เที่ยวแผ่นดินสีทองประเทศพม่า
ผมไปประเทศพม่ามาเมื่อไม่นานมานี้ ขอเล่าเรื่องเมืองพม่าเท่าที่เห็นมาให้อ่านกันครับ พม่า ปัจจุบันมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหภาพเมียนม่าร์ และมีป้ายใหญ่ตั้งอยู่ที่ทางเข้าออกสนามบินว่า เป็นแผ่นดินสีทอง คำว่าแผ่นดินสีทองน่าจะหมายถึงพระเจดีย์และสถูปทั้งหลายที่เป็นสีทองคำดารดาษอยู่ทั่วไปในประเทศพม่า ทั้งในนา ทุ่งข้าว ในสวนไร่ ริมคลองลำแม่น้ำ และในป่า ตลอดจนถึงยอดภูเขา พม่านับว่าเป็นเมืองแห่งเจดีย์และปูชนียสถานทางพุทธศาสนาโดยแท้จริง ยิ่งสำหรับคนไทยโดยทั่วไปแล้วพม่าทุกวันนี้ คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนอกจากว่าควรที่จะได้ไปจาริกแสวงบุญปฏิบัติธรรมในทางพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังบนบานศาลกล่าว อธิษฐานหรือขออะไรก็ได้ดังปรารถนาด้วย |
คนไทยส่วนใหญ่ที่ไปเมืองพม่า ก็มักจะไปไหว้พระทำบุญ สถานที่ส่วนใหญ่ที่ทัวร์ไทยจะต้องไปก็ได้แก่ อาทิ เจดีย์ชเวดากอง พระธาตุมุเตา พระธาตุอินทร์แขวน พระนอนตาหวาน และเทพทันใจ ฯลฯ นี่ยังไม่นับเมืองมันฑะเลย์และพุกามที่อยู่ทางเหนือขึ้นไปอีกต่างหาก
คณะที่ผมไปก็อยู่ในทัวร์ของรายการดังว่านี้ แต่อยู่ที่เมืองย่างกุ้งกับหงสาวดีเสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแรกเข้าเมืองพม่า คนพม่าได้แนะนำไว้ว่า เรื่องสำคัญในพม่าก็คือ อยพยายามเข้าไปใกล้การเมือง ไม่พูด ไม่ถามเรื่องการเมืองเป็นดี แม้ตำรวจกับทหารก็ห้ามถ่ายรูปเป็นอันขาด ประเดี๋ยวเขาโกรธเอาแล้วจะยุ่ง คนพม่าว่า แต่ก็คนพม่าเองนั่นแหละ ที่อดจะพูดถึงเรื่องการเมืองในประเทศของตนไม่ได้ อย่างเช่นเขาบอกว่าที่ประเทศพม่านาฬิกาจะเดินช้าจากเวลาในเมืองไทยไปประมาณ 30 นาที ความเจริญของบ้านเมืองพม่าเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็น่าจะล้าหลังจากเมืองไทยไปประมาณ 30 ปีได้ |
ทั้งนี้ถ้าหากว่าเราวัดความเจริญกันที่ตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทางและเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะการมีโทรศัพท์มือถือที่ประเทศพม่า นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากมาก เพราะรัฐบาลพม่ากลัวว่าจะมีใครเอาโทรศัพท์มือถือไปแอบวางระเบิดเหมือนที่เกิดชุกชุมอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน คนพม่าบอกว่าการมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง จึงต้องรอกันนานนับเป็นปี
พม่าปกครองโดยรัฐบาลทหาร ซึ่งได้ทำการปฏิวัติรัฐประหารมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2505 ตั้งแต่สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก นึกถึงพม่าปัจจุบัน ถ้านึกถึงเมืองไทยเราเมื่อสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็คงไม่ต่างกันนัก พม่าโดยรวมคล้ายว่า จะหยุดทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเศรษฐกิจและการเมืองเอาไว้กับกาลเวลาเมื่อกว่า 30 ปีก่อน ดังที่กล่าวเมืองพม่าเท่าที่เห็นแม้แต่ในกรุงย่างกุ้งอดีตเมืองหลวง อันเป็นเมืองใหญ่โตที่สุดของประเทศจึงไม่มีป้ายโฆษณาขายมือถือหรือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตใดๆ ป้ายที่เห็นส่วนใหญ่มักจะเป็นป้ายโฆษณาขายแว่นตาหรือแป้งแต่งหน้า ยาสีฟัน หรือไม่อย่างดีก็เป็นเพียงแค่เคเบิ้ลทีวี กับศิลปินดาราที่ขายหนังกับดนตรีแต่คนพม่าและเมืองพม่าก็น่ารักไปอีกแบบ |
คนพม่ากับคนไทยถ้าจะว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็แทบจะไม่มีอะไรต่างกัน คือชอบกินขนมจีน กินขนมครกและพึ่งร้านข้าวแกงริมถนนเป็นชีวิตประจำวัน เพียงแต่ผู้ชายชาวพม่านุ่งโสร่ง และผู้หญิงนุ่งซิ่นถุงสำหรับเรื่องการเมืองแล้ว คนพม่าเบื่อหน่ายทั้งรัฐบาลและการเมืองยิ่งกว่าคนไทยเรามาก คนพม่าบอกว่า เท่าที่อยู่ได้ทุกวันนี้ ก็คือการพึ่งตนเองไปตามยถากรรมและพยายามที่จะไม่ใส่ใจสนใจว่า รัฐบาลทำอะไรอยู่ ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย
คนพม่าเคร่งศาสนาและเชื่อตามหลักแห่งกรรมตามพุทธศาสนาที่ว่า ใครทำอย่างไรไว้สักวันหนึ่งก็คงจะได้อย่างนั้นดังนั้น คนพม่าจึงมักจะวางเฉยไม่ว่าจะในเรื่องการลงประชามติรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ หรือว่าการเลือกตั้งที่รัฐบาลบอกว่า จะจัดให้มีขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า
คนพม่าเท่าที่รู้จึงมักไม่ยินดียินร้ายนัก คนพม่าบอกว่า เกรงว่าจะถูกหลอกอีก ประชาธิปไตยไม่ว่าจะเต็มใบหรือครึ่งใบ ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในพม่า สิ่งที่คนพม่าเห็นมีแต่การจลาจลและนองเลือด กลับจากเมืองพม่ามาด้วยความสงสารคนพม่า แต่ครั้งได้มาเจอกับการเมืองไทยที่ยังคงยุ่งกันไม่เลิก ก็อดสงสารตัวเองไม่ได้เช่นกันครับ
คอลัมน์: ดาวเคลื่อนเดือนคล้อย โดย.. อัศศิริ ธรรมโชติ All magazine พฤษภาคม 2551