ท่องแดนปลาดิบชิมแต่กิมจิ ตาม่าหาซากุระปะแต่ดอก๊วย

ท่องแดนปลาดิบชิมแต่กิมจิ ตาม่าหาซากุระปะแต่ดอก๊วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่องแดนปลาดิบ  ชิมแต่กิมจิ ตามล่าหาซากุระ  ปะแต่ดอกบ๊วย 

โดย...พี่อ้น ออนไลน์วันที่ 30 เมษายน 2548

     นี่ถ้าไม่ใช่ไมล์สะสมของสายการบินนอร์ธเวสต์อเมริกาที่แสนดี เพราะไม่มีวันหมดอายุ (ยกเว้นเราตายก่อน ใช้สิทธิ์ หรือ สายการบินเจ๊งไปก่อน) จะขึ้นแต้มไมล์สะสม จนฉันจะหมดสิทธิ์บินไปญี่ปุ่นฟรีล่ะก็ จนป่านนี้ฉันคงยังไม่ยอมตกลงปลงใจไปแดนซามูไรกับพรทิพย์เพื่อนซี้สักที แต่ด้วยความงกกลัวเสียสิทธิ์  ฉันจึงคิดสู้ค่าครองชีพที่โน่น ยอมไปในการชักชวนครั้งที่ร้อยของมันทันที โดยมีเจ้าซุ้ง  น้องสาวของมันที่ยังติดใจคราวไปเมืองจิ๋วจ้ายโกวครั้งกระโน้น  ร่วมขบวนเป็นสามสาวโสดไปตามล่าหาโกโบริ เอ้ย ! ซากุระด้วย ก่อนหน้านั้นก็ไปขอวีซ่าที่สถานทูตญี่ปุ่น ซึ่งมีคนบอกว่าขอยาก บางคนมีตั๋วบินแล้วยังไม่ได้ไปเลย แต่เราโชคดีผ่านง่ายดาย คงเพราะหน้าตาไม่ชวนให้สงสัย  

     เครื่องของเราออกจากดอนเมืองราวตีสอง ที่จริงเราต้องบินนอร์ธเวสต์ แต่ปรากฏว่าเครื่องเขาเต็มในช่วงที่เราจะไป  เขาเลยให้เราไปสายการบินเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรแทน  ซึ่งก็ดี ได้เปลี่ยนไปลองใช้บริการสายการบินอื่นๆ ดูเป็นการเปรียบเทียบ ก็พบว่าใช้ได้ แถมพอเขาเสิร์ฟอาหาร  มีแต่เนื้อ เรากินไม่ได้ ขอเปลี่ยน เดิมเขาว่าไม่มีให้เลือก แต่ในที่สุด เขาไปเอาปลาแซมมอลของชั้นบิสิเนสมาให้แทน ค่อยยังชั่วหน่อย เกือบโมโหหิวซะแล้ว

     ความจริงบินไปญี่ปุ่นใช้เวลาแค่ 5-6 ชม. แต่เนื่องจากเราต้องแวะเกาหลีก่อน เลยใช้เวลาราว 6-7 ชม. ถึงที่ญี่ปุ่นประมาณ 3 โมงเย็น เวลาในญี่ปุ่นเร็วกว่าไทย 2 ชม. นั่ง Airport Bus จากสนามบินนาริตะเข้าเมืองหลวงโตเกียว ซึ่งห่างกันราว 60 กม. ราคาค่ารถ 3,000 เยน คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1,200 บาทต่อคน  (อัตราแลกเปลี่ยนตอนไป 100 เยนเท่ากับ 37-38 บาท แต่ให้คิดง่ายๆว่า 1,000 เยนเท่ากับ 400 บาท ) 

     ก้าวแรกเหยียบแดนปลาดิบ หลายคนเห็นราคาค่ารถก็คงร้องโอ้โฮ ! แต่เมื่อตัดสินใจมาแล้ว อย่าคิดมาก ลุยลูกเดียว รถวิ่งเข้าเมืองใช้เวลาราวชั่วโมงหนึ่ง  ก็เรียกว่าไกลพอควร หลับได้อิ่มหนึ่ง พูดถึงเรี่องหลับมีเรื่องขำๆ เกี่ยวกับเจ้าซุ้ง คือตอนแรกเห็นชาวญี่ปุ่นนั่งในรถปั๊บ จะหลับปุ๊บ ไม่ว่าจะอยู่ในรถอะไร เธอก็นินทาว่า แหม ! พวกญี่ปุ่นไปทำอะไรกันนักหนา หลับได้หลับดี แต่พอตะลอนทัวร์ได้สักสองวัน คุณซุ้งซึ่งปกติหลับยากหลับเย็นหากผิดที่ผิดทาง กลับหลับได้หลับดี เพราะเพลียจัด ด้วยว่าปกติเธอจะไปทัวร์แบบคุณนาย รถถึงที่ เดินนิดหน่อย พักโรงแรมอย่างดี พอมากับพี่อ้นซึ่งเป็นพวกทัวร์แบกเป้ ใช้รถสาธารณะ และเดินตลอด  แถมต้องนอนบนรถไฟบ้าง โฮสเต็ล(ที่พักพวกแบกเป้)บ้าง เรียวกังบ้าง ทำเอาแต่ละวันคุณซุ้งหมดแรง หลับสนิทได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่นินทาญี่ปุ่นอีกเลย  อันที่จริงตอนจะมาทัวร์ที่นี่ เราก็ตกลงกันไว้ว่าจะเที่ยวสบายๆ แบบมาพักผ่อน ไม่ให้เหนื่อย เอาเข้าจริง โน่นก็น่าไป นี่ก็ไม่น่าพลาด แต่ละวันก็เลยลุยซะหมดแรงข้าวปั้น  สองวันแรกในเมืองโตเกียว จะว่าไปแล้วเราพักในโรงแรมเมอร์เคียว โรงแรมดีเชียวละอยู่แถวๆกินซ่าย่านธุรกิจ มีแต่ร้านค้าแบรนด์เนมทั้งนั้นเลย แต่ไม่ได้เดินดูหรอกค่ะ เพราะมิใช่เป้าหมายในการเที่ยวครั้งนี้ สำหรับค่าห้องที่นี่แค่คืนละประมาณ 9 พันบาทต่อห้องเอง แต่พรทิพย์ไปสมัครเป็นสมาชิกโรงแรมเลยได้ลดไปบ้าง แล้วเราแอบนอนกันสามคนในห้องเดียว ซึ่งเขาก็ดีไม่มาสนใจ ก็คงรู้ๆ กันอยู่ 

     มาวันแรกเราเสียเวลาไปกับการเดินทาง และเข้าห้องพัก ดังนั้น จึงไปได้แค่วัดที่เรียกว่าอาซาคูซ่า (Asakusa) เราไปโดยรถใต้ดิน  แบบรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเรานั่นแหละ แต่ที่นี่เขามีหลายสายมาก แค่ดูแผนที่เดินรถ ก็มึนตึ๊บแล้ว เหมือนใยแมงมุมสักยี่สิบตัวมาพันกัน ดีว่าพรทิพย์เคยมา  พร้อมศึกษาเส้นทางที่จะพาเที่ยวทุกแห่งมาอย่างละเอียดพอควร  กอปรกับรู้ภาษาจีน ทำให้อ่านตัวหนังสือญี่ปุ่นที่เรียกว่า คันยิ ที่ยืมจากภาษาจีนได้ ทำให้ช่วยได้แยะ เพราะคนญี่ปุ่นไม่ค่อยพูดภาษาอื่น ภาษาที่ดีที่สุดในโลกก็ยังเป็นภาษามืออยู่ดี พูดไม่รู้เรื่อง ก็ชี้โบ้ชี้เบ๊เอา รถใต้ดินที่นี่มีหลายสายอย่างที่ว่า ดังนั้น เขาก็เลยทำสัญลักษณ์เป็นสีๆ ให้ดูง่าย จะไปสายไหน ให้จำต้นทางปลายทางที่จะไปให้ดี แล้วก็เดินไปตามสีนั้นๆ เช่น ไปกินซ่า  ต้องไปตามเส้นทางที่มีวงกลมสีเหลืองที่เขียนว่ากินซ่าไลน์ อย่างนี้เป็นต้น แล้วต้องรู้ด้วยว่าเราจะไปขึ้นตรงไหนเพื่อไปโผล่บนดิน สมมุติเช่น จะไปวัดนี้ๆ  เขาบอกว่าต้องขึ้นไปทางออกที่ A 15 หากเราไป A 13 ผิดทางแล้วละก้อ แม้จะไปโผล่บนดินก็จริง แต่จะหลงจนไปไม่ถูกเอาเลย ซึ่งทริปนี้ ขนาดศึกษามาอย่างดี วันสุดท้ายก็ยังหลงจนเกือบตกรถที่จะไปสนามบินเหมือนกัน 

     ไหนๆ พูดเรื่องรถ ขอพูดรวมๆ ต่อให้จบก่อนดีกว่า ในญี่ปุ่น พาหนะเดินทางที่สะดวก และรวดเร็วคือ รถใต้ดิน รถไฟ ซึ่งเขาจะทำเชื่อมต่อกันหมด ทำให้เราสามารถเดินต่อเนื่องจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ภายในบริเวณใต้ดินนั่นแหละ ไม่ต้องโผล่บนดินที ใต้ดินทีแบบบ้านเรา รถใต้ดินเขาจะมีหลายชั้นเหมือนรังมด  และเนื่องจากคนญี่ปุ่นใช้เวลา และชีวิตในรถใต้ดิน และรถไฟเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ในสถานีจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าขายของกิน ของใช้ ห้างสรรพสินค้า ล็อกเกอร์ฝากของ ฯลฯ แม้แต่ที่นั่งกินข้าวยังมีปลั๊กให้เสียบคอมพิวเตอร์ใช้เลย การซื้อตั๋ว สามารถซื้อได้จากตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่ในสถานี  หรือจะซื้อจากเจ้าหน้าที่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เขาก็ซื้อจากเครื่องทั้งนั้น จะซื้อเป็นเที่ยวๆ หรือเป็นตั๋ววันก็ได้ ซึ่งถ้าขึ้นหลายเที่ยวซื้อตั๋ววันก็คุ้มกว่า  ราคาก็ดูตามแผนผังที่เขาเขียนไว้ แล้วหยอดเหรียญหรือแบงค์ก็ได้ เครื่องเขามีทอนให้ อ้อ ! รถใต้ดินนี้ เขามีสองสามบริษัท ต้องดูให้ดีด้วย สายไหนจะต่อสายไหนได้ ไม่งั้นต้องตีตั๋วใหม่ หรือต้องไปเปลี่ยนตั๋วกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเปลี่ยนไปอีกสายอีกบริษัท(หากเราจ่ายเงินเต็มตามระยะทางแล้ว) 

     ไปงวดนี้ พี่อ้นนั่งรถสารพัดสารพันของญี่ปุ่นเลย ไม่ว่าจะเป็นรถใต้ดิน รถแท็กซี่ รถเมล์ รถราง รถไฟธรรมดา รวมไปถึงรถไฟซินคังเซ็น(ที่ไทยเรียกว่ารถไฟหัวกระสุน ปัจจุบันมีแบบหัวเป็ดด้วย เพราะมีสัมปทานหลายบริษัท) ไปนั่งซะหลายเที่ยว นั่งแบบสุดคุ้ม เพราะใช้ตั๋วที่เรียกว่า JR Pass หรือชื่อเต็มว่า Japan Rail Pass อันเป็นตั๋วรวมที่เขาขายนักท่องเที่ยวให้เดินทางโดยพาหนะต่างๆในประเทศนั้นๆได้ในราคาประหยัด โดยต้องซื้อนอกประเทศ ทางยุโรปก็มี เรียกว่า ยูโรพาส ใช้ได้กับรถใต้ดิน รถไฟ เรือ และรถโดยสารบางชนิดตามที่เขามีกำหนดไว้ (เขาจะมีเอกสารบอกไว้ว่าใช้กับพาหนะใดได้บ้าง) ทั้งนี้ เราต้องนำตั๋วนี้ซึ่งเป็นบัตรแข็งใบเดียวไปขึ้นเป็นตั๋วท้องถิ่นเพื่อจองที่นั่งหรือเป็นบัตรผ่านทางอีกครั้งเมื่อไปถึงประเทศนั้นๆแล้ว JR Pass ใบหนึ่งราคาประมาณหมื่นสามพันบาท แต่คุ้มมาก เพราะแค่นั่งรถไฟซินคังเซ็นเที่ยวเดียวแบบจองที่นั่ง ก็หลายพันแล้ว แต่ปรากฏว่าพวกเราสามคนนั่งข้ามเมืองเป็นว่าเล่น มันเร็วซะจนติดใจ ที่นั่งก็อย่างดีเหมือนนั่งเครื่องบินอย่างไรอย่างนั้น พอไปนั่งรถไฟธรรมดา แม้จะเป็นรถเร็ว ก็รู้สึกว่าช้าจัง 

     ตั๋วนี้ที่ญี่ปุ่นมีแบบเหมา 7 วันและ 14 วัน แต่เราไป 11 วัน เลยซื้อแบบ 7 วัน แล้วช่วงต้นและปลายของการเที่ยว ก็ไปซื้อตั๋ววันบ้าง ตั๋วรถเมล์บ้าง แล้วแต่ว่าจะไปไหน ตั๋วต่างๆ จะมีราคาตามระยะทาง ต่ำสุดที่นั่งมา เป็นรถเมล์ราคา 100 เยน หรือ 38 บาท และทุกแห่งที่ไปไม่ว่าจะเป็นวัด วัง ฯลฯ ส่วนใหญ่ต้องเสียค่าเข้าชมทั้งสิ้น ราคาก็หลากหลาย มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยจนเป็นพันเยน แต่ไม่ว่าจะนั่งรถอะไร เขาจะมีป้ายคอมพิวเตอร์เป็นตัววิ่งบอกทางว่าสถานีหน้า หรือป้ายหน้าคือที่ไหน บางป้ายก็มีทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ รวมทั้งมีการประกาศผ่านไมค์ด้วย รถใต้ดินบางสายโดยเฉพาะในโตเกียวเมืองหลวง นอกจากป้ายจะบอกชื่อสถานที่ที่จะจอดแล้ว ยังบอกด้วยว่าประตูรถจะเปิดด้านไหน เกิดเราหันผิดข้าง เราก็จะเห็นป้ายที่เขียนบอกว่า "ประตูเปิดด้านตรงข้ามจ้ะ" เราก็หันกลับมาอีกด้าน อ้อ !แล้วก็มีโทรทัศน์เล็กๆ ฉายหนัง หรือโฆษณาให้ดูด้วย ข้อสำคัญ รถไฟที่นี่ตรงเวลามาก สมมุติว่าเราจะไปสถานีไหน แม้จะจำชื่อไม่ได้แม่น แต่ถ้ารู้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าไรละก้อ  ตั้งนาฬิกาปลุก หรือจับเวลาได้เลย พอถึงเวลาเป๊ะ ลงสถานีที่จะถึงได้เลย รับรองไม่มีพลาด เพราะลองมาแล้ว 

    วัดอาซาคูซ่า หรือ วัดเจ้าแม่กวนอิมนี้ ญี่ปุ่นเรียก Senso-ji Temple เป็นวัดเก่าแก่ที่ใครมาโตเกียวส่วนใหญ่ต้องแวะไปไหว้ เป็นที่น่าสังเกตว่า วัดในญี่ปุ่นทุกแห่ง ก่อนเข้าในบริเวณวัด เขาจะมีบ่อน้ำคล้ายบ่อน้ำมนต์พร้อมกระบวย ให้คนที่เข้าวัดตักล้างมือ ล้างหน้าเหมือนทำความสะอาดร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าไปไหว้พระ  บางคนก็ดื่มเลยก็มี ที่วัดนี้มีกระถางธูปใหญ่อยู่ใบหนึ่ง ซึ่งใครผ่านไปผ่านมามักจะกอบควันธูปเข้าหาตัว คล้ายเป็นการขอพร  ซึ่งแน่ละเราก็ไม่พลาด ตลอดสองข้างทางก่อนถึงวัด จะมีร้านขายของที่ระลึกตั้งยั่วยวนชวนให้ซื้ออยู่เต็มไปหมด วันแรกนี้ยังใจแข็ง ไม่ซื้ออะไร ก่อนกลับที่พัก เราเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งหน้าร้านอาหารมองดูคล้ายดอกบ๊วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าของจริงหรือปลอม เลยไปดูใกล้ๆ พอเห็นว่าเป็นของจริงก็ดีใจ  เพราะวันรุ่งขึ้นเราตั้งใจจะไป Yushino-baigo ซึ่งเป็นสวนที่มีดอกบ๊วยอยู่ถึง 25,000 ต้น และเขาเพิ่งเปิดเทศกาลดอกบ๊วยไปก่อนเรามาอาทิตย์หนึ่ง การที่เห็นดอกบ๊วยในเมืองยังบานอยู่ เลยใจชื้น แน่ใจว่าต้องได้เห็นดอกบ๊วยแบบเยอะๆ แน่ๆ และก็ไม่ผิดหวังเมื่อไปถึง เพราะมันบานเต็มเขาไปหมด  พวกเรายังไปยืนโพสท่าบนสะพาน ตามแบบโบรชัวร์ที่เขาแจกเลย 

     ทั้งดอกบ๊วย และดอกซากุระที่ฝรั่งเรียกว่า เชอรี่นั้น หน้าตาเหมือนกันมาก อย่างเราๆไม่มีทางดูออก ต้องถามเขาว่าต่างกันอย่างไร เขาก็ตอบแบบภาษาใบ้ แต่ฟังเข้าใจได้ว่าถ้าเป็นซากุระ กิ่งก้านจะแข็ง ชี้ตรงขึ้นฟ้า ถ้าเป็นดอกบ๊วยซึ่งญี่ปุ่นเรียกอูเม๊ะ (Ume') กิ่งจะโน้มลงดิน แต่ซากุระบางพันธุ์ก็มีกิ่งระย้า ย้อยลงมาคล้ายต้นหลิวของจีน ซึ่งเราก็ได้เห็น และถ่ายรูปมาด้วย อีกอย่างคือ ดอกซากุระจะบานต่อเมื่อดอกบ๊วยโรยแล้ว และจะบานเพียงอาทิตย์เดียวช่วงเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หลายคนไปญี่ปุ่นแม้จะไปหลายหน หากไม่ไปในช่วงเวลาที่มันบานพอดี ก็ไม่มีทางได้เห็นซากุระ ดังนั้น อย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวเลย แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ตื่นเต้น เวลาเห็นซากุระบานสะพรั่ง เพราะเป็นดอกไม้ประจำชาติเขาด้วย พี่อ้นไปครั้งนี้ แม้จะไม่เจอซากุระชนิดที่บานเต็มสวนอย่างที่เคยเห็นในรูป แต่ก็ได้เจอหลายต้น  เรียกว่าไปตามล่าหาซากุระ แต่ส่วนใหญ่จะเจอแต่ดอกบ๊วยแทน (ก็ยังดีว่ะ ดูในรูป หากไม่บอก เขาก็ต้องคิดว่าเป็นซากุระแหละ) อันที่จริงเดือนมีนาคม  ปกติซากุระจะบานแล้ว แต่ปีนี้อากาศวิปริตแปรปรวน หนาวไม่เลิก ซากุระเลยบานช้าไปสองอาทิตย์ (นายกฯทักษิณไปญี่ปุ่น ก็ยังไม่ได้เห็นเล้ย อย่าว่าแต่เรา) 

     ตอนอ่านหนังสือคู่กรรม โกโบริบอกอังศุมาลินว่า ตราบใดยังไม่เคยเห็นนิกโก้ อย่าพูดว่า เก๊กโก้ (ที่แปลว่าสวยงาม) หรือ อะไรทำนองนี้ แน่นอน!  สามสาวอ่านมาหลายเที่ยว แสนจะซาบซึ้งกับโกโบริ มาญี่ปุ่นทั้งที ก็ต้องไปเมืองนิกโก้ชัวร์อยู่แล้ว คำว่านิกโก้ มีความหมายว่า แสงสูรย์ หรือแสงอาทิตย์  เป็นศูนย์กลางของศาสนาชินโต เป็นที่ฝังพระศพของโชกุนโตกุกาว่า เป็นเมืองที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสะพานไม้สีแดงที่ชื่อว่า Shinkyo ที่ทอดข้ามแม่น้ำ Daiya โบถส์ Rinno-ji บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละที่ก็สวยงามน่าชมดี เพียงแต่วันที่ไป เจอฝนตกไม่หยุด ก็เลยหายโรแมนติกไปกับพ่อดอกมะลิไปแยะ ดีที่เราเตรียมพร้อมทุกอย่าง เลยมีเสื้อกันฝนไปด้วย สังเกตว่าคนญี่ปุ่นมักถือร่มมากกว่า ที่ใส่เสื้อกันฝนมักจะเป็นเด็ก แต่เราเอาสะดวกเข้าว่า เพราะขืนกางร่ม ต้องหุบๆ กางๆ อาจจะลืมร่มทิ้งไว้อีกต่างหาก ที่นี่เขามีสัญลักษณ์หนึ่งเป็นรูปลิงแกะสลักสามตัวทำด้วยไม้ ประดับอยู่บนศาล ซึ่งไม่สังเกตก็ไม่เห็น เขาเรียกว่า ลิงเจ้าปัญญา (wise monkeys) ทำท่าปิดปาก ปิดหู และปิดตา ซึ่งเป็นปริศนาธรรมที่คนไทยเห็นอยู่บ่อยๆ ตอนเราจะกลับ เย็นแล้วปรากฏว่ามีฝรั่งสองคน มาถามหาเจ้าลิงสามตัวนี่ว่าอยู่ตรงไหน เราก็ตอบว่าตรงนั้นเขาปิดเพราะหมดเวลาแล้ว ดูท่าสองคนนี่จะผิดหวังมาก พวกเราก็คิดในใจว่า ก็ดูลิงสามตัวที่เห็นตรงหน้าไปก่อนละกัน (ก็สามสาวในชุดกันฝนที่มอมแมมนี่แหละ) 

    จากนิกโก้ รุ่งขึ้นก็ไป เบบปุ (Beppu) เมืองบ่อน้ำพุร้อนจากภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงในเรื่องการอาบน้ำแร่ คล้ายระนองบ้านเรา แต่บ่อของเขาจะมีหลายแบบ เช่น บ่อน้ำพุร้อนสีฟ้า บ่อน้ำพุร้อนสีเลือดหรือสีแดง บ่อโคลนเดือด ฯลฯ แต่ละบ่อห่างกันพอสมควร และทุกบ่อต้องเสียเงินค่าดูทั้งสิ้น ราวๆบ่อละ 400 - 600 เยน เราเลยเลือกดูแค่ 2 บ่อ เพราะวันนี้ฝนตกอีกแล้ว ทำให้เดินไม่สะดวก แถมฝนที่ตกเจออากาศเย็นแบบภูเขา ก็ตกเป็นเกล็ดหิมะ ทำให้หนาวเกือบแย่ ทั้งๆที่เดินในเมืองน้ำพุร้อน เราเลือกดูบ่อสีฟ้าที่เกิดจากแร่ธาตุ สีสวยเหมือนทะเลอันดามัน(ตอนไม่เกิดสึนามิ) บ่อนี้มีไข่ต้มในบ่อให้ซื้อด้วย แต่เราไม่ซื้อเพราะเขาไม่ให้ต้มเอง อีกบ่อที่ไปคือบ่อเลือด น้ำร้อนในบ่อจะเป็นสีแดง อันเกิดจากดินแดงที่หลอมละลายข้างใต้ ทั้งสองบ่อกว่าจะถ่ายรูปได้ทุลักทุเลมาก เพราะต้องรอควันที่ฟุ้งกระจายให้จางลง แล้วฝนก็ยังตกให้เฉอะแฉะอีก ที่นี่เขามีร้านอาบน้ำแร่และฝังทรายเพื่อสุขภาพ พรทิพย์อยากลอง แต่ปรากฏว่าต้องมีการแก้ผ้าอาบน้ำล้างตัวแบบรวม แม้จะแยกหญิงชาย คุณเธอก็เลยถอยทัพ ขอแค่ถ่ายรูปหน้าร้าน ทำนองว่าฉันมาแล้วนะ ก็พอ ตอนที่เราเดินทางมาเบบปุนี้ เราค้างคืนมาโดยรถไฟตู้นอน ซึ่งต้องเสียเงินพิเศษเพิ่มขึ้นอีกคนละ 3,700 บาท/คืน เพราะที่นั่งปกติเต็ม ก็ลังเลกัน แต่ถ้าไม่ไป กำหนดการต่างๆ จะพลาดหมด ก็เลยยอม ปรากฏว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะตู้นอนของเขาเตียงล่าง เตียงบนจะแยกกันคนละห้อง  มีประตูที่มีรหัสให้ตั้งปิดเปิดเอาเอง เวลาเดินไปไหนๆ ไม่ต้องให้อีกคนเฝ้าของให้ แต่ละเตียงนอกจากหมอน ผ้าห่มแล้ว ยังมีเสื้อยูกาตะ ไม้แขวนเสื้อ และรองเท้าให้ใส่ด้วย มีช่องว่างให้เก็บของ มีไฟและนาฬิกาปลุกให้ตั้งเวลาเอง ปลายเตียงก็มีฮีทเตอร์ให้อุ่นเท้า เรียกว่าเจ๋งมาก นอนแล้วไม่เสียดายเงินเลย 

     วันต่อมา เราเดินทางไปเมืองนางาซากิ เมืองที่สองต่อจากฮิโรชิมาที่ถูกบอมบ์ด้วยระเบิดปรมาณูในคราวสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี ค.ศ. 1945  โดยที่นี่เรามาพักที่เรียวกัง คือที่พักคนเดินทางแบบญี่ปุ่น ซึ่งราคาจะไม่แพงเหมือนโรงแรม และห้องพักก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านญี่ปุ่นเลย คือนอนฟูก  และกลางห้องก็มีโต๊ะเตี้ยๆคลุมผ้าให้สอดเท้าเข้าไปเหมือนที่เราเห็นในหนัง แล้วยังมีกาน้ำชาเล็กๆ พร้อมน้ำชาให้ด้วย แต่สามสาวซดน้ำมากไป ขอหลายเที่ยว เขาเลยยกกระติกใหญ่ให้ซะเลย(ไม่รู้ประชด หรือ เปล่า) ที่นี่ก็มีเสื้อผ้า รองเท้าญี่ปุ่นให้พร้อมเช่นกัน ตอนแรกพวกเราก็กางฟูกนอนกันคนละมุม ทำไปทำมาตกดึกหนาว  แม้จะมีฮีทเตอร์ในห้อง แต่ก็เห็นพ้องต้องกันว่าดึงฟูกมาคนละมุมโต๊ะ แล้วเอาตีนยัด เอ้ย! เอาเท้าสอดเข้าไปใต้โต๊ะกินน้ำชาที่แสนจะอุ่น น่าจะดีที่สุด แล้วก็หลับสบายจริงๆ  

      และที่เรียวกังนี้ สามสาวก็ได้อาบน้ำแบบญี่ปุ่นด้วย แต่ใจยังไม่ถึง ก็เลยเอาผ้าเช็ดตัวห่ม แล้วแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนแทน  จากนั้นก็ผลัดกันเฝ้าให้อีกคนได้อาบน้ำฝักบัวที่เขามีในห้องน้ำนั่นแหละ ที่ต้องเฝ้า เพราะถึงมีประตูมิดชิด แต่ไม่มีกลอน พวกเราก็เลยกลัวก็จะมีสาวอื่นๆ มาร่วมแจม  แต่ก็ไม่ยักมีใครมา พอตอนเช้าก็นั่งรถไฟจะเข้าตัวเมืองนางาซากิ ปรากฏว่า รถไฟที่ไปบังเอิญเป็นสายพิเศษ จอดปลายทางที่สถานที่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่า ฮูสเทนบอก  (Huis Ten Bosch )ซึ่งเป็นเมืองจำลองเนเธอร์แลนด์มาเลย แต่เดิมพวกเราแม้จะเห็นเขาโฆษณาตามสถานีรถไฟ ซึ่งมีทิวลิปจริงๆ ไปแสดงเชิญชวนคนมาเที่ยว  แต่เราก็ไม่สนใจ ครั้นรถจอดเห็นของจริงเข้า ก็เลยเปลี่ยนใจเที่ยวที่นี่ก่อน ซึ่งก็คิดถูกแล้ว เพราะเราไปช่วงที่ทิวลิปกำลังเบ่งบานพอดี เลยได้เห็นทิวลิปสารพัดสีไปหมด  ทั้งสีแดง เหลือง ม่วง ชมพู ขาว ฯลฯ ถ่ายรูปกันมาจนหนำใจ ใครเห็นรูปคงงง ว่าไปญี่ปุ่นหรือฮอลแลนด์กันแน่ เพราะเขาจำลองมาเป็นเมืองจริงๆ  ที่นี่เขามีพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมี ที่มีตุ๊กตาหมีสารพัดจากหลายประเทศมาโชว์ให้ดูด้วย และก็ทำให้เจ้าซุ้งถึงบางอ้อว่า ที่พี่สาวนั่งเย็บตุ๊กตาหมี  ที่เจ้าหล่อนว่าหน้าเหมือนหมานั้น ของจริงเป็นอย่างไร และไม่ใช่ของกระจอกๆเลย เพราะมีเป็นพิพิธภัณฑ์เลยนะเนี่ย อยู่ที่นี่จนบ่ายแก่ๆ เราก็ต่อรถไฟไปดูอนุสรณ์สถานที่  "สวนสันติภาพ"หรือ Peace Park ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่รูปปั้นผู้ชายนั่งอยู่กลางลานมือหนึ่งชี้ฟ้า อีกมือกางไปด้านข้างเพื่อเรียกร้องสันติภาพให้แก่ชาวโลก  โดยด้านข้างจะมีหินทำเหมือนกระโจมตั้งขนาบอยู่ และจะมีมาลัยกระดาษพับเป็นรูปนกสันติภาพห้อยเป็นพวงอยู่  รอบๆ สวนจะมีประติกรรมรูปต่างๆ อันสื่อถึงสันติภาพที่ประเทศต่างๆ มาสร้างให้ ห่างจากสวนไปไม่เท่าไร จะมีอนุสรณ์สถานอีกแห่งทำเป็นแท่งหินแกรนิตสีดำตั้งอยู่  คือที่ซึ่งระเบิดปรมาณูลงเป็นจุดแรกในเมืองนางาซากินี้ แม้จะไม่มีซากอะไรให้เห็นแล้ว แต่ดูแล้วก็เศร้าใจว่า มนุษย์เราช่างหาวิธีสารพัดมาเข่นฆ่ากัน 

     จากนางาซากิ เรานั่งรถไฟตู้นั่ง แต่นอนค้างคืนไปเมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่า ซึ่งแม้จะเป็นตู้นั่ง แต่ที่นั่งแต่ละแถวจะมีเก้าอี้เพียง 3 ตัวตั้งห่างกัน  ไม่ต้องกลัวไปนอนติดกับคนอื่น อีกทั้งเก้าอี้ก็ปรับเอนได้เกือบ 180 องศา ทำให้นอนได้สบาย มีผ้าห่ม และรองเท้าให้อีกแล้ว แถมห้องน้ำส่วนหน้าซึ่งมีห้องแต่งตัวด้วย ก็จะกันให้ผู้หญิงใช้เฉพาะ ไม่ปะปนกับผู้ชายเลย ที่เกียวโตนี้ เราพักที่ K's House อันเป็นที่พักสำหรับพวก Backpacker หรือพวกแบกเป้ คือต้องนอนห้องนอนรวม ห้องหนึ่งก็มีประมาณสามสี่เตียง ห้องน้ำก็ใช้รวม แต่เขาจะมีครัว และห้องนั่งเล่นที่แต่ละคนมาใช้ร่วมกันได้ บางคนก็มาคุยแลกประสบการณ์ซึ่งกัน และกัน  บางคนก็มาอ่านหนังสือ หรือเขียนจดหมาย ฯลฯ หลายคนคงสงสัยว่าพวกเราสามสาวจองที่พักอย่างไร เรื่องนี้พรทิพย์เป็นคนทำการบ้าน  คือนอกจากศึกษาเส้นทางเที่ยวแล้ว ก็ต้องหาในอินเตอร์เนท ดูว่าแต่ละวันจะพักที่ไหน อย่างไร แล้วก็จองผ่านทางอินเตอร์เนท ซึ่งเดี๋ยวนี้ที่พักหลายแห่ง  เขาให้จอง และโต้ตอบทางเนทได้ ทำให้สะดวก รวดเร็ว และเราก็สามารถพริ้นท์เอกสารไปยืนยันกันได้ ไม่ต้องกลัวหลอกหรือมั่ว เพราะมัดจำต้องจ่ายทางเครดิตการ์ดอยู่แล้ว 

     ในเมืองเกียวโตอันเป็นเมืองหลวงเก่านี้ มีสถานที่น่าเที่ยวมากทีเดียว อีกทั้งยังมีมนต์ขลังกลิ่นอายของอดีต เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี  อย่างหนุ่มอิสราเอลคนหนึ่งที่เจอในที่พัก เขาบอกว่ามาญี่ปุ่น 3 หนแล้ว มาทีไรก็มาเกียวโตทุกที เพราะชอบบรรยากาศ และประเพณีวัฒนธรรมของที่นี่  สำหรับสถานที่แห่งแรกที่พวกเราไปกันคือ วัดคิโยมิซึ (Kiyomizi ) เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม (ญี่ปุ่นกับจีนจะคล้ายกัน คือไปไหนก็มักเจอรูปเจ้าแม่กวนอิม) ซึ่งที่โถงใหญ่ของวัดจะมีระเบียงที่ใช้ไม้ค้ำต่อกัน โดยไม่ต้องตรึงตะปูยื่นออกไปให้ชมวิวทิวทัศน์ของเกียวโต วัดนี้มีชื่อในเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ไหลมาจากภูเขา แล้วทางวัดได้ต่อท่อออกมาเป็นสายน้ำ 3 สาย ประกอบด้วยสายแห่งความรัก การเงิน และสุขภาพ ให้คนมารองน้ำไปดื่มกิน แล้วแต่ใครจะอธิษฐานเรื่องใดก็กินน้ำสายนั้น แต่เห็นส่วนใหญ่ก็งกกินมันทุกสายแหละ คำว่า "คิโยมิซึ" อันเป็นชื่อวัดแปลว่า "น้ำบริสุทธิ์" ก็คงมาจากน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้  อ้อ!  และที่วัดนี้เองเราก็ได้เจอต้นซากุระเป็นครั้งแรก และที่ใกล้ๆ วัดยังมี "ศาลเกียวโตจิสุ" (Kyoto Jishu shrine)  ที่คนญี่ปุ่นถือเป็นศาลเทพเจ้าแห่งความรักให้คนได้มาอธิษฐานขอความรักที่ยั่งยืน และยังมีหินสองก้อนที่เรียกกันว่า "หินทำนายรัก" ไว้ให้มาเสี่ยงทายรักด้วย โดยหินสองก้อนนี้ ตั้งห่างกันราว 10 เมตร ใครก็ตามที่สามารถปิดตาเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังหินก้อนตรงข้าม โดยไม่เฉไฉออกนอกทาง  ว่ากันว่าความรักของเขาและเธอก็จะสมหวัง ส่วนใหญ่มีลุ้น และมักบอกใบ้กัน สามสาวก็ลองดูเหมือนกัน เจ้าซุ้งเดินเป๋ไปทางซ้าย เกือบตกศาล ดีว่ามีหนุ่มน้อยญี่ปุ่นอ้าแขนกันไว้ก่อน ส่วนพี่อ้น และพรทิพย์ เดินคนละที แต่เดินเป๋เลยก้อนหินหลุดไปทางขวาทั้งคู่ พี่อ้นแอบบ่น คบกันมาแต่ ป.5  จนอายุใกล้จะครึ่งศตวรรษ สุดทางรัก ยังมาเจอกันอีกหรือเนี่ยะ เฮ้อ ! ไม่เบื่อกันบ้างหรือไง(ว่ะ) 

     จากที่นี่เราก็ไปต่อที่วัด Sanjusangen-do ซึ่งมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมหนึ่งพันหนึ่งองค์ พอดูเสร็จ เหลือบไปเห็นต้นซากุระสีชมพูอ่อน แต่ไม่แน่ใจ เลยถามพระว่าเป็นซากุระหรืออูเม๊ะ(บ๊วย) พอพระบอกว่าซากุระ ก็รีบวิ่งไปถ่ายรูป (กลัวคนว่ามาญี่ปุ่น แต่ไม่เห็นซากุระ เลยต้องมีหลักฐานหน่อย) พอตกกลางคืน ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) มีโฆษณาให้ไปดูปราสาทภาคกลางคืน ก็คิดว่า จะดูสวยงาม ปรากฏว่าผิดหวังมาก  เพราะแม้จะมีไฟเปิดแต่ก็น้อยจนไม่อลังการเหมือนภาพโปสเตอร์ที่เห็น แถมซากุระก็ยังเป็นต้นโกร๋นๆ อยู่ ส่วนการแสดงดนตรี เราดูแล้วก็เฉยๆ  รุ่งขึ้นอีกวันเราก็ไปเมืองฮิโรชิมา อันเป็นเมืองแรกที่ถูกระเบิดปรมาณูบอมบ์เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ซึ่งเราได้เห็นซากตึกที่อดีตเคยเป็นศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เขายังเก็บให้ดูเป็นอนุสรณ์สถาน และที่ไม่ไกลกันก็จะเป็น "สวนสันติภาพ" ที่มีหินโค้งลักษณะคล้ายหลังคาเกวียนตั้งอยู่ โดยมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพ และวัตถุในสมัยนั้นให้ชมด้วย ในนั้นจะมีนาฬิกาจริงที่หยุดเวลาไว้ที่ 08.15  น. ตอนเช้าอันเป็นเวลาที่ระเบิดลูกแรกได้แสดงแสนยานุภาพทำลายล้างเมืองนี้ด้วย อ่านจากนิทรรศการที่จัดแสดง เขาบอกว่าที่พันธมิตรเลือกบอมบ์เมืองฮิโรชิมา  ก็เพราะเป็นเมืองที่ไม่มีค่ายเชลยศึกอยู่เลย ! โอ้! ขอดวงวิญญาณทุกดวงจงไปสู่สุคติเถิด 

     จากฮิโรชิมา เราไปนั่งเรือเฟอรี่ข้ามไป เกาะมิยาจิมา (Miyajima) เพื่อไปวัดอิสุคูชิมา (Itsukushima shrine) ซึ่งเมื่อขึ้นไปวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเล แล้วมองออกไป เราจะเห็นเสาโทริ ในน้ำ อันเป็นเสาที่เป็นสัญลักษณ์ประเทศญี่ปุ่นอย่างชัดเจน เสาโทริที่วัดนี้เป็นหนึ่งในสามเสาที่มีชื่อของญี่ปุ่น ตอนเราไป วัดยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม เพราะถูกน้ำทะเลท่วมเมื่อปีที่แล้ว และที่เกาะนี้เราจะเห็นกวางเดินอย่างเจ้าของเกาะเต็มไปหมด โดยไม่กลัวคน และหากให้อาหารมันก็จะเดินมาใกล้ๆ มีตัวหนึ่งเห็นยืนรอเป็นตัวประกอบให้ถ่ายรูปหมู่อยู่ใกล้ๆวัด สงสัยคนรับจ้างถ่ายภาพจะให้อาหารมันจนคุ้นเคยกัน  แต่เราไม่ได้ไปใช้บริการของมัน 

     วันที่แปดเราได้เดินทางไปดูปราสาทฮิเมจิ (Himeji) ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Site) สูง 6 ชั้น ตั้งบนเขา  และเขาก็เปิดให้เราเข้าไปดูได้ทุกชั้น โดยก่อนเข้า เขาก็เอารองเท้ามาให้เราเปลี่ยนเสียก่อน เพื่อมิให้ไปเดินเลอะในปราสาท (วันเราไปเจอฝนตกอีก แต่ไม่มาก) ในแต่ละชั้นส่วนใหญ่ จะเป็นที่โล่งๆ บางชั้นก็มีตู้แสดงภาพวาดหรืออาวุธ บางชั้นก็หนังสือเขียนบอกไว้ว่า สมัยก่อนใช้ทำอะไร เช่น เป็นครัว ห้องน้ำ ที่พัก ที่รับแขก ที่เก็บอาวุธ เป็นต้น ใกล้ปราสาทเป็นสวนญี่ปุ่นชื่อ Nishi-Oyasiki-Ato ซึ่งจัดในหลากหลายรูปแบบ สวยแปลกตาดี เราก็แวะไปชมด้วย มีปลาคาร์ฟหลายสีตัวเบ่อเริ่มเลย จากที่นี่เราไปต่อที่วัด Fushimi ซึ่งเป็นวัดที่แปลกมากเพราะมีเสาโทริที่ว่าเป็นสัญลักษณ์ญี่ปุ่นเป็นพันๆต้นเรียงต่อกันเป็นตับ แต่ละต้นก็จะมีตัวหนังสือแบบจีนเขียนอยู่ อันที่จริงในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า ประตูโทริ (Torii gate) แต่ดูแล้วเหมือนเสามากกว่า เราเลยเรียกเองว่าเสาโทริ วัดนี้มีรูปปั้นหมาป่าอยู่ในศาลด้วย  ฉันเลยเรียกว่าวัดหมาป่า มีหินเสี่ยงทายให้ยกแบบบ้านเราด้วย 

     เรากลับมาโตเกียวเมืองหลวงอีกครั้ง และพักโรงแรมเมอร์เคียวที่เดิม ตอนนั่งซินคังเซ็นหลับๆตื่นๆ ผ่านที่หนึ่ง เห็นคล้ายๆภูเขาไฟฟูจี แต่เมฆหมอกแยะ เห็นไม่ชัด พอบอกซุ้งให้ดู เจ้าหล่อนบอกน่าจะเป็นเมฆก้อนใหญ่น่ะ เอาเข้าจริง คงเป็นภูเขาไฟฟูจีจริงๆแหละ เพียงแต่ทัศนวิสัยไม่ดี เลยเห็นไม่ถนัด วันนี้เราไปเที่ยววัดเมจิ วัดดังอีกแห่งของโตเกียว จากที่นี่เราต่อไปที่ เมือง Kamakura เพื่อไปไหว้พระพุทธรูปไดบุสุ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ สูงประมาณ 13.35 เมตร ใหญ่เป็นที่สองของญี่ปุ่น พระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่นที่เราคุ้นตามาก พวกเราจึงตั้งใจจะต้องไปไหว้ให้ได้ ปรากฏว่าด้วยความชะล่าใจ  คิดว่าท่านอยู่กลางแจ้ง ไปเมื่อไรก็ได้ ดังนั้น พอนั่งรถไฟต่อรถเมล์ไปถึงวัดตอน 5 โมงสิบนาที วัดก็ปิดไปตั้งแต่ 5 โมงตรงแล้ว แต่ด้วยความมุ่งมั่น  เราจึงไปร้องอ้อนวอนคนเก็บตั๋วซึ่งเฝ้าทางเข้า และกำลังนับเงินเตรียมปิดบัญชี ขอเข้าไปสักการะท่านหน่อยสักกะติ๊ด ก็ยังดี เขาเห็นท่าสามสาวแล้วคงสงสาร แม้จะฟังไม่ออกก็ยินยอมให้เข้า แถมไม่คิดเงินอีกต่างหาก เราเลยรีบวิ่งไปไหว้ โชคดีจริงๆ คนออกมาเกือบหมดแล้ว เลยได้ถ่ายรูปแบบไม่มีใครบัง รู้สึกเป็นบุญและประทับใจมาก 

    พอตกกลางคืนเราก็นั่งรถไปที่ถนนชิบุยะ (Shibuya) ซึ่งว่ากันว่าเป็นถนนวัยรุ่นเดิน แต่รุ่นแรกอย่างเราไปก็ดึกพอควร เพื่อกินข้าวเย็น ก็ไม่เลยเห็นอะไร แถมกลับมาพี่อ้นอาหารเป็นพิษ เกือบแย่ ดีว่ามียากิน สงสัยแพ้เด็ก เอ้ย! สตอเบอรี่ในไอสครีมที่กิน รุ่งขึ้นอีกวันเลยสวมวิญญาณเด็ก ไปเที่ยว Sanrio Puroland เมืองคิตตี้แมวน้อย สังเกตดูแล้ว เด็กๆที่พ่อแม่พามาที่นี่ ไม่น่าจะเกินสิบขวบ ที่นี่ข้าวของน่ารักน่าซื้อไปหมด โชว์ก็ดูเพลิน อีกทั้งห้องหับต่างๆก็สีสันสดใส เช่น ห้องลูกกวาดเดินผ่านก็มีกลิ่นลูกกวาด ห้องช็อกโกแลต ก็มีกลิ่นช็อกโกแลตน่ากิน อาหารกลางวันก็มีให้เลือกว่าจะกินแบบสั่ง หรือจะไปที่ร้านที่หุ่นยนต์ทำอาหารก็ได้ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเพียงรูปหุ่นยนต์ใหญ่ทำท่าทำอาหาร แต่ไม่ได้ทำจริง มีคนมาวางไว้ให้เลือก แต่ก็เข้าท่า 

     วันสุดท้ายเราไปเที่ยวหอคอยโตเกียว ปรากฏว่า ตอนกลับดันขึ้นมาบนดินผิดทาง ต้องเดินอ้อมสถานีซะเกือบไม่ทันรถ ยังพูดกันเลยว่าปกติเดินกันอยู่ใต้ดิน มาวันสุดท้าย เพิ่งโผล่ออกมาเห็นหัวลำโพงญี่ปุ่นว่าหน้าเป็นอย่างไร ก็ต้องวิ่งซะหายใจแทบไม่ทัน เพราะต้องไปเอาเป้ที่ฝากในล็อกเกอร์แบบหยอดเหรียญที่สถานีด้วย  สิ่งที่ติดใจมากในญี่ปุ่น คือ ห้องส้วม เพราะเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อย ส้วมทีนี่ต้องบอกว่า สุดยอด !! มีอยู่ทุกที่ทุกแห่ง ซึ่งนอกจากจะสะอาดแล้ว เขาก็มีกระดาษทิชชู่ให้ด้วย  ตอนแรกอ่านในหนังสือเขาบอกให้เตรียมทิชชู่ไปเอง เอาเข้าจริงมีหมดทุกที่ มีวางให้หลายม้วนด้วย บางแห่งยังมี Cover sheet แบบในเครื่องบินด้วยแน่ะ  ถ้าคนไทยเราไป ไม่ต้องไปหยิบติดมือเผื่อไว้ส้วมหน้าล่ะ เพราะเขามีให้ทุกแห่งอยู่แล้ว และยังมีให้เลือกด้วยว่าจะเข้าแบบตะวันตก คือเป็นโถนั่ง หรือแบบญี่ปุ่นคือ เป็นส้วมยองๆ ถ้าส้วมยองๆจะมีกระบังยกสูงขึ้นมา เวลาเข้าต้องหันหน้าเข้าหากระบังนี้ ก็คือต้องหันหลังให้ประตู ชักโครกส่วนใหญ่เขาจะเป็นระบบ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook