1 คืน สุข สุข กับชีวิตฉ่ำ ฉ่ำ ณ ริมลำภาชี ที่ Moreeda

1 คืน สุข สุข กับชีวิตฉ่ำ ฉ่ำ ณ ริมลำภาชี ที่ Moreeda

1 คืน สุข สุข กับชีวิตฉ่ำ ฉ่ำ ณ ริมลำภาชี ที่ Moreeda
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทิวทัศน์จากโต๊ะที่ผมนั่งทำงาน จะมองออกไปกี่วันต่อกี่วันมันก็มีแค่ตึกสูง และคอนโด เห็นทีว่าธรรมชาติใกล้ตัวที่สุดของผมคงเป็น แจกันพลูด่างมุมขวามือและต้นกระบองเพชรเล็กๆ ของเพื่อนร่วมงานโต๊ะใกล้กัน

ผมจำไม่ได้เลยว่าเห็นภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำล่าสุดเมื่อไร อาจจะนานมากจนบางครั้งเผลอจินตนาการเอากลุ่มก้อนเมฆที่อยู่เบื้องหน้าเป็นทุ่งภูเขาสวยงามแล้วแชะภาพเก็บไว้ดูเล่น ก่อนจะตามด้วยการโพสต์อวดภาพเหล่านั้นลงบนเพจส่วนตัว…นี่แหละมั้ง ความสุขที่พอจะเกิดขึ้นได้กับออฟฟิศแมนแบบผม

บางครั้งผมก็อยากจะยอมแพ้และปล่อยให้เวลางานกัดกินเราไปเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วนั่นมันไม่ใช่วิสัยที่แท้จริง ผมจึงเริ่มคิดว่าหากเราพอจะจัดสรรเวลาได้ เราควรออกเดินทาง จะใกล้ จะไกล จะในหรือต่างประเทศ การเดินทางควรเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญของชีวิต 

แสงแดดแบบนี้ เจอทีไร จะตายให้ได้ทุกทีซิครับ…ว่าไหม

“ทริป 1 คืนสุข สุข กับชีวิตฉ่ำ ฉ่ำ” ของผมจึงเกิดขึ้น ครั้งนี้ผมเลือก “สวนผึ้ง” เป็นปลายทาง เพราะจำได้ว่าเคยไปสวนผึ้งมาแล้วเมื่อร่วม 10 ปีก่อนและรู้สึกประทับใจมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรผมจึงตัด “สวนผึ้ง” ออกไปจากวงโคจรการเดินทาง มัวแต่เลือกไปจังหวัดนั้น จังหวัดนี้ ไกลออกไปเรื่อยๆ คราวนี้เลยกลับมานึกถึงสวนผึ้งอีกครั้งอย่างสุดหัวใจ ผมเลือกพักที่ Villa Moreeda รีสอร์ทของเสนาลิงที่ตั้งอยู่ติดลำภาชี เพราะอยากได้ความรู้สึกของการเดินเท้าลุยลำน้ำตื้นๆ หลังที่พัก

มองจากห้องพักไกลๆ แค่วิวก็เกินคุ้มแล้ว

เดิมทีเจ้าของรีสอร์ทตั้งใจสร้างบ้านพักหลังเล็กๆ สำหรับให้ครอบครัวของตัวเองมาพักผ่อนแบบส่วนตัว แต่พอเริ่มมีเพื่อนๆ ตามมาปาร์ตี้มากขึ้น เจ้าของจึงลงทุนสร้างห้องพักให้เพื่อนนอนเพิ่มเติม จนในที่สุดจากบ้านหนึ่งหลังกลายเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กแบบไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีมี 14 ห้องไปแล้ว…แหมดีเหมือนกันนะครับมีเพื่อนแบบนี้

ที่พักและบรรยากาศรอบ Moreeda ไม่ค่อยจะเหมือนรีสอร์ทสักเท่าไร เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้านมากกว่า จะมีก็แต่เพียงพนักงานต้อนรับที่ปกติบ้านเราไม่มี ( 555 ) วันที่ผมไปถึงพนักงานยกเวลคัม ดริงก์มาเสิร์ฟ รู้สึกวันนั้นจะเป็นน้ำมะตูมเย็น แหม… ชื่นใจที่สุด 

สัญลักษณ์น่ารักๆ ของครอบครัวเสนาลิง เจ้าของรีสอร์ท เก็บภาพมาเพราะมันอยู่บนผนัง

แค่รีเซฟชั่นก็ชวนให้อยากเอนตัวนอนพักตรงนี้เสียแล้ว

ระหว่างนั่งรอกรอกเอกสารเช็คอินแทบอยากจะหลับพิงโซฟา จะเพราะอะไรซะอีกละครับก็เพราะน้ำมะตูมรสชาติดี กับเสียงกอไผ่ในรีสอร์ทเสียดสีกันพร้อมลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามา บรรยากาศขนาดนี้แทบอยากเช็คอินเข้าห้องพักทันที ระหว่างนั้นผมสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาเรื่อยๆ มีทั้งพักอยู่ที่นี่ กับเข้ามาทานอาหาร นั่งเล่น อาศัยวิวริมธารน้ำถ่ายรูป เรียกได้ว่าใครเดินเข้ามาต้องมุ่งหน้าไปด้านหลังรีสอร์ทก่อน ไม่นานพนักงานพาผมไปที่ห้องพัก เสียดายห้องพักของผมไม่ได้อยู่โซนริมน้ำ แต่เป็นห้องพักบนอาคารตรงปากทางเข้า 

บรรยากาศภายในห้องพัก

ก่อนขึ้นห้องพักผมต้องถอดรองเท้าคู่เก่าของผมใส่ไว้ในตู้เก็บแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะหนีบของรีสอร์ท แล้วเดินขึ้นบันไดวนเข้าห้อง ห้องของที่นี่จะมีชื่อเรียกต่างกันซึ่งล้วนเป็นชื่อของพันธุ์สัตว์ปีก ห้องที่ผมพักชื่อห้อง kiwi ด้านในตกแต่งน่ารัก ลองสังเกตแล้วพบว่าสิ่งที่รีสอร์ทให้ความสำคัญมากคือการตกแต่งรีสอร์ทอย่างละเอียด เอาใจใส่กับทุกสิ่งในห้องพักทั้งการตกแต่ง การเลือกเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ ซึ่งล้วนเป็นไอเดียของเจ้าของรีสอร์ทล้วนๆ 

อ่างอาบน้ำหรูสุด ชอบสุดครับ

ผมเผลอหลับไปงีบหนึ่งก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงแดดใกล้ค่ำแบบนี้สินะที่ผมแทบไม่เคยเห็นผ่านช่องกระจกในออฟฟิศ เพราะออกมาจากออฟฟิศท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้วทุกวัน ชื่นชมแสงแดดอยู่สักครู่ก่อนจะค่อยๆ เดินลงไปที่ห้องอาหาร อาหารขึ้นชื่อของที่นี่มีหลายเมนู แต่ที่ผมให้ 5 ดาวเลยคือ “ไก่ทอดเกลือ” ไก่ทอดสีเหลืองทอง หนังไก่กรอบมีรสเค็มบางๆ ติดปลายลิ้น พอเคี้ยวหนังไก่พร้อมเนื้อในนุ่มๆ เข้ากันกับข้าวสวย ยิ่งแกล้มด้วยน้ำยำคะน้ากุ้งสดที่สั่งมาเพิ่ม หมดจานซิครับมื้อนั้น พอคุยกับเจ้าของรีสอร์ทก็รู้ว่าอาหารที่นี่เป็นอาหารไทย ใช้วัสดุจากธรรมชาติ เชื่อครับเพราะผมแอบเห็นน้องผู้ช่วยเชฟวิ่งไปเด็ดตะไคร้ข้างๆ รีสอร์ทมาทำอาหาร แบบนี้ “อร่อยไว้ใจได้ ไร้สารแน่นอน”

2 เมนูโปรดอยากแนะนำให้สั่งมากิน ถ้ามีโอกาสไปพัก

พอทานอาหารเสร็จผมลองเดินขึ้นไปอีกชั้น ด้านบนแบ่งเป็นพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหาร มีชั้นหนังสือของสำนักพิมพ์ดอกหญ้าซึ่งทางรีสอร์ทขายให้หากสนใจซื้อ รวมไปถึงยังมีชั้นดีวีดีหนังที่แบ่งประเภทหนังไว้ชัดเจน ตอนแรกผมว่าจะหยิบหนังโรแมนติกสักเรื่องมาดูก่อนนอน แต่ไม่ดีกว่าครับ เดินเล่นอยู่สักพักผมก็กลับเข้าห้องพัก และราตรีสวัสดิ์ด้วยมาม่าต้มในห้อง ถือเป็นมื้อดึกปิดท้ายที่รีสอร์ทอภินันทนาการให้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งต่างจากรีสอร์ทหรือโรงแรมทั่วไปเพราะของกินในห้องนี้ทานได้ทุกชิ้น ไม่เสียสตางค์ ผมเลยจัดมาม่าหมูสับตบท้ายให้ท้องอุ่นๆ ก่อนนอน

กองทัพอาหารเช้า เติมเท่าไรก็ไม่พอ เพราะอร่อยไม่เลี่ยน

เช้ารุ่งขึ้นผมตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอกับนานาเมนูอาหารเช้า ที่เจ้าของรีสอร์ทโปรยเอาไว้ให้ฟังก่อนแล้วว่าอยากให้ผมไปพิสูจน์อาหารเช้าด้วยตัวเอง ท้ามาแบบนี้ยอมได้ที่ไหนล่ะครับ ผมไปถึงห้องอาหารเช้าก่อนใคร ตอนนั้นอาหารเริ่มทยอยมาตั้ง พอเห็นก็เดาได้เลยครับว่าเป็นข้าวต้ม แต่ที่พิเศษคืออาหารสำหรับทานเคียงกับข้าวต้มนั้นผมลองนับๆ ดูกว่า 20 อย่าง มีทั้งเห็ดย่าง ปลาเล็กปลาน้อย ผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็ม ผัดหนำเลี้ยบ ผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ หมูหยอง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีขนมปังปิ้งกับแยมแบบโฮมเมดหลากรส ใกล้ๆ กันมีผลไม้สดตามฤดูกาล ก่อนจะตบท้ายด้วยเฉาก๊วย ทับทิมกรอบ แล้วแต่ใครจะเลือกทานเลยครับ ส่วนผมวนตักเห็ดย่างและปลาทอดกรอบอยู่หลายรอบเพราะอร่อยล้ำจริงๆ ครับ จะว่าไปแล้วผมชอบอาหารเช้าลักษณะนี้มากกว่าอาหารเช้าแบบไข่ดาว ไส้กรอก เพราะผมว่ามันให้ความรู้สึกหลากหลาย และไม่เลี่ยน

มองชิงช้าแล้วก็คิดถึงใครบางคน ว้า…เหงาจังครับ

เสร็จจากอาหารเช้าถูกปากแล้ว ผมไม่พลาดที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปเก็บภาพและนั่งเอาเท้าแช่น้ำที่ลำภาชีด้านหลังรีสอร์ท เช้าวันนั้นน้ำในลำธารใสพอที่จะเห็นก้อนหิน เศษซากใบไม้ กิ่งไม้ที่หักหล่นลงมาก่อนหน้านี้ 

เตียงผ้าริมธารลำภาชี นอนหลับสบาย ชิลมากครับ

น้ำในลำธารไหลไม่แรงนัก ความเย็นของมันทำให้รู้สึกอยากชักเท้าทั้งสองขึ้นในตอนแรก แต่เมื่อเดินลุยต้านแรงน้ำไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามันผ่อนคลาย ชิงช้าที่ห้อยแขวนเหนือธารน้ำดูคลายจะเป็นของตกแต่งชิ้นเดียวที่ทำให้ลำภาชีบริเวณนี้โดดเด่น ผมทิ้งให้ชิงช้าว่างเปล่าแบบนั้น จะมีบ้างบางเวลาที่ใช้มือผลักให้มันแกว่งเหมือนมีชีวิตขึ้นมา เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มสาดผ่านช่องร่มไม้ตกกระทบผืนน้ำเบื้องหน้า มองไกลๆ ผมนึกว่าเท้าทั้งสองของผมเหยียบย่ำอยู่บนธารอัญมณีเพราะผิวน้ำระยิบระยับเหมือนเพชรล้ำค่า

ลาด้วยมุมพักผ่อนด้านหน้ารีสอร์ท มองไกลๆ ผ่อนคลายดีเหมือนกัน

การออกเดินทางใกล้ๆ ครั้งนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า การฝังตัวอยู่ในออฟฟิศตั้งแต่เช้ายันค่ำ แล้วปล่อยให้เวลาในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั้นผ่านไปมันยิ่งทำให้หัวใจของผมแห้งเหือดลง แค่ลองปิดโหมดการทำงานลงเพียงชั่วครู่ แล้วเปิดประตูสู่การเดินทางที่แม้จะไม่ได้ไกลหลายพันไมล์ แต่มันจะทำให้หัวใจของคุณชุ่มฉ่ำขึ้นมาได้บ้าง… ว่างเมื่อไร หาเวลาออกเดินทางกันเถอะครับ

Text by : Tomorrow is  Yesterday

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ

อัลบั้มภาพ 28 ภาพ ของ 1 คืน สุข สุข กับชีวิตฉ่ำ ฉ่ำ ณ ริมลำภาชี ที่ Moreeda

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook