำเภอชาติตระการ พิษณุโลก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2537  ได้มีการจัดตั้งเป็นอุทยานฯ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 125,110 ไร่ (199 ตารางกิโลเมตร) การเดินทางสู่ลานสนบนเนื้อที่กว่าพันไร่ จึงเริ่มต้นขึ้น ร่องรอยของความขัดแย้งจางหายไปสิ้น เหลือเพียงบังเกอร์เก่าผุรอวันเสื่อมสลาย  นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ Unseen Thailand  เส้นทางเดินถูกจัดทำไว้อย่างสะดวกสบายกว่าช่วงแรกๆ ที่ว่าสะดวกสบายไม่ได้หมายความว่าไม่ลำบากนะครับ แต่ตรงไหนชันมากๆ อาจมีราวไม้ให้จับ ทำเป็นขั้นบันได หรือดายหญ้าตรงทางเดินให้ไม่รก ซึ่งอย่างนี้สำหรับผมเรียกว่าสบายแล้วสำหรับการเที่ยวป่าเขา 
 
 
   สำหรับจุดนิยมไปตั้งแค้มป์กันคือ บริเวณความสูง 1,633 เมตร หรือเรียกว่า ลานสนสามใบ ส่วนยอดภูสอยดาวสูงถึง 2,102 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งมีความสูงเป็นอันดับ 4 ของไทย  ปัจจุบันได้มีการสำรวจและสามารถขึ้นไปบนยอดได้ใช้เวลาราวสามสี่ชั่วโมง การขึ้นไปเที่ยวชมต้องติดต่อขออนุญาตทางอุทยานฯ เสียก่อน ช่วงฤดูหนาวจนถึงต้นปีเป็นช่วงเหมาะสมที่สุด เพราะท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่งไม่มีเมฆหมอกปกคลุมมากนัก และเส้นทางไม่ลื่น ปลอดภัยต่อการเดินขึ้น

4....
      วันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ ช่วงเช้าเราเลือกเข้าไปชมและถ่ายภาพน้ำตกสายทิพย์ น้ำตกชื่อดังของสถานที่แห่งนี้ โดยความโดดเด่นของน้ำตกสายทิพย์ ไม่ได้อยู่ที่ความอลังการใหญ่โตเหมือนน้ำตกแห่งอื่นๆ หากด้วยเป็นน้ำตกสายเล็กๆ อยู่ท่ามกลางความเขียวสดชุ่มชื้นของมอสและตะไคร่น้ำเกาะตามแก่งหิน ตัดกับน้ำสีขาวใสสะอาด ไหลลดเลื้อยกระทบกับโขดหินเป็นเชิงชั้นอย่างลงตัว โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนจนถึงต้นหนาวจะมีปริมาณน้ำมาก สวยงามที่สุด ส่วนในปลายฤดูหนาวถึงแล้ง น้ำจะน้อยจนถึงแห้ง น้ำตกมีด้วยกันประมาณ 7 ชั้น  แต่จริงแล้วมีมากกว่าเพราะสายธารทิพย์จะไหลลงไปเรื่อยๆ ตามระดับความสูงจนสู่พื้นลานไปบรรจบเป็นลำน้ำภาค แต่ด้วยเส้นทางต่อไปทางค่อนข้างอันตราย ไม่มีเส้นทางเดินแน่ชัด และอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นเพียงชั้นเตี้ยๆ ไม่คุ้มค่าแก่การเดินลงและเดินกลับ

 
    เส้นทางเดินลงน้ำตกจะอยู่ใกล้ๆ กับลานกางเต็นท์ ทางเดียวกับตอนขาลงจากลานสน มีป้ายเขียนติดไว้ โดยเป็นเส้นทางเดินลงไปตามหุบชั้นพอสมควร ประมาณ 200 เมตร จะพบน้ำตกชั้นแรก โดยชั้นนี้เป็นชั้นที่นักท่องเที่ยวแวะมากที่สุด ส่วนชั้นอื่นๆ จะไม่ค่อยเดินลงไปนัก เพราะอาจกลัวเรื่องการเดินกลับ ต้องไต่ทางชันขึ้นมา  หากส่วนตัวผมแล้วชั้นสุดท้ายจะสวยที่สุด  ด้วยความสูงของเชิงชั้นน้ำตก และมอส ตะไคร่น้ำที่เกาะตามธารหินเขียวสดสวยงาม คุ้มค่าแก่การเดินลงไปชมและถ่ายภาพยิ่งนัก

     นอกจากน้ำตกสายทิพย์ ยังมีน้ำตกอีกแห่งที่สวยงามไม่แพ้กัน ได้แก่ น้ำตกมอส ซึ่งเป็นน้ำตกอยู่ในฝั่งของประเทศลาว (น้ำตกต่างประเทศเชียวนะ) ฟังชื่อน้ำตกมอส ก็บอกอยู่แล้วว่าต้องแวดล้อมด้วยมอสเขียวสดตามธารน้ำอย่างแน่นอน  แม้มีชั้นเดียว หากชั้นเดียวนับว่าสวยงามทีเดียวโดยมีความสูงประมาณ 15 เมตร ท่ามกลางความสมบูรณ์ของผืนป่า เส้นทางเดินลงน้ำตกมอสจะค่อนข้างลื่นมากและรกชัน ในปัจจุบันทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้เข้าไปเที่ยวในน้ำตกมอสแล้ว เนื่องจากเส้นทางเดินอันตรายและอยู่ในพื้นที่ของประเทศลาว

     ภูสอยดาว เทือกเขาที่รู้สึกประทับใจตั้งแต่ชื่อ เมื่อได้เดินทางมาเยือนก็ชอบทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นหน้าหนาวหรือหน้าฝน ในช่วงฤดูหนาวแม้จะไม่มีทุ่งหงอนนาคและดอกไม้นานาชนิด ไม่มีสายน้ำขาวนวลของน้ำตกสายทิพย์ และลานหินสีเขียวที่ปกคลุมด้วยมอส แต่มีท้องฟ้าตัดกับสนสามใบยืนต้นสลอนบ้างตั้งตรงสง่างาม บ้างคดงอ บ้างโอนเอน และทุ่งหญ้าสีทองกว้างใหญ่ มีรองเท้านารี กล้วยไม้ป่า ใบเมเปิ้ลให้ชื่นชม มีอากาศหนาวเย็นสุดขั้วที่หาได้ยากในเมืองหลวง มีอาทิตย์อัสดงและแสงสีสุดท้ายของวันให้นั่งมอง มีดวงดาวระยิบระยับให้นอนดู สมกับชื่อภูสอยดาว ที่ดวงดาวดูเหมือนจะอยู่แค่เอื้อม แต่จับต้องไม่ถึง สำหรับในช่วงฤดูฝนเป็นความชุ่มฉ่ำของสายฝน สายหมอก สายน้ำและมวลดอกไม้ 

     หากถามว่าผมชอบมาภูสอยดาวช่วงใด คงต้องตอบว่าชอบทุกห้วงเวลาและหวังว่ามันจะยังคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป ยิ่งมาพร้อมกับเพื่อนหรือมิตรแท้คนรู้ใจด้วยแล้ว นับเป็นความสุขที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบ ผมคงบรรยายให้คุณๆ รับรู้และรู้สึกเช่นเดียวกับผมได้ไม่หมด เพราะเป็นสิ่งที่ต้องมารับรู้ด้วยตา และสัมผัสด้วยใจ ของตัวคุณเอง.

เรื่อง / ภาพ...อำนวยพร  บุญจำรัส

ปีนป่ายสู่ดอยสวรรค์ ลานพฤกษา…ภูสอยดาว (ตอนแรก)

ทุกภาพสามารถคลิกดูแบบภาพใหญ่ได้ครับ

 

อัลบั้มภาพ 22 ภาพ

อัลบั้มภาพ 22 ภาพ ของ ปีนป่ายสู่ดอยสวรรค์ ลานพฤกษา…ภูสอยดาว (ตอนจบ)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook