อุ้มผางคี

อุ้มผางคี

อุ้มผางคี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อุ้มผางคี 

อ.อุ้มผาง นอกจากความยิ่งใหญ่ของน้ำตกทีลอซูแล้ว สายน้ำอุ้มผางคี เป็นอีกหนึ่งเส้นทางผจญภัยที่ยิ่งใหญ่รุนแรงไม่แพ้กัน 

เอ็ด แม่ปิง ... เรื่อง นุ บางบ่อ ... ภาพ  ออนไลน์วันที่ 10 สิงหาคม 2548

      สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน คราวนี้กลับพร้อมกับภารกิจ โหด มันส์ ฮา พาบุกป่าฝ่าดง ตะลุยท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนฤดูที่ทุกท่านอาจจะไม่อยากออกไปไหน แต่รับรองว่าถ้าท่านได้อ่านได้ชมภาพแล้ว หลายท่านอาจจะเปลี่ยนใจรีบเดินทางกันเลยทีเดียว (เวอร์ไปหน่อย) ซึ่งภารกิจครั้งนี้ผมได้รับมอบหมายให้พาคณะสื่อมวลชนไป มุดถ้ำ แช่น้ำแร่ เดินป่า พักบ้านกระเหรี่ยง ล่องแก่ง ในพื้นที่ อ.แม่สอด - อ.อุ้มผาง จ.ตาก เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่ยังคงมีความน่าสนใจอยู่มาก ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่เคยรู้จัก หรือ ได้ยินมาก่อน  

      06.30 น. ณ สนามบินดอนเมือง คณะสื่อมวลชน และบริษัทนำเที่ยว ที่กล้าหาญชาญชัย ได้มารวมตัวโดยการนัดหมาย ที่หน้าบูธสายการบินภูเก็ตแอร์โดยมีคุณนวรัชต์ ทิมกระจ่าง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด สายการบินภูเก็ตแอร์ และคุณอารีย์ เลาทวิช รอให้การต้อนรับ และร่วมเดินทางไปกับคณะด้วย ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ สายการบิน ภูเก็ตแอร์ ได้กรุณาให้ความอนุเคราะห์เกี่ยวกับตั๋วเครื่องบิน ไป-กลับ กรุงเทพฯ - แม่สอด - กรุงเทพ แก่คณะฯ (ขอขอบพระคุณครับ) ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงสนามบินแม่สอดแล้ว แป๊บเดียวจริงๆ (หลับยังไม่ทันเต็มตื่นเลย)

ลงเครื่องที่สนามบินแม่สอด พร้อมสายฝนพร่ำๆ ซึ่งที่นี้ พี่วิสูตร บัวชุม (ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงาน ททท. ภาคเหนือ เขต 4) รอให้การต้อนรับ (โธ่ เจอกันไม่เท่าไรไปซะแล้ว อยากรู้ไปไหนอ่านต่อ ?) และนำคณะเราเข้าที่พัก 

      ซึ่งคราวนี้คณะเราได้ที่พักชั้นหนึ่งใน อ.แม่สอด คือ โรงแรมเซ็นทรัล แม่สอดฮิลล์ โดยมีคุณกิตติพร สุตสุนทร ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเซ็นทรัล แม่สอดฮิลล์ รอให้การต้อนรับอยู่แล้ว และขอขอบพระคุณครับ ที่กรุณาให้ที่พักแก่คณะของเราซุกตัวนอนฟรี หลังเก็บข้าวของเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็เดินทางต่อประมาณ 20 นาที เพื่อปฎิบัติภารกิจแรก "ล่องแก่งลำน้ำแม่ละเมาตอนล่าง" กิจกรรม ล่องแก่งลำน้ำแม่ละเมาตอนล่าง ตั้งอยู่ในเขต ต.พะวอ เส้นทางการล่องเริ่มจากห้วยแม่หก ผ่านป่าเต็งรัง ป่าไผ่ ไปสิ้นสุดที่สวนป่าพะวอ รวมใช้เวลาล่องประมาณ 1 ชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายตลอดเส้นทาง ระดับความรุนแรงของสายน้ำอยู่ในระดับ 1 - 2 เหมาะสำหรับครอบครัว และผู้ที่มีเวลาน้อย แต่ถ้าใครต้องการล่องในระดับที่สูงขึ้น ที่นี่ก็มีจุดล่องที่เรียกว่า ล่องแก่งแม่ละเมาตอนบน ไว้ให้ท่านได้พิชิตอีกจุดหนึ่ง รับรองครับว่า โหดไม่แพ้ที่อื่นๆ เหมือนกัน 
     ช่วงบ่ายภารกิจที่สอง "เที่ยวถ้ำแม่อุษา อาบน้ำแร่แม่กาษา " ต.แม่กาษา อ.แม่สอด การเที่ยวชมถ้ำแม่อุษา ต้องติดต่อคนนำทางบริเวณบ่อน้ำร้อนแม่กาษาก่อน (ไม่งั้นหลง) ปากถ้ำอยู่บนเขาต้องเดินขึ้นไปตามบันไดประมาณ 800 ขั้น วันนี้สายฝนโปรยปรายทั้งวัน แต่ทุกท่านในคณะฯ ก็ไม่ถอย ผู้นำทางที่เป็นชาวบ้านใน ต.แม่กาษา บอกว่าใช้เวลาในการเดินเพียง 20 นาที ก็ถึงปากถ้ำแล้ว เริ่มเดินช่วงแรกพวกเราก็เกาะกลุ่มคุยกันสนุกสนาน เวลาผ่านไป 10 นาที เริ่มแตกกลุ่ม เสียงคุยเริ่มจางหายไป ความเหนื่อยเริ่มมาเยือน
     เมื่อเดินมาถึงจุดชมวิวใครบางคนในคณะของเราขอพักเพราะลมจะใส่ ก็ไม่มีใครค้านเห็นชอบด้วยทุกคน จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นพื้นที่ ต.แม่กาษา ได้ทั้งหมด หยุดนั่งพักสักประมาณ 10 นาที ก็เดินทางต่อ ระหว่างทางมีกล้วยป่าต้นเล็กที่กำลังแตกหน่อขึ้นเต็มดูงามตาพาให้เพลินหายเหนื่อย 

     ถึงปากถ้ำต้องไต่บันไดเหล็กลอดลงไปในช่อง มุดรู ลงไปเรื่อยๆ ก็ได้กลิ่นที่ทุกถ้ำต้องมีนั้นคือ กลิ่นมูลค้างคาว เป็นห้องแรก มีค้างคาวอยู่นับล้านตัว จากนั้นต่อด้วยการไต่บันไดเหล็กลงไปก็พบอีกห้องหนึ่งซึ่งใหญ่มากๆ  คงเป็นเพราะความใหญ่โตของแต่ละห้องภายในถ้ำ ทำให้อากาศภายในถ้ำไม่อับมีลมพัดผ่านตลอดเวลา พวกเรานั่งชื่นชมกับความใหญ่โต และหินงอกหินย้อย พักพอหายเหนื่อย

 เดินต่อแต่ละถ้ำมีม่านหินงอกหินย้อยสวยงามแปลกตา เช่น ถ้ำนมสวย เป็นถ้ำที่มีลักษณะหินย้อยเหมือนนมผู้หญิงซึ่งมีทุกวัย จากนั้นต้องมุดออกตามช่อง เรียกว่าถ้ำช่องคลอด (ชื่อแปลกๆ นะ) โผล่ที่ถ้ำเสาเอก ซึ่งลักษณะเป็นเสาเอกจริง เหมือนมีไว้ค้ำยันเพดานถ้ำ จากนั้นเดินต่อไปดูม่านหินย้อยที่ถ้ำรันตู (พวนคำเอาเองนะครับ) เราต้องย้อนกลับอีกทางหนึ่งโดยผ่าน ถ้ำเห็ดหลินจือ , ถ้ำดอกกระหล่ำปลี และไปบรรจบกับที่ถ้ำใหญ่ แวะพักกันอีก ก่อนจะปีนกลับออกจากถ้ำโดยใช้เส้นทางเดิม พอพ้นถ้ำได้ก็เรียกหาน้ำกันเลย ทุกคนลงความเห็นว่า ถ้ำนี้ใหญ่ และสวยมากจริงสมกับที่บากบันขึ้นมาดู (เกือบโดนสกัมแล้วซิเรา)
     ขากลับเมื่อเดินลงมาถึงบ่อน้ำร้อนแม่กาษา ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน บางคนลงแช่น้ำอุ่น ซึ่งไหลมาจากบ่อน้ำพุร้อน เพื่อคลายกล้ามเนื้อ บางคนนำขาลงไปต้ม ซึ่งบ่อน้ำร้อนนี้มีความร้อนประมาณ 70 - 80 องศา แล้วนำมารับประทานเพื่อเรียกพลังที่เสียไป (ฟิตจริงๆ) สิ้นสุดภารกิจวันแรกแบบสนุกสนาน และเดินทางกลับมานอนหลับสบายกับเตียงนุ่มๆ ที่ โรงแรมเซ็นทรัลแม่สอดฮิลล์ 
     ภารกิจ วันที่สอง "เที่ยวสวน ชมน้ำตก ที่ อ.พบพระ" อ.พบพระ ได้ชื่อว่า เป็นแหล่งที่ปลูกกุหลาบมากที่สุดในประเทศไทย แต่ อ.พบพระใช่ว่า จะมีแค่กุหลาบเท่านั้น ยังมี ไม้ดอก ไม้ผล อีกหลายอย่าง ซึ่งครั้งนี้เราได้มีโอกาสไปชม "สวนเทพพิทักษ์" บนเนื้อที่กว่า 900 ไร่ ซึ่งคุณลุงไพรัช ไชยนอก นักปราชญ์ทางการเกษตร ผู้คิดค้นทับทิมสายพันธุ์ใหม่ที่มีรสชาติหวาน กรอบ เมล็ดสีแดงสด ผลโต คือ "ทับทิมศรีปัญญา"
      และที่เป็นจุดเด่นของสวนคือ "ทับทิมศรีสยาม" เป็นทับทิมไร้เมล็ด นอกจากนี้คุณลุงไพรัช ยังริเริ่มการทำชาจากดอกทับทิม , น้ำทับทิมคั้นสดๆ ซึ่งใช้แทน "ยาไวอาก้า" ได้เลยทีเดียว (ไม่เชื่อดถามสุงไพรัช เจ้าของสวนดูนะครับ) และน้อยหน่าลูกโต หนักลูกละประมาณ 8 - 9 ขีด จำหน่ายอีกด้วย เรียกได้ว่า ครบวงจรจริงๆ 
     จากนั้นเดินทางต่อไปอีกประมาณ 10 กม. ชมทุ่งดอกกระเจียวป่าบานสะพรั่งนับพันๆ ดอก และน้ำตก 97 ชั้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพาเจริญ (หลายคนอาจไม่เชื่อ ต้องไปพิสูจน์ครับ) ช่วงดอกกระเจียวจะบานประมาณเดือน กรกฎาคม - ตุลาคม เท่านั้น (รีบมาดูกันนะ) 
    ที่น้ำตกพาเจริญ นี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้เป็นอย่างดี ความสวยงามของน้ำตก ที่มีจำนวนชั้นนับได้ถึง 97 ชั้น นี้ไม่ธรรมดาเลย แถมมีทุ่งดอกกระเจียวที่สวยงามออกดอกบานสะพรั่งอยู่บริเวณด้านหน้าของน้ำตกอีก หากท่านได้ผ่านไปไม่ควรพลาดที่จะแวะเข้าไปชม การคมนาคมก็สะดวกเพราะอยู่ติดกับริมถนนใหญ่ท่านกำลังจะเดินทางไปสู่ อ.อุ้มผางนั่นแหละ

     หลังจากมื้อเที่ยงแสนอร่อยผ่านไป เราเดินทางต่อกันเลยเพื่อไป "แผ่นดินดอยลอยฟ้า อ.อุ้มผาง" ผมเดินทางไป อ.อุ้มผางบ่อยมาก แต่ไม่รู้สึกเบื่อกับสภาพเส้นทางที่แคบ และมีโค้งถึง 1,219 โค้ง ที่ทอดตัวคดเคี้ยวบนสันเขาถนนธงชัย การเดินทางครั้งนี้สายฝนไม่เป็นอุปสรรค์เลย กลับทำให้สภาพสองข้างทางดูเขียวขจีเย็นตามากขึ้น มีสายหมอกไหลเอื่อยๆ เบื้องล่างของหุบเขาที่รถเราแล่นผ่านช่วงแรกสภาพป่าสองข้างทางจะเป็นไร่กระหล่ำปลี และสวนป่าที่ปลูกทดแทนการถากถางทำไร่ บริเวณ กม.ที่ 85 จะมีจุดแวะพักรถ พักคน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของแขวงการทางแม่สอด ที่จัดให้บริการแก่ผู้ที่ผ่านไป - มาได้อย่างลงตัวจริง ขอชมเชยจากใจจริงๆ เลยครับ จากนั้นเดินทางต่อผ่าน "ศูนย์อพยพอุ้มเตี้ยม" จะมีใครรู้บ้างไหมว่า บริเวณเทือกเขาที่อยู่หลัง "ศูนย์อพยพอุ้มเตี้ยม" เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำแม่ละเมา ที่เราล่องแก่งในวันแรก ไหลลงสู่แม่น้ำเมยที่ บ้านวังผา อ.แม่ระมาด และ แม่น้ำแม่กลอง ที่ไหลผ่าน อ.อุ้มผาง สู่ผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ออกแควใหญ่ ที่ จ.กาญจนบุรี ไหลต่อไปที่ จ.ราชบุรี ลงอ่าวไทยที่ จ.สุมทรสงคราม ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวไกลจริงๆ สภาพสองข้างทางช่วงที่สองนี้จัดได้ว่าสมบูรณ์จริง ผมไม่เคยเห็นกูดใหญ่ (tree fern) ยืนต้นแผ่ใบกว้างอยู่กันแน่นขนัดขนาดนี้มาก่อนเลย ซึ่งที่ไหนมีกูดใหญ่ที่นั่นถือว่าเป็นป่าที่สมบูรณ์มาก ตามเส้นทางสูงชันคดเคี้ยวแต่ละช่วง ผ่านป่าดิบดำ ลาดหุบเขา ดงพลวง ดงสน และสายหมอกดูสวยงามสบายตาจนเกือบลืมดูทางกันเลยที่เดียว (ไม่ได้โม้) 

     เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงที่ อ.อุ้มผาง ดินแดนแห่งขุนเขา "แผ่นดินดอยลอยฟ้า" อ.อุ้มผาง เป็นเมืองเล็กๆ เมื่อก่อนไม่มีธนาคาร แต่เดี๋ยวนี้มีธนาคารที่กล้าหาญมาเปิดให้บริการคือ ธนาคาร ธกส. (ขอชมเชยครับ) และที่สำคัญอีกอย่างคือ โรงไฟฟ้าพลังดีเซล น่าชมมากครับ วันนี้เราพักแรมที่ ตูกะสู คอทเทจ (ฟรีอีกแล้วครับท่าน) โดยผู้ชายผมยาวหนวดงาม ใจดี นาม "พี่อู๊ดดี้" และสาวสวยเมืองกรุงที่หลงเสน่ห์แห่งป่างามนาม "พี่ยุ้ย" ให้การต้อนรับขับไล่เข้าห้องก่อนที่คณะเราร่วมทานอาหารเย็น กับสมาชิกชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และอนุรักษ์อุ้มผาง โดยมีคุณณรงค์ คัมภีร์ เป็นประธานชมรมฯ 

     ภารกิจวันที่สาม "ล่องเรือลำน้ำแม่กลองชมน้ำตกทีลอจ่อ (สายฝน) พักบ้านกระเหรี่ยงอุ้มผางคี" คณะเราเริ่มลงเรือยางล่องไปตามลำน้ำแม่กลอง ชมผืนป่าบริสุทธิ์ โตรกผา บนสายน้ำระดับ 1-2 ตามแก่งน้ำต่าง ๆ จนถึงน้ำตกทีลอจ่อ ในช่วงฤดูแล้ง ที่แห่งนี้คือ สวรรค์ของครอบครัวที่รักธรรมชาติ จะพาครอบครัวมาจับรุ้ง รุ้งกินน้ำจะทอแสง 7 สี ในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ของทุกวัน (พาลูกมาจับรุ้ง) เพื่อเรียนรู้ที่จะรักป่า ปลูกฝังความอ่อนโยนต่อสภาพแวดล้อม และเดินทางต่อไปยังน้ำตกทีลอซู ที่ถูกกล่าวขานว่า เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ และมีความสวยงามติดอันดับต้น ๆ ของโลก 
     บ่ายวันเดียวกันนี้ เราเดินทางกันต่อสู่บ้านกระเหรี่ยงอุ้มผางคี เพื่อไปพักแบบโฮมสเตย์ แลกเปลี่ยนสัมผัสวัฒนธรรมของชนชาวกระเหรี่ยง  และเพื่อสัมผัสกับกิจกรรมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ นั่นก็คือ "ล่องแก่งอุ้มผางคี" โดยความอนุเคราะห์ของ พี่อู๊ดดี้ แห่งตูกะสูคอทเทจ เส้นทางช่วงแรกรถกะบะธรรมดาสามารถลุยไปได้แบบสบายๆ ข้ามลำห้วยพอให้สนุกเล่น สู่จุดนัดพบระหว่างทางที่จะต้องเปลี่ยนเป็นรถออฟโรดเพื่อเดินทางต่อ
      บ้านกระเหรี่ยงอุ้มผางคี ตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.อุ้มผาง เป็นหมู่บ้านในการพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงภูมิปัญญานิเวศวิทยา ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวที่สอดคล้อง และสมดุลกับระบบนิเวศ และวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับผืนป่าอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน 
     เพื่อจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในเขตผืนป่าตะวันตก หมู่บ้านอุ้มผางคี พัฒนารูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน และสอดคล้องกับการอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตกอย่างต่อเนื่อง ใช้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศในการอนุรักษ์วัฒนธรรม  และเผยแพร่ความรู้ในเรื่องระบบนิเวศป่าของชนเผ่าในเขตผืนป่าตะวันตก เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้กับชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล ส่งเสริมให้คนในหมู่บ้านมีทางเลือกอาชีพ และลดการพึ่งพิงป่า
    มีช้างในหมู่บ้านประมาณ 10 เชือก มีไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (บ้านเฮาพัฒนาแล้วก่า) พี่อู๊ดดี้ จัดให้เรานอนที่บ้านผู้ใหญ่ ที่เปิดให้บริการพักแรมแก่นักท่องเที่ยว (Village stay) อาหารเย็นมื้อนี้อร่อยมาก ท่ามกลางบรรยายกาศ สายฝน และกลิ่นไอของครัวไฟ และสิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับบรรยายกาศอย่างนี้คือ น้ำอัมมาฤทธิ์ ดีกรีพอสมควร (จุดไฟติด) ดื่มกินพอประมาณแก้หนาว เปลี่ยวใจ สำหรับคนมีคู่ (แต่ผมยังครับ...) 

      ฟังเรื่องเล่าจากชายหนวดงาม ถึงการค้นพบแก่งในลำน้ำอุ้มผางคี เริ่มจากการทำงานเกี่ยวกับผืนป่าตะวันตก ได้มารู้จักกับผู้ใหญ่บ้าน สอบถามว่าลำน้ำนี้ล่องได้ไหม ผู้ไหญ่บอกว่าได้ แต่ล่องแล้ว "ตายหมด" พวกเราสดุ้ง... มองมาทางผมด้วยสายตาแปลกแต่ก็พออ่านสายตาได้ว่า "พาพวกตูมาตายหรือป่าวนี่" (แต่เดี๋ยวก็รู้ว่าจะรอดไหม)  คืนนี้กว่าจะหลับตาลง ต้องทนฟังการยื้อแย่งของกันอีก ฝ่ายเรา ก็ "ของ......ตู" ฝ่ายพี่อู๊ดดี้ไม่ยอมแพ้ แย่งคืนมาทันที  "ของ......ตู" สุดยอดจริงๆ อย่างกับอยู่ในสมรภูมิรบเลย ภารกิจครั้งนี้

     ภาระกิจวันที่สี่ "ล่องแก่งอุ้มผางคี"  ผม สดุ้ง...ตื่น พร้อมเสียง โป๊ก ๆๆๆๆๆ ดังไปทั่วหมู่บ้าน มองดูเวลา 05.00 น. เอง ฝนตกพร่ำๆ อากาศกำลังดีไม่อยากลุกเลย  แสงแดดอ่อนยามเช้าเป็นภาพที่สวยมาก กลิ่นกาแฟที่ชงในแก้วไม้ไผ่ มันเข้ากันเข้ากันกับบรรยากาศท่ามกลางขุนเขาอย่างนี้ (สุดยอดจริงๆ) เก็บสำภาระทุกอย่าง เตรียมตัวลุยกับภารกิจสุดยอด "ล่องแก่งลำน้ำอุ้มผาง" การล่องแก่งที่นี้ถือว่าแปลกมาก หรืออาจจะมีแห่งเดียวในประเทศไทยก็ว่าได้ กล่าวคือ 
ก่อนเดินป่าต้องรับเสื้อชูชีพใส่ไปกันคนละตัวก่อน บางคนมีคำถามว่า "ใส่ทำไมเพราะเราต้องเดินป่าก่อนประมาณ 3 ชั่วโมงก่อนไม่ใช่หรือ ?" (หาคำตอบต่อไป) เห็นพวกพี่สต๊าฟเตรียมเชือกไป 2 เส้น (ข้ามน้ำแค่นี้ทำไมต้องเอาไปด้วย สงสัยจัง) เส้นทางเดินช่วงแรกเราต้องเดินตัดไร่ข้าวโพด ซึ่งขอบอกว่าใครไม่ใส่เสื้อผ้ารัดกุมเป็นโดนใบข้าวโพดบาดแน่นอน หลุดจากไร่ข้าวโพด ต่อด้วยลุยไปตามธารน้ำสู่เขาลูกย่อย สภาพเส้นทางสุดยอดดินโคลนตลอดเพราะฝนตกตลอด แต่สนุกมันส์สุดยอดจริงๆ 
      ลงจากเขาก็ถึงลำห้วยอุ้มผาง ช่วงนี้ล่ะที่พวกเราจะต้องเปลี่ยนกลายเป็นหน่วยรบพิเศษ ด้วยวิธีการโรยตัวข้ามลำน้ำอุ้มผาง โดยใช้เชือก ขึงผ่านลำน้ำ งานนี้พวกเราต้องพึ่งพี่ๆ สต๊าฟ แล้วแหละครับ จะต้องว่ายข้ามลำน้ำซึ่งเป็นสายน้ำของการล่องแก่งอุ้มผางคี ไปก่อนโดยวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ สต๊าฟคนที่หนึ่งจะคอยปล่อยเชือกให้ สต๊าฟคนที่สองก็เอาเชือกติดกับตัว แล้วเดินไปลงเหนือน้ำหน่อยเพื่อให้ระยะทางเวลาว่ายจะได้ไปถึงจุดที่พอดีกับจุดที่เราจะขึ้นอีกฝัง
      แล้วพวกเราก็ค่อยๆ ทยอยข้ามลำน้ำ เราต้องข้ามไปมาทั้งหมดประมาณ 11 ครั้ง ทั้งที่เป็นลำน้ำเดียวกัน นี่แหละครับความมันส์อีกรูปแบบหนึ่ง ที่ท่านสามารถหาได้จากการล่องแก่ง อุ้มผางคี การล่องแก่งอุ้มผางคี หากจะให้สนุกควรมาในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม ครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่น้ำเยอะเหมาะสมกับการล่องแก่ง 
     สายน้ำ ที่ไหลผ่านหมู่บ้านอุ้มผางคีนี้ เป็นต้นน้ำของลำน้ำอุ้มผาง ก่อนที่จะไปรวมกับลำห้วยอื่นๆ เป็นลำน้ำแม่กลองที่ตัว อ.อุ้มผาง วันนี้เราจะล่องไปจนถึงหมู่บ้านแปโดทะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 
     ความยากของแก่งของอุ้มผางคี จะอยู่ที่ระดับ 3 - 4 ตามปริมาณน้ำ แก่งจะยาวเป็นลอนคลื่น ที่ภาษาล่องแก่งเรียกว่า เวฟ แก่งช่วงแรกๆ จะมีความใหญ่และสูง มีช่วงหักศอกให้ตื่นเต้น กอปรกับลำน้ำอุ้มผางคีนี้ไม่กว้างมากนัก นายท้ายเรือจึงต้องเป็นผู้ที่มีความชำนาญมากเป็นพิเศษ จึงจะผ่านพ้นไปได้ 
     สองฟากฝั่งตลอดระยะทางเป็นแนวป่าที่สมบูรณ์ มีนกบินตัดลำน้ำบ้างก็เกาะกิ่งนิ่งรอโฉบเฉี่ยวเหยื่อ มีกล้วยไม้ป่าที่สวยๆ หายากหลายชนิด แต่ผมเอารูปมาฝากไม่ได้นะครับ เพราะกระแสน้ำค่อนข้างแรงมาก แถมตลอดทางต้องคอยลบหลีก ต้นไม้ที่ยื่นกิ่งก้านสาขาขวางลำน้ำทั้งสองฝั่งทาง ทำให้ต้องค่อยระวังอยู่ตลอดเวลา 
    การล่องแก่งอุ้มผางคี เป็นอีกหนึ่งเส้นทางแห่งการผจญภัย ที่ยังคงรอคอยนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในธรรมชาติอันบริสุทธิ์ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ดินแดนดอยลอยฟ้า ที่ถูกปกคลุมด้วยม่านหมอก และมิตรภาพน้ำใจ มิใช่มีเพียงน้ำตกทีลอซู น้ำตกที่ยิ่งใหญ่สุดปลายฝันเท่านั้น ในบริเวณชายขอบรอบๆ ยังมีป่าดิบ สายน้ำอีกหลายสายควรค่าแก่การเดินทางไปเยี่ยมเยือน 
     วันนี้ภาระ กิจของผมได้เสร็จสิ้นลง ด้วยรอยยิ้มแห่งความประทับใจ ผมมองสายน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ด้วยความอาลัย และหวังใจว่า อีกไม่นาน ผมจะต้องกลับมาอีกครั้ง หมู่บ้านอุ้มผางคี

" เอ็ด  แม่ปิง" 

การเดินทางสู่ อ. อุ้มผาง ท่านสามารถเดินทางสู่ อ.แม่สอด ได้โดย สายการบิน ภูเก็ตแอร์ แล้วเดินทางต่อโดยรถโดยสารประจำทางสู่ อ.อุ้มผาง ซึ่งมีบริการอยู่ในตลาดแม่สอดทุกวัน (ค่ารถสองแถว คนละ 150 บาท) หรือ สามารถติดต่อบริษัทนำเที่ยวใน อ.อุ้มผาง มารับได้ (เป็นกรุ๊ป)  ระยะทางจาก อ.แม่สอด - อ.อุ้มผาง ระยะทางประมาณ 164 กม. แต่เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยวและสูงชัน รถของท่านควรอยู่ในสภาพพร้อม 

      ขอขอบคุณ และ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ เขต 4  โทร. 0 5551 4341-3  โทรสาร 0 5551 4344  สายการบินภูเก็ตแอร์  โทร. 0 2 679 8999  โรงแรมเซ็นทรัล แม่สอด ฮิลล์  โทร. 0 5553 2601-8  พี่อู๊ดดี้ , พี่ยุ้ย ตูกะสู คอทเทจ (ที่พักใน อ.อุ้มผาง และ กิจกรรมล่องแก่งอุ้มผางคี) โทร.0 5556 1295 , 0 1825 8238 , 0 1819 0304  ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และ อนุรักษ์อุ้มผาง และ น้ำใจไมตรีจากชาว อ.อุ้มผาง ที่น่ารักทุกท่าน พี่พันธ์ (กิจกรรมล่องแก่งแม่ละเมา) โทร. 0 1045 7516 , 0 7212 5824

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook