7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนที่1)
7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ ณัฐภณ วุฒิกานากร (เอ..บ้านผางาม รีสอร์ท) ... เรื่อง / ภาพ คำกล่าวที่ว่า Alaska is the last frontier of the world ก็คงไม่ผิดความจริงมากหรอกครับ จากสถานการณ์สิ่งแวดล้อมโลกปัจจุบันในทุกๆที่กำลังถูกคุกคามจากหลายด้าน ซึ่งสาเหตุหลักคงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็คือ มนุษย์เรา หรือให้ชัดๆ ก็คือ พวกเราเองนี่แหละครับ ไม่ว่าจะโดยทางๆใดก็ทางหนึ่ง แล้วจะมีที่ไหนกันที่รอดพ้นจากความเจริญ และการรุกล้ำของมนุษย์ หากไม่ใช่สถานที่ที่มีความกันดารสุดขีดทั้งจากสภาพพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก และสภาพอากาศที่เย็นสุดขั้วหัวใจอย่าง อะลาสก้า
การเดินทางของผม เริ่มต้นขึ้น จากการร่วมเดินทางในเรือสำราญที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรือที่มีขนาดใหญ่ลำล่าสุด นั่นคือ SAPPHIRE PRINCESS ด้วยขนาดของลำเรือที่มีระวาง 100,900 ตัน และสูงเท่ากับตึก 16 ชั้น จุผู้โดยสารได้ 2600 กว่าคน มีความรู้สึกเหมือนกับอยู่บนอาคารสูงขนาดยักษ์เคลื่อนตัวอยู่กลางทะเล ที่เพียบพร้อมไปด้วยสุดยอดความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหารระดับหรูถึง 5 ภัตตาคาร (บางภัตตาคารเปิดให้รับประทานอาหารได้เต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง ), โรงละครขนาดยักษ์ที่จัดเตรียมการแสดงระดับ Boardway ทุกคืน , Fitness, Spa, Casino และอื่นๆ กัน ทำให้ผมเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับตัวเอง ซึ่งเป็นคนที่ชอบเที่ยวแบบเรียบง่าย สบายๆ ว่า ในความศิวิไลซ์สุดโต่ง กับการไปท่องเที่ยวในแหล่งพรมแดนธรรมชาติสุดท้าย อย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้หรือเปล่า อะไรคือสิ่งที่คนเราต้องการในชีวิตของเรามากกว่ากัน คำตอบของผมอยู่ในระหว่างการเดินทางนั่นเองครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเล่าให้ฟังถึงรายละเอียดในแต่ละวันเลยละกันครับ
ในวันที่สอง เป็นวันเดินทางตลอดทั้งวันครับ ไม่มีขึ้นฝั่งเลย จึงมีกิจกรรมอัดแน่นตลอดทั้งวัน ทั้งลำเรือ มีเครื่องมือพิเศษในมือผมเพียงชิ้นเดียว ที่เรียกว่า Princess Platter หรือ วารสารของทางเรือ ซึ่งจะส่งมาวันต่อวัน และบอกสถานที่และเวลา รวมถึงประเภทของกิจกรรม ไล่เลียงมาตั้งแต่ เรียนทำอาหาร / เพ้นท์เซรามิค / เรียน Line Dance / ฉายหนังสารคดี / ฟังบรรยายสถานที่เที่ยวที่เราจะไป / ฝึกโยคะ / ฟังเลคเชอร์เรื่องสัตว์ป่า ดูแกะสลักน้ำแข็ง / เรียนถ่ายภาพ / ฯลฯ เรียกว่า วันเดียวคงร่วมกิจกรรมไม่หมด ก็เลือกตามความชอบและความถนัด บางกิจกรรมต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยครับ ในวันนี้ ยังเป็นวันที่บังคับให้เราต้องมาในชุดสูทและชุดราตรีตอนกลางคืน เพื่อมาร่วมงานรับประทานอาหารค่ำอย่างเต็มรูปแบบอีกด้วยครับ โดยจะมีการเสริฟอาหารสี่อย่างตั้งแต่ Appetizer (รองท้อง) จานกลาง สลัด อองเทร์ (จานหลัก) ตบท้ายด้วยของหวาน ต้องแต่งตัวผูกไท ใส่สูทเต็มยศ และนั่งรออาหารออกมาทีละอย่างหลังจากเลือกสั่งในช่วงแรกแล้ว อาหารรสชาติดีสุดยอดครับ บางมื้อมี Lobster ด้วย แต่ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงกว่าจะออกครบทุกเมนู ส่วนตัวผมคิดว่าถ้าชอบความสะดวกสบาย การรับประทานแบบบุฟเฟต์ 24 ชั่วโมงในเรือ แบบไม่ต้องมีการนัดหมายเวลา น่าจะสะดวกกว่าครับ การผจญภัยจริงๆ จึงเริ่มในวันที่สามครับ ผมเริ่มรู้สึกเริ่มชอบล่องเรือในทริปไปอลาสก้า ครั้งนี้แล้วล่ะครับ ข้อดีของการท่องเที่ยวแบบเรือสำราญ หรือ Cruise ก็คือ ประหยัดเวลาในการเก็บสัมภาระเข้าๆออกๆ หรือย้ายโรงแรมในแต่ละเมืองไปมาก ( เพราะนอนในเรืออย่างเดียวตลอด 7 วันเลยครับ ) ทำให้เรามีเวลาสนุกสนานกับท่องเที่ยวของเราได้เต็มที่ ตื่นเช้ามาก็ถึงเมืองท่องเที่ยวพอดี โดยเรือจะจอดในแต่ละเมืองท่าทุกเช้าไม่ซ้ำกัน และพอจอดปุ๊บก็ต้องรีบไปหาทัวร์ที่เราจะไปติดต่อด้วยตัวเองให้ทันเวลา ท่องเที่ยวผจญภัยให้สมอยาก และกลับมาขึ้นเรือให้ทัน จึงจะออกเดินทางเพื่อไปโผล่ที่เมืองท่าต่อไปในเช้า/สายของวันถัดมาครับ ซื้อโปรแกรมท่องเที่ยวเยอะก็ต้องทำเวลากันหน่อย รวมถึงเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่ถ้าตั้งใจไปหาประสบการณ์ ผมก็ว่าคุ้มครับ
การบริหารเวลาเรื่องทัวร์ที่นี่เนี่ยดีมากๆ มีการรับและส่งต่อจากหัวเรือ ถึงสถานที่เที่ยว ระหว่างทางคนรถพร้อม headphone บรรยายแบบชัดเจน ถึงรายละเอียดเมืองรอบข้างและสถานที่ที่จะไป (ใช้คุ้มมาก) ส่งต่ออย่างดีนัดเวลากันก่อนกลับ ซึ่งการขึ้นรถที่นี่ต้องบอกว่า เรามาก่อนของก่อนเวลานัดดีที่สุด เช่น รถออก 5.30 ในตั๋วจะเขียนว่าพบกัน 5.20 เราควรมาถึง 5.10 เพราะตอน 5.20 คนมาขึ้นรถกันเกือบครบ ขาดไปหนึ่งคน พอเช็คแล้ว 5.29 ยังไม่มา เขาก็ทิ้งเลยครับ เยี่ยมที่สุด บางวันมีคนมาสุดท้ายตอน 5.25 เขาก็สาปแช่งกันทั่วรถและจะพูดนินทากันว่าไปไหนนะ บ้างก็ทำไมเราต้องรอเขา กับอีกคนก็ตะโกนบอกไปเถอะ แต่พอคนสายสุดที่มา late ก่อนเวลานัดขึ้นมาถึง ก็ยังดีนะครับ ที่ทุกคนก็แค่พร้อมใจกันปรบมือต้อนรับอย่างสนั่นกึกก้อง ถ้าผมเป็นคนมาสายผมคงโดดน้ำตายเลยหล่ะ ดีนะครับ เห็นเชือดไก่ให้ลิงดูตั้งแต่วันแรก (มีแต่วันแรกเท่านั้นแหละที่ราบเรียบที่สุด วันอื่นๆนี่ผมเฉียดเกือบสายสุดทุกวัน เพราะมันออกจากศุลกากรในเรือลำบากจริงๆ การลงท่าทุกครั้งถือว่าออกจากชายแดนอเมริกาเข้าอลาสก้า/แคนาดา ตอนเข้าก็ต้องตรวจเอ็กซเรย์โลหะทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยเรื่องการก่อวินาศกรรมบนเรือ ดูคิวขึ้นเรือในภาพละกันนะครับ ฉะนั้นเราแทบต้องเตรียมตัวเมื่อเรือจอดก่อนทัวร์ออกอย่างน้อย 1 ชั่วโมงทุกครั้ง ซึ่งก็มีข้อดี เพราะทำให้ผมเป็นคนตรงเวลาขึ้นเยอะเลย )
ในช่วงบ่ายของวันที่สี่ ผมได้แวะลงที่เมือง Juneua (จูโน่) เพื่อชมสิ่งมหัศจรรย์อยู่สองอย่างครับ (เนื่องจากโปรแกรมแน่นมาก เพราะจะต้องเที่ยว 2 ทัวร์ให้เสร็จในเวลา 4 ชั่วโมง ถ้ากลับมาไม่ทัน ก็อาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างที่สาม ก็คือ จะกลับบ้านอย่างไรโดยไม่มีเรือ ครับ ) สิ่งแรก คือ การขึ้นทัวร์เครื่องบินน้ำเพื่อไปชม เกรเชอร์ - ธารน้ำแข็งล้านปี (Glacier) ซึ่งอาศัยการก่อตัวจากหิมะที่อัดแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็ง ไหลผ่านกาลเวลาอย่างเชื่องช้าเป็นเวลานับล้านปี จนก่อเกิดธรรมชาติที่น่าชมและตื่นตาอย่างไม่รู้ลืมครับ การเดินทางเริ่มต้นจากนั่งรถไปรอที่ท่าเรือบินน้ำซึ่งมีเครื่องบินน้ำจำนวน 10 ลำ บินวนขึ้นวนลงสลับกันทุก 5 นาที เพื่อรับผู้โดยสารประมาณ 6 คนต่อลำเพื่อจะบินเลียดเมือง ลัดสู่หุบเขาธารน้ำแข็งล้านปีในเวลา 15 นาที รวมเวลาชมและไป-กลับ ประมาณ 45 นาทีครับ ระหว่างการบินจะมีเสียงบรรยายภาษาอังกฤษ ถึงธรรมชาติการเกิดธารน้ำแข็ง และ วัฒนธรรมรวมถึงผู้คนในเมืองจูโน่ ทำให้เราเรียนรู้จักผู้คน การทำมาหากินของเขา และประวัติศาสตร์การกำเนิดเมืองด้วยครับ เมื่อบินมาถึงธารน้ำแข็งล้านปี ต้องขอบอกว่าเป็นสิ่งที่ผมประทับใจมากครับ การได้มาเห็นประติมากรรมธรรมชาติที่ก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าและงดงามขนาดนี้ ทำให้เราเรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่บอกให้เรารู้ว่า เราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวจ้อย ที่เป็นเพียงส่วนประกอบส่วนน้อยของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ การดำเนินชีวิตของเราควรให้ความเคารพกับธรรมชาติมากขึ้นกว่านี้ในทุกๆด้าน เพียงแค่คิดว่าหากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีกนิดและธารน้ำแข็งเหล่านี้ละลายมากขึ้นสู่ท้องทะเล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาวะแวดล้อมโลก ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ Nature strike back หรือ ธรรมชาติเอาคืน ( อันนี้ผมตั้งเองนะ) ในรูปแบบไหนบ้าง และที่สำคัญ ความสวยงามเหล่านี้ ผมเองก็คนหนึ่งที่อยากจะมีส่วนร่วมในการรักษา เก็บไว้ให้ลูกหลานได้มีโอกาสชื่นชมต่อไปด้วย สิ่งที่สอง ก็คือ การได้ล่องเรือติดตามชมการใช้ชีวิต ปลาวาฬ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่ง ผมต้องเดินทางไปขึ้นเรือในท่าเรือที่ค่อนข้างห่างไกลจากที่เดิมมาก โดยไปขึ้นเรือเร็ว 2 ชั้น ซึ่งมีกระจกใสรอบเรือ ทำให้สามารถสังเกตเห็นการปรากฏตัวของปลาวาฬได้จากรอบลำเรือเลยครับ สภาพบนเรือค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะจัดเป็นเรือภัตตาคารแบบง่ายๆ และมีอาหารอร่อยครับ ระหว่างเดินทางสามารถรับประทานอาหารเย็นได้เลย ระหว่างนั้นพอเรือเจอปลาวาฬก็หยุดดูได้ทันที ซึ่งการท่องเที่ยวเพื่อชมชีวิตสัตว์ป่าในต่างประเทศนี่ดีมากเลยครับ มีระบบจัดการท่องเที่ยวในเชิงนิเวศน์ ซึ่งคำนึงถึงการกระทบสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดและรักษาให้ยั่งยืน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ได้อย่างตลอดไป เนื่องจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในแต่ละวัน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเครียด และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของปลาวาฬ ทั้งในด้านพฤติกรรมการหากิน / อพยพ / แพร่พันธุ์ จึงมีการกำหนดเวลาในการชมของเรือแต่ละลำว่า จะใช้เวลาหลังจากเจอปลาวาฬไม่เกิน 30 นาที ทำการเดินเรือในแนวขนานกับการว่ายของปลาวาฬและต้องรักษาระยะห่างในแนวรัศมีประมาณ 100 เมตร (หากข้อมูลระยะทางคลาดเคลื่อนต้องขออภัยด้วยครับ) และต้องทำการดับเครื่องทันทีหากปลาวาฬปรากฏตัวหรือเคลื่อนที่เข้าใกล้กว่าระยะที่กำหนด ในที่สุด เราก็ได้เจอปลาวาฬหลังค่อม (Ham-Back Whale) เป็นตัวแรกเลยครับ ในระยะที่ใกล้ที่สุด ซึ่งจะปรากฏตัวโดยการพ่นน้ำขึ้นเป็นฝอยน้ำสูง และดำผุดขึ้นมาประมาณ 3- 4 ครั้ง โดยเว้นระยะเวลาแต่ละครั้งประมาณ 2-3 นาทีครับ ก่อนที่จะดำลงครั้งสุดท้าย (Terminal Drive ) โดยจะมีลักษณะพิเศษที่โก่งหลังขึ้นโค้งสูงเป็นพิเศษ และโผล่ครีบหางสูงขึ้นมา อันเป็นสัญลักษณ์ว่า จะทำการดำลงลึกแล้วในครั้งนี้ จากนั้นจึงอาจจะโผล่อีกตำแหน่งที่ต่างกัน จากการโผล่ครีบหางให้เห็นในครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้เราสามารถบอกลักษณะเด่นของปลาวาฬแต่ละตัวได้เลยครับ โดยที่ท้ายเรือจะมีแผนผังภาพครีบหางและชื่อของปลาวาฬนั้นๆครับ เจ้าตัวที่โผล่มาให้เห็นนี้ ยังโผล่มาให้เห็นในอีก 4 ครั้งในตำแหน่งที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือของลูกเรือทุกคนและกัปตันในการช่วยติดตามปลาวาฬ ซึ่งระยะทางก็ค่อยๆห่างไปเรื่อยๆครับ ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดเราเป็นเรือเร็วมาก สัตว์โลกขนาดใหญ่ตัวนี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วกว่ามากจริงๆ ทั้งๆที่ตอนโผล่ตัวจะดูเคลื่อนไหวไม่ค่อยเร็วมาก จนถึงระยะเวลาที่กำหนด เราจึงเดินทางกลับกัน เพื่อไม่เป็นการรบกวนปลาวาฬมากนัก เรื่องที่เกี่ยวข้อง 7 วัน ตะลุยอลาสก้า...พรมแดนสุดท้ายแห่งโลกธรรมชาติ (ตอนจบ) คลิกที่นี่ |