Chanthaburi in love.. หลงเสน่ห์จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้ [Travel Planet Xperiences] ตอนที่ 2

Chanthaburi in love.. หลงเสน่ห์จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้ [Travel Planet Xperiences] ตอนที่ 2

Chanthaburi in love.. หลงเสน่ห์จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้ [Travel Planet Xperiences] ตอนที่ 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว หมดไปหนึ่งวันแล้วนะคะที่พาไปเที่ยวชมวิถีชีวิตของคนจันทรบูร ตอนนี้ ยังมีสถานที่สำคัญๆ รอเราอยู่อีกมากมาย ตามคุณ เอ๋อ้อย ไปกันต่อเลยค่ะ

ตักบาตรยามเช้า - ท่องเที่ยววิถีไทยเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร

ด้วยความที่บ้านพักแห่งนี้ตั้งอยู่ในชุมชนริมน้ำจันทบูร ช่วงเช้าจึงสามารถตื่นมาเพื่อตักบาตรได้ครับ เพราะเป็นชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่ จึงมีพระมาเดินบิณฑบาตรครับ โดยฝั่งตรงข้ามบ้านพักฯ จะมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทำอาหารเป็นชุดไว้สำหรับใส่บาตรครับ ซึ่งคนขายเองก็ทำขึ้นมาเพื่อตักบาตรเองด้วยนั่นล่ะครับ

ก๋วยจั๊บป้าไหม.. สุนาบ้านข้าวเหนียว

สำหรับมือเช้าปกติแล้วทางบ้านพักจะมี “ข้าวต้มจันทบูร” ไว้บริการครับ ซึ่งจะเป็นเหมือนข้าวต้มหมูสับแต่จะโรยด้วยไข่เจียวซอยและหัวไชโป้วซอยครับ

แต่จะมีอาหารเด็ดอีกอย่างที่น่าลองคือ"ก๋วยจั๊บป้าไหม" ซึ่งร้านอยู่เยื้องๆบ้านพักฯครับ เราสามารถบอกที่บ้านพักให้เค้าเตรียมให้เราได้ครับราคา 30 บาทอร่อยมากครับ
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จผมไปเดินเล่นในชุมชนอีกพักนึงครับ ไปเจออีกร้านนึงที่น่าสนใจแต่ไม่ได้อยู่ในถนนริมน้ำนะครับ แต่ร้านจะอยู่ที่ถนนขวางนั่นคือ "สุนาบ้านข้าวเหนียว"ครับ โดยจากชุมชนริมน้ำพอเจอถนนขวางให้เดินขึ้นไป 1 บล๊อคร้านจะอยู่ทางซ้ายมือครับ ข้าวเหนียวของที่นี่จะทำวันต่อวันหอมสดอร่อยมากครับ โดยสามารถเลือกหน้าได้หลากหลายครับ หรือถ้าเลือกไม่ถูกจะทานแบบไส้รวมก็ได้ครับ
ศาลหลักเมือง - ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
หลังจากเช็คเอ้าท์ที่บ้านหลวงราชไมตรีเรียบร้อย ผมขับรถไปไหว้ศาลหลักเมือง และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชครับ ทั้งสองที่นี่อยู่ติดกันเลยครับ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถือว่ามีความผูกพันกับเมืองจันทบุรีไม่น้อย เพราะใช้จันทบุรีเป็นที่รวมพลในการไปกู้เอกราชครั้งที่สองนั่นเองครับ
ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ - พิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเพื่อเป็นศิริมงคลแล้ว ผมพาคุณภรรยาไปที่ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับ ครับ ซึ่งที่นี่ถือเป็นพิพิธภัณฑ์อัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยครับ
สำหรับการมาที่นี่ผมได้ไกด์กิตติมศักดิ์ พี่นุศ prettyguide เจ้าถิ่นคนเมืองจันท์เป็นคนพาเดินชมครับ ที่นี่จะมีห้องวิดีทัศน์ให้ชมประวัติของอุตสาหกรรมพลอยด้วยครับ โดยปกติที่นี่หากต้องการเข้าชมจะต้องเป็นกรุ๊ปใหญ่ หรือไม่อย่างนั้นต้องโทรมาแจ้งล่วงหน้านิดนึงนะครับ โทร 039-303-118

หลังจากชมวิดีทัศน์เสร็จผมก็ไปเดินชมในส่วนของพิพิธภัณฑ์ต่อครับ ก็จะมีประวัติต่างๆ และมีแสดงให้เห็นว่าบรรดาพลอยและอัญมณีต่างๆนั้น ประเภทใดสามารถขุดได้จากแหล่งใดในโลกบ้างครับ

ห้องนี้มีฉายโฮโลแกรมด้วยครับทันสมัยไฮโซมากๆ แล้วก็มีมงกุฎจำลองด้วยครับ.. ภาพนี้เป็นมงกุฎของ Queens Elizabeth
จากการมาเดินที่นี่ทำให้ทราบว่าจริงๆแล้ว ที่หลายๆคนมักพูดว่าพลอยเมืองจันทบุรีนั้นหมดไปแล้วนั้นไม่จริงซะทีเดียว แต่พลอยที่ขุดเจอนั้นลดปริมาณลงไป อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพราะที่จริงแล้วที่จันทบุรีนั้นไม่ได้มีจุดเด่นที่การขุดพลอยครับ แต่ที่เมืองจันทบุรีนั้นเป็นแหล่งค้าพลอยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นั่นคือจะมีพ่อค้าพลอยนำเข้าพลอยจากต่างประเทศที่เป็นลักษณะพลอยดิบ มาขายที่นี่และที่เมืองจันทบุรีนั้นจะเน้นการเพิ่มมูลค่าให้กับพลอย เช่นการเผา การเจียระไน และประดับลงเรือนเช่นสร้อยคอ หรือแหวนเสียมากกว่าครับ  ซึ่งปัจจุบันยังถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศต้นๆของโลกที่ส่งออกอัญมณีครับ
ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกเล็กน้อยครับ (วันนี้พี่ตั้ม Blogger อีกคนในทีมผมเดินทางมาที่นี่เหมือนกันครับ)
หลังจากเดินเล่นเสร็จคราวนี้ก็ถึงคราวช๊อปปิ้งของคุณนายผมบ้างหล่ะครับ จริงๆแล้วในห้องค้าพลอยนี้ห้ามถ่ายรูปนะครับ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยรวมถึงเรื่องการลอกเลียนแบบด้วยนั่นเองครับ แต่ผมขออนุญาตเป็นกรณีพิเศษเพื่อถ่ายเก็บบรรยากาศมาให้ชมกันครับ
สำหรับสัญลักษณ์ PloyChan นั้นเป็นสัญลักษณ์ที่ออกให้กับร้านค้าที่ได้รับการตรวจรับรองคุณภาพอัญมณีต่างๆว่าเป็นอัญมณีของแท้ ซึ่งทุกร้านที่นี่ล้วนผ่านการรับรองนี้แล้วทั้งสิ้นครับ
อ้อสำหรับขาช้อปที่นี่มีของขายตั้งแต่ราคาหลักร้อยจนราคาหลักแสนหลักล้านเลยนะครับ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว - แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ.... อนุสรณ์แห่งความรัก พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ 
หลังจากคุณนายผมช้อปปิ้งเป็นที่เรียบร้อย ผมก็(รีบ)พาคุณนายผมออกมาครับ เพราะอยู่นานเดี๋ยวเสียตังค์ 55555 ผมก็ไปเที่ยวต่อที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วครับ ที่นี่ไม่สามารถนำรถเข้าไปภายในอุทยานได้นะครับต้องจอดรถตามที่จอดรถด้านนอกครับ แต่ผมแนะนำให้ขับไปจนเห็นทางเข้าอุทยานค่อยหาที่จอดครับ เพราะที่จอดที่แรกจะอยู่ไกลมากครับ ค่าจอดที่นี่ 30 บาทครับ สำหรับค่าเข้าอุทยานฯนั้นก็คนละ 40 บาทครับ

แต่ล่าสุดผมเห็นประชาสัมพันธ์ของอุทยานฯ ลดราคาเข้าอุทยานฯ ครึ่งราคา สำหรับการมาเที่ยวใน "วันธรรมดา" ครับ โดยเริ่มลดราคาตั้งแต่ 1 กค. เป็นต้นไปครับ

ที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วนั้นเป็นป่าที่ร่มรื่น มีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเดินชิวๆ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรครับ ระหว่างทางเป็นธรรมชาติเขียวร่มรื่นมากๆครับ
บริเวณก่อนถึงน้ำตกนั้นจะมีอลงกรณ์เจดีย์และปิรามิด อนุสรณ์แห่งความรักพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ตั้งอยู่ครับ ที่นี่ในสมัยก่อนนั้นสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จมาพร้อมกับพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงโปรดปรานที่นี่มาก เพราะเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามอย่างยิ่ง สวยกว่าที่เคยเสด็จไปที่อื่นมาทั้งในและต่างประเทศ  จึงได้มีการสร้างอลงกรณ์เจดีย์ ไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการเสด็จประพาสที่นี่
โดยในครั้งนั้นพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ได้กล่าวว่าทรงอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาสในการกลับมาที่นี่ก็เสด็จฑิวงคตจากอุบัติเหตุเรือพระประเทียบล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดให้สร้างปิรามิดขึ้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2424 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักและอาลัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อพระนางเจ้าสุนันทากุมารี โดยที่ภายในบรรจุพระอังคารส่วนหนึ่งไว้ด้วยครับ สาเหตุที่ทำเป็นรูปทรงปีระมิดเพราะทรงเห็นว่าปิรามิดในอียิปต์สามารถอยู่ยืนยาวจวบจนปัจจุบันฉันใด ปิรามิดที่ทรงให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอุนสรณ์แห่งนี้ก็จะคงอยู่ตลอดไปเฉกเช่นปิรามิดอื่นๆฉันนั้นเช่นกันครับ
 
 
สำหรับน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลลงมาตลอดทั้งปีครับ 
จึงทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่เสมือนที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวจันทบุรีครับ ผมไปมาวันหยุดคนนี่เพียบเลยครับ....
นอกจากน้ำตกแล้วเหล่าปลาพลวงหินที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาที่นี่ครับ สำหรับปลาพลวงหินจะชอบกินถั่วฝักยาวซึ่งสามารถซื้อได้จากร้านค้าทั่วไปในบริเวณอุทยานครับ
หอยทอดนายเล็ก.. หอยทอด..จานไม่เล็ก

เดินเล่นในน้ำตกจนเหนื่อยแล้วผมก็พาคุณนายไปกินข้าวกลางวันกันครับ โดยเป้าหมายอยู่ที่ "ร้านหอยทอดนายเล็ก" ซึ่งตั้งบนถนนสุขุมวิทฝั่งเข้าเมืองจันทบุรีครับ โดยออกจากอุทยานแล้วพอเลี้ยวขวาเข้าถนนสุขุมวิทขับมาประมาณ 500 เมตรก็จะเจอครับ

ร้านนี้ของเด็ดอยู่ที่หอยทอดจานยักษ์ครับ โดยขนาดเล็กสุดสำหรับกินประมาณ 3 คนอยู่ที่ราคา 300 บาท และจานยักษ์กินประมาณ 15 คนราคาจะราวๆ  1200 บาทครับ ผมกลั้นใจสั่งจาน 300 บาทมาแบ่งกับคุณภรรยา.... กะว่าไม่หมดก็ใส่กล่อง...ปรากฎว่าหมดจ้า...

ปล. จริงๆแล้วที่นี่ถ้าไม่ได้อยากทานกุ้งแม่น้ำแนะนำว่าสั่งแบบธรรมดาคุ้มกว่าครับ โดยสามารถเลือก Topping ได้ 1 Topping 60 บาท 2 Topping 90 บาทครับ 
แวะซื้อของฝากที่ร้านต้นตำรับ

หลังจากกินหอยทอดจานยักษ์เสร็จก็ขับรถกลับไปตามถนนสุขุมวิทครับ โดยผมจะแวะไปที่อ.มะขามครับ แต่ก่อนถึงผมไปแวะที่ "ร้านต้นตำรับ" ก่อนครับ ที่ร้านต้นตำรับเป็นทางแยกในการกลับกรุงเทพฯ หรือแยกกลับทางสระแก้ว ปราจีนบุรี รวมถึงขึ้นไปทางอีสานครับ ปล. แวะต้นตำรับก็จริงแต่ผมไปซื้อของที่เพิงที่อยู่ใกล้ๆแทนครับ  5555
ขนมเปี๊ยะรัชนี - อร่อยต้องรอ


หลังจากช้อปของฝากกลับบ้านกันแล้วแต่ผมยังไม่ได้กลับครับ ที่มาช้อปก่อนเพราะเดี๋ยวตอนขับรถไปอีกสองที่มันจะไม่ได้มาผ่านเส้นนี้แล้วครับ จากร้านต้นตำรับผมขับรถไปทางอ.มะขามครับเพื่อไปดูและเยี่ยมชมบ้านของคุณป้ารัชนี ที่มีข่าวออกไปว่าการจะสั่งขนมเปี๊ยะที่แกทำนั้นมีคิวล่วงหน้านานถึง 2 ปีเลยครับ บ้านของป้ารัชนีนั้นอยู่หลังเทศบาลอำเภอมะขามเลยวัดมะขามไปไม่ไกล เป็นบ้านหลังเล็กๆชั้นเดียวครับ
ตอนที่ไปถึงนั้นคุณป้ารัชนียังคงง่วนอยู่กับการปั้นแป้งขนมเปี๊ยะอยู่ครับ แต่พอป้าแกเห็นพวกผมเดินมาดูแกก็ลุกขึ้นมาต้อนรับอย่างดีเลยครับ

จากที่คุยกับแก..ปัจจุบันแกอยู่ตัวเพียงคนเดียว มีอาชีพทำขนมเปี๊ยะขาย ไม่ได้มีหน้าร้านหรือทำเพื่อนำไปวางขายที่ไหน แต่จะรับทำตามออเดอร์เท่านั้น แกทำมา 21 ปีหล่ะครับเมื่อก่อนเคยทำขนมไทยด้วย แต่ปัจจุบันแค่ทำขนมเปี๊ยะอย่างเดียวก็เวลาไม่พอแล้วครับ แกบอกว่าแกไม่เคยเปิดหน้าร้าน ไม่เคยส่งขนมเปี๊ยะไปขายที่ไหน แต่ทำให้คนแถวบ้านทานแล้วก็อร่อย จนมีคนมาออเดอร์แกให้ทำ จากนั้นก็บอกกันปากต่อปากถึงความอร่อย จนทำให้มีคนสั่งมาเรื่อยๆ จนปีที่แล้วคนที่สั่งคนสุดท้ายเนี่ยต้องรอนานถึง 2 ปี ทำให้ปัจจุบันคุณป้ารัชนีได้หยุดการรับออเดอร์ไปแล้วครับ ระหว่างคุยกับแก แกก็ปั้นขนมเปี๊ยะไปเรื่อยๆครับ 
แกบอกว่าในสมัยก่อนนั้นแกเคยทำขนมเปี๊ยะต่อวันประมาณ 1,000 ลูก แต่ด้วยวัยที่ล่วงเลยไป แกบอกว่าปัจจุบันทำเฉลี่ยได้เพียงวันละ 600 ลูกเท่านั้น และอีกสาเหตุหนึ่งที่ออเดอร์ยาวนานถึงสองปีนั้น ก็เพราะคุณป้าแกทำทุกกระบวนการทุกขั้นตอน
ด้วยตัวแกเองเพียงคนเดียวไม่มีลูกจ้างใดๆทั้งสิ้น เพราะต้องการควบคุมคุณภาพให้ได้ดังที่แกตั้งใจเอาไว้นั่นเองครับ แกบอกว่าช่วงหนึ่งเคยรับลูกจ้างมา กว่าจะเทรนให้ทำตามที่แกต้องการได้ลูกจ้างก็ลาออกไปเสียก่อน แกเลยตัดสินใจว่าจะทำเองคนเดียวครับ

ระหว่างปั้นอยู่เสียงติ๊ง.. จากเครื่องอบดังขึ้น แกก็ลุกจากเก้าอี้ไปที่เตาอบเพื่อเอาขนมเปี๊ยะออกมา พร้อมกับเอาล็อตใหม่ใส่เข้าไปอบต่อ
พอขนมล็อตนั้นเสร็จแกก็ชวนให้พวกผมลองชิมดูครับ...จากการที่ได้ชิม... ขนมเปี๊ยะของแกอร่อยที่ตัวแป้งครับ (ซึ่งเป็นเคล็ดลับของแกที่ไม่สามารถบอกได้ครับ) ตัวแป้งจะบางกรอบเป็นชั้นๆคล้ายๆพัฟ ส่วนใส้นั้นจะออกเค็มกว่าขนมเปี๊ยะทั่วไปนิดนึงครับ เพราะแกจะใส่ไข่เค็มที่มากกว่าปกติครับ ยิ่งได้ทานตอนร้อนๆใส้จะเนียนมากครับ
ตอนแรกจะจ่ายตังค์แก แกก็บอกว่าไม่เอา ให้ชิมคือให้ชิมไม่ขาย..แต่ผมจะขอซื้อก็เกรงใจแก.. เกรงใจคนที่รอคิวอยู่ แต่แกบอกว่าวันนี้พอให้ได้ 1 กล่องเพราะวันนี้ทำเกินกว่า 600 ลูก แต่วันไหนทำพอดีวันนั้นก็ไม่สามารถขายให้ได้นะครับ ซึ่งจากการที่ได้มาคุยกับคุณป้าแล้ว ก็รับรู้ได้เลยว่าแกไม่ได้หยิ่ง แกไม่ได้ทำการตลาด แต่เป็นเรื่องของความรู้จักกำลังตน ความพอเพียง และความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ที่ต้องการให้ลูกค้าได้ของตามมาตรฐานของแกมากกว่าการจะจ้างใครก็ไม่รู้มาทำ สุดท้ายก็ไม่ได้คุณภาพอะไรอย่างนั้นครับ สำหรับผู้ที่ต้องการสั่งจองนั้น คุณป้าบอกว่าจะเปิดรับสั่งจองอีกครั้งเมื่อเคลียร์ออเดอร์เก่าหมดแล้วเท่านั้น นั่นก็คือจะเปิดรับจองตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559 เป็นต้นไปครับ
 โดยสามารถโทรไปได้ที่หมายเลข โทร.039-361-087 เวลา 6:00-18:00 
KP Garden.. เทศกาลสวนผลไม้บุฟเฟต์
หลังจากมีโอกาสได้ชิมขนมเปี๊ยะรัชนีอย่างไม่คาดฝันผมก็ร่ำลาป้ารัชนี แล้วเดินทางต่อไปยังสวน "KP Garden" ครับ
ซึ่งที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน 11 สวนที่จัด "เทศกาลบุฟเฟต์ผลไม้" ร่วมกับ ททท. ครับ
สำหรับที่สวนแห่งนี้จะจัดบุฟเฟต์เป็นรอบๆ เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ วันละ 4 รอบคือ 9:00 11:00 13:00 และ 15:00 จะเปิดรับเพียงรอบละ 50 คนเท่านั้นครับ และจะต้องโทรมาจองล่วงหน้าครับ เพราะถ้าไม่จองมาแล้วรอบนั้นเต็ม เค้าจะไม่รับครับ... เพราะไม่สามารถเตรียมผลไม้ไว้ให้พอนั่นเองครับ อีกอย่างการโทรมาจองก่อนจะสามารถบอกทางสวนได้ด้วยครับว่าชอบผลไม้แบบไหนยังไง เช่นทุเรียน ชอบห่าม ชอบสุกๆ หรือชอบแบบไหนก็บอกเค้าล่วงหน้าได้ครับ เค้าจะได้เตรียมผลไม้แบบที่เราชอบไว้ซึ่งผมโทรมาจองรอบ 15:00 ไว้ครับ พอไปถึงก่อนอื่นเค้าจะพาเดินชมสวนก่อนครับ..เพื่อให้ดูสวนที่เค้าปลูก รวมถึงพูดให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกผลไม้ชนิดต่างๆด้วยครับ แล้วก็ให้เราลองเก็บผลไม้เองด้วยครับ
ส่วนทุเรียนนี่เจอลูกที่สุกตามแบบที่เราอยากกิน เค้าก็ตัดมาให้เราสดๆเลยครับ (แต่จริงๆเค้าจะเตรียมไว้อยู่ส่วนหนึ่งแล้ว) จากนั้นพอเดินรอบสวนเสร็จเค้าจะให้เราลองผ่าทุเรียนเองได้ด้วยครับ คุณนายผมเลยขอลองซะเลย 5555

ผ่าเสร็จแล้วอวดใหญ่เลย.... วันนี้ผมยกให้วันนึง เพราะปกติผมเป็นคนเหม็นกลิ่นทุเรียนมากครับ ใครกินมานี่ผม Detect ได้หมดแล้วจะเหม็นมาก...แต่วันนี้ยอมครับ ยอมคุณภรรยาให้ทานทุเรียน นางนี่ยิ้มกริ่มเลยครับ.....
อันนี้เป็นภาพบรรยากาศบริเวณที่นั่งทานครับทางสวนจะยกมาเสิร์ฟให้ ถ้าหมดแล้วอยากได้อะไรก็สามารถสั่งเพิ่มได้เลยครับ...วันนี้รอบที่ผมไปคนไม่เต็มครับ.. มีที่ว่างประมาณนึงเลย

หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยก็สามารถไปซื้อผลไม้กลับบ้านได้ครับ คุณนายผมเธอเลือกใหญ่เลย  5555
หลังจากได้ที่(คุณภรรยา)ผมได้ชิมผลไม้ทั้งจากที่ KP Garden  และบ้านสวนลุงฉลวย รู้สึกดังนี้ครับ.. เธอบอกว่าทุเรียนที่ KP อร่อยกว่ามากรสชาติหวานอร่อย แต่ทุเรียนที่ซื้อมาจากสวนลุงฉลวยมาทานที่บ้านเธอบอกว่าทุเรียนที่ได้มาไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ครับอารมณ์เหมือนทุเรียนอ่อน ซึ่งค่อนข้างต่างจากตอนที่ผมไปออกทริปกับนิตรสาร Barefoot ครั้งนั้นเพื่อนร่วมทริปบอกว่าทุเรียนที่สวนลุงฉลวยอร่อยมาก แต่จากที่คุยๆกันก็คิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการจัดการที่แตกต่างกันของทั้งสองสวน นั้นคือสวนลุงฉลวยนั้นมีพื้นที่เล็กกว่าคือ 15 ไร่ กับ KP ที่มีพื้นที 50 ไร่ แต่ทาง KP Garden จะมีการจัดการที่ค่อนข้างดีครับ คือมีการจัดคิวเป็นรอบๆ และจำกัดจำนวนคนในแต่ละวัน แต่ทางสวนลุงฉลวยใช้วิธีว่าเปิดเพียง  10 วันแต่ไม่ได้มีการจำกัดคน ทำให้ช่วงที่เปิดบุฟเฟต์นั้นคนไปที่สวนลุงฉลวยเยอะมากจนผลไม้ในสวนอาจไม่พอ จึงอาจจะเหลือผลไม้ที่ไม่ใช่เกรด A  ซะทีเดียวครับ

ปล. เรื่องความอร่อยเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลนะครับและยิ่งผลไม้ผมไม่ค่อยได้ทานด้วย ฟังจากคุณภรรยาเอาครับ 55555 
บทสรุป... จันทบุรี สวนสวรรค์ร้อยพันธุ์ผลไม้
หลังจากทานผลไม้ที่ KP Garden เป็นที่เรียบร้อย ผมก็ขับรถกลับบ้านครับ โดยคุณภรรยาแอบขอ Windows Shopping  แถวๆตลาดเนินสูงอีกรอบครับ จากนั้นก็ขับรถกลับบ้านใช้เวลาเกือบๆ  4 ชม.ก็ถึงบ้านครับ นานหน่อยเพราะแถวๆทางเชื่อมตรงบ้านบึงรถค่อนข้างติดครับ ก็เป็นอันว่าจบไปอีกทริปฟินๆ (โดยเฉพาะคุณนาย) กับการมาบุกสวนผลไม้เมืองจันท์ใน "เทศกาล บุฟเฟต์ผลไม้" ครับ
สำหรับเมืองจันทบุรีแล้วหากไม่เคยมาเที่ยวมาก่อน..ส่วนตัวแล้วผมเองก็จะคิดว่าที่นี่มีแค่สวนผลไม้ (ที่ผมเองไม่ชอบ แต่คุณนายผมชอบมาก.. 5555) แต่หลังจากการได้เดินทางมาที่นี่แล้วผมกลับพบว่าเมืองจันทบุรี มีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะ ไม่ว่าจะเป็น "วิถีชุมชนริมน้ำจันทบูร" ที่เป็นชุมชนที่มีอัตลักษณ์ในตัวเองมาก คนในชุมชนก็น่ารักอยู่อย่างเรียบง่ายที่ทำให้ผมเห็นถึงคำว่า "พอเพียง" ตามที่ในหลวงทรงมีพระราชดำริไว้  เมืองจันทบุรียังเป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งอาหารการกิน ที่มีร้านอาหารอร่อยๆมากมาย  มีสถานที่ "ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ" มากมายหลายแห่งทั้ง น้ำตก ภูเขา และทะเล  เรียกว่าเป็นจังหวัดที่ครบเครื่องมีอะไรๆให้เที่ยวมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ ซึ่งถ้ามาถามผมตอนนี้ว่าอยากกลับไปที่จันทบุรีอีกมั๊ย ผมตอบได้เต็มปากเลยครับว่าอยากกลับไป...ดังนั้นจันทบุรีเตรียมรอผมไว้ได้เลย ผมจะกลับไปเยือนอีก(หลาย)ครั้งแน่นอนครับ
สำหรับวันนี้ผมและคุณนายก็คงต้องขอลาทุกคนไปแต่เพียงเท่านี้ครับ สวัสดีและขอบคุณที่ติดตามรีวิวมาจนจบครับ เป็นรีวิวที่ยาวมาก ยาวกว่าหลายๆรีวิวที่ผมเคยทำมาเลยครับ
ปล. ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Nok Air และ Thai Rent A Car ที่ทำให้เกิดงาน The Amazing Journey ขึ้นมาและขอบคุณที่ให้โอกาสผมและเพื่อน Blogger อีก 2 ท่าน ได้มีโอกาสเดินทางมายังจังหวัดจันทบุรีในครั้งนี้ครับ เป็นทริปที่ประทับใจจริงๆครับ  
เชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้จักจันทบุรีมากขึ้นและอีกหลายๆ คน คงหลงรักจันทบุรีอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจากคุณ เอ๋อ้อย (https://www.facebook.com/Travel.Planet.By.Vichie81)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook