สุข...อุทัย "ณ เวลานี้ ที่สุโขทัย"

สุข...อุทัย "ณ เวลานี้ ที่สุโขทัย"

สุข...อุทัย "ณ เวลานี้ ที่สุโขทัย"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ไปชมความงดงามของเมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย เมืองเก่าของไทยที่ล้ำค่า ไม่อยากให้ทุกคนพลาดการไปเยือนสุโขทัย แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ติดตามความสุขในการได้ไปเยือนสุโขทัย ของคุณสมาชิกหมายเลข 2428153 (Pantip) ได้เลยค่ะ

"แกๆ เราไปนั่งรถไฟเล่นกัน"

"เออ เอาดิ"

นี่คือประโยคเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้

***ก่อนอื่นต้องบอกไว้เลยนะคะว่านี่คือกระทู้แรก ฝากเนื้อฝากตัวฝากหัวใจไว้ด้วยนะจ๊ะ กิ๊บกิ๊ววววว 

จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียงแค่สองประโยคโง่ๆด้านบน ไม่มีอาการอกหัก รักคุด แฟนทิ้ง พ่อไล่ออกจากบ้านแม้แต่น้อย เป็นเพียงอารมณ์ของแมวน้ำและเพนกวิ๊นตุ๊ต๊ะว่าอยากจะไปเที่ยวกันสองคน นั่งรถไฟไปเรื่อยๆ เป็นทริปแบบไม่เร่งรีบ และที่สำคัญ ต้องประหยัดงบมากถึงมากที่สุด เฮ้!   กฏของเรามีเพียงสองข้อคือ ห้ามใช้ตังเยอะ เพราะมันไม่มีและสอง ห้ามฝืนกฏข้อแรก (ปิดเทอมก็งี้แหละรายได้ลดน้อยถอยลง)  โดยเราตกลงกันไปในที่ ที่แมวน้ำปากแดงอยากไปมาตั้งนานแล้ว ซึ่งก็คือสุโขทัย ที่ที่ทำให้เราทั้งสองตัวกลับมาพร้อมกับความอิ่มเอมใจและความคิดถึง

ทริปนี้เกิดขึ้นตั้งเเต่วันที่ 15-17 มิถุนายน 2558 ซึ่งเพิ่งผ่านมาได้เพียงไม่นาน  โดยเราสองคนตกลงกันไว้ว่าเราจะออกเดินทางกันตั้งเเต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะไปเอาตั๋วรถไฟฟรี ต้องประหยัดเว้ย!! เเต่ในสิ่งที่วางเเผนไว้มันช่างดูสดใสเเละสวยหรู อารมณ์ประมาณว่า

" เราต้องไปถึงหัวลำโพงอย่างสดชื่นเเละยิ้มเเย้มเเจ่มใสเเน่ๆเลยเเกรรรรร "   โถๆๆๆๆๆๆ พวกเราช่างไม่สำเหนียกตัวเองกันเลย 

จากตอนเเรกที่ตกลงกัน

" แกๆ ตีห้าครึ่งจะหกโมง เราไปเจอกันที่เซเว่นนะปากซอยวัดจันทร์นะ "

" อ๋อออออออ โอเคๆๆ ได้ๆๆๆ ตื่นเช้าสบายมาก "

เเต่ในความเป็นจริงมันช่าง     " งามไส้ " นอกจากจะตื่นสาย  ไปผิดเวลานัด   ของหนัก    รถไม่มี    โดนเเย่งเเท็กซี่        ข้าวเช้าไม่ได้กิน   และการเดินทางในถนนเพชรเกษมมันติดมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เพิ่มก.ไก่ให้อีกล้านตัว กว่าจะถึงสถานีรถไฟหัวลำโพง บอกได้เลยว่า สะโหลสะเหล แต่ก็รีบสับขากันเพื่อไปเอาตั๋วรถไฟฟรีรอบ 9.25 และในที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดด 

" คุณปลัดคะ ตั๋วรถไฟในมืออิฉันมันสั่นไปหมดเเล้วล่ะค่ะ "

บอกก่อนนะคะ สุโขทัย ไม่มีสถานีรถไฟ  เราจึงต้องไปลงสถานีที่ใกล้ที่สุดคือพิษณุโลกแทน พอเราได้ตั๋วเเล้ว พวกเราสองคนก็รีบวิ่งๆๆไปจองที่นั่งบนรถไฟ โดยมีคุณลุงคุณป้าช่วยกันเลือกที่นั่งเเละบอกว่าจะมีเเดดส่องตรงไหนตอนเวลากี่โมง พวกหนูขอขอบคุณมากนะคะ 

ระหว่างรอรถไฟออกแมวน้ำปากแดงนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่างเพลินๆ เห็นคุณลุงนั่งอยู่เลยแอบถ่ายภาพมาซักหน่อย ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นแบบให้คนแรกของวัน 

หลังจากรถไฟออกเราสองคนก็ตื่นเต้นน่าดู ด้วยที่ในวันนั้นฟ้าเหมือนจะเป็นใจ ไม่มีเเดดเเรงๆ หรืออากาศร้อนๆสาดเข้ามาเลยเเต่เป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างร่มเเละเย็นสบาย ตั้งเเต่กรุงเทพถึงพิษณุโลก

ขอบคุณทุกๆคนในภาพมากนะคะ   

เมื่อถึงพิจิตรฝนก็เริ่มตั้งเค้า  ดูนั่นสิ ฝนกำลังจะตกเเล้ว

เมื่อถึงสถานีพิษณุโลก ตอนนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นกว่าๆ พวกเราสองคนก็รอรถม่วงเพื่อไปหอเพื่อนที่เรียนอยู่ที่นั้นหนึ่งคืน ก่อนจะเริ่มออกเดินทางต่อในวันต่อมา โดยการเดินทางไปสุโขทัยของเราคือ นั่งรถม่วงจากสถานีขนส่งใน ม. นเรศวร ไปลงที่ขนส่งเก่า โดยเสียค่ารถคนละ 25 บาท ก่อนจะต่อรถตู้ไปลงที่อำเภอเมืองเก่า จังหวัดสุโขทัย โดยในช่วงนี้ ที่จังหวัดสุโขทัยเป็นช่วง low season ค่ะ 

ดูสิคะ สุโขทัยเป็นเมืองเงียบๆจริงๆ

โดยในตอนเย็นหลังจากที่เราถึงที่พักกันเรียบร้อยเเล้ว พวกเราก็พาจักรยานออกไปสำรวจอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง โดยเราเริ่มต้นที่วัดเเรกซึ่งก็คือ วัดมหาธาตุ 

วัดมหาธาตุ

เป็นวัดใหญ่อยู่กลางเมือง สร้างสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ มีพระเจดีย์ต่างๆ รวมถึง 200 องค์ นับเป็นวัดสำคัญประจำกรุงสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุ ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ศิลปะแบบสุโขทัยแท้ตั้งเป็นเจดีย์ประธาน ล้อมรอบด้วยเจดีย์ 8 องค์ บนฐานเดียวกัน คือ ปรางค์ศิลาแลงตั้งอยู่ที่ทิศทั้ง 4 และเจดีย์แบบศรีวิชัยผสมลังกาก่อด้วยอิฐอยู่ที่มุม ด้านตะวันออกบนเจดีย์ประธานมีวิหารขนาด ใหญ่ก่อ ด้วยศิลาแลง มีแท่นซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือ พระศรีศากยมุนี ปัจจุบัน ได้รับการเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพฯ ที่ด้านเหนือและด้าน ไต้เจดีย์มหาธาตุมีพระพุทธรูปยืนภายในซุ้มพระ เรียกว่า "พระอัฎฐารศ" ด้านใต้ยังพบแท่งหินเรียกว่า "ขอมดำดิน" อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.paiduaykan.com/province/north/sukhothai/sukhothai-historypark.html

เด็กๆที่กำลังกระโดดน้ำเล่นในบ่อน้ำของอุทยานเมืองเก่า

ปั่นจักรยานกันไปเรื่อยๆตามทางสวยๆ อากาศเย็นสบาย

จนถึงวัดต่อมาคือวัดศรีสวาย 

ลืมบอกค่ะ ที่พักของเราอยู่ตรงข้ามกับตัวอุทธยานนะคะ สะดวกมากๆเลย จนตอนกลางคืนตอนที่พวกเรากำลังทานของว่างที่บาร์เล็กๆ พวกเราก็เห็นภาพอยู่ภาพนึง ซึ่งก็คือภาพของ "พระอจนะ" ที่อยู่ในวัดศรีชุมนั้นเอง  เฮ้ยยยยยยยยยยยย! นี่เเหละใช่เลยยยยยย! เเม่จ๋าาาา พวกหนูเจอจุดหมายเเล้วววว  ว่าเเต่....วัดศรีชุมนี่มันอยู่ที่ไหนง่ะ?? จนพี่ๆพนักงานอดไม่ได้ที่จะไปหยิบเเผนที่มาให้ 

" ปั่นจักรยานไปก็ได้นะน้อง "

" โหยยยยย ขอบคุณมากค่ะพี่ "

โอเค เเผนที่พร้อม เเค่นี้ก็ไมต้อกลัวอะไรเเล้วววว 

เช้าวันที่ 17 เรารีบออกไปเก็บแสงที่อุทธยานกันอีกครั้งในตอนเช้ามืด..... เราก็ค่อนข้างจะตื่นสายเล็กน้อย แต่ก็ได้ภาพตอนพระอาทิตย์ขึ้นมานะคะ

หลังจากที่อาบน้ำเเละทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยเเล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดินทางพร้อมกับจัดรยานคนละคัน ขอเตือนไว้ก่อนว่าสุโขทัยเเดดเเรงมากกกกกก อย่าลืมทาครีมกันเเดดนะคะ  ปั่นจักรยานไปเป็นระยะเวลาสองกิโลจากหน้าอุทธยานประวัติศาสตร์ พวกเราก็มาถึงจุดหมาย

ไม่ต้องการอะไรเเล้วละค่ะ 

วัดศรีชุม

เป็นวัดที่ประดิษฐาน พระอจนะ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 11.30  เมตร ลักษณะของวิหารสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลายลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทั้งสี่ด้าน 

ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

วัดพระพายหลวง

จากวัดศรีชุม เราปั่นจักรยานต่อมาเลยค่ะ ตรงไปจนถึงทางแยกซ้ายขวา ก็จัดการเลี้ยวขวาไปเลยยยยยย ปั่นต่อมาอีกแค่นิดเดียวก็ถึงวัดแล้ว ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ข้างหน้าน่ารักมากเลยค่ะ ให้ข้อมูลและคำแนะนำดีมาก ถึงจะร้อนก็ไม่เหวี่ยง ยิ้มรับนักท่องเที่ยวตลอดเลย  

วัดพระพายหลวงตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ ก่อสร้างก่อนการตั้งเมืองสุโขทัย มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากวัดมหาธาตุ เพราะมีรูปแบบศิลปกรรมตั้งแต่ยุคเริ่มแรกของสุโขทัย และมีการสร้างเพิ่มเติมในสมัยสุโขทัยตอนปลาย วัดพระพายหลวงจึงเป็นแหล่งรวมงานศิลปกรรมหลายยุคหลายสมัย ผังบริเวณวัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีคูน้ำล้อมรอบ 3 ชั้น คูชั้นนอกเรียก คูแม่โจน มีปรางค์ศิลาแลง 3 องค์เป็นประธานของวัด องค์กลางและองค์ด้านทิศใต้พังเหลือแต่ฐาน เหลือเพียงองค์ด้านเหนือ หน้าบันประดับลายปูนปั้นเป็นศิลปะสมัยสุโขทัยตอนต้นที่งดงามมาก สันนิษฐานว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 18 เป็นศิลปะขอมสมัยบายน (รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) บริเวณหน้าปรางค์มีวิหารที่เหลือเพียงเสาใหญ่ศิลาแลง ถาวรวัตถุที่สร้างเสริมต่อขยายออกไปทางด้านหน้าของพระปรางค์สามองค์ เช่น เจดีย์เหลี่ยมที่เหลือเพียงยอดปรักหักพัง และมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปสี่อิริยาบท ได้แก่ นั่ง ยืน เดิน และนอน ปัจจุบันปรักหักพังลงเกือบหมด

ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/natswppl.htm

หลังจากที่เราได้เเวะวัดพะพายหลงเเล้ว วัดต่อมาที่เราจะไปกันต่อก็คือ วัดสะพานหิน โดยวัดสะพานหินไปไม่ยากค่ะ เพราะเมื่อถึงปากทางออกของวัดศรีชุมเเล้วเราก็จะเจอถนนใหญ่จากนั้นก็เลี้ยวขวาเเล้วปั่นจักรยานตรงต่อไปเล้ยยยยยยยยยยยยย  ปั่นไปได้ประมาณสองกิโลเริ่มหอบเล็กๆเนื่องจากอากาศร้อนมากกกก เเละเส้นทางที่เข้าไปในวัดสะพานหินค่อนข้างที่จะขรุขระ เเต่ไม่เป็นไร ไปถึงวัดคงไม่เหนื่อยมากหรอกกกกกกก   ซะที่ไหนละ!!! ไปพวกเราไปสู้!! เเบบนี้ต้องเดินขึ้นเขา!!

ขอนั่งพักแปป 5555555

จะถึงเเล้วๆๆๆ

ถึงเเล้ว  เย้!!

นอกจากนั้นข้างบนวิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก คุ้มค่ามากค่ะที่ขึ้นมาบนนี้ วัดทั้งวัดในวันนั้นมีเเค่พวกเราสองคนเท่านั้นเอง รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของภูเขาทั้งลูก เพราะเงียบมากกกกก 55555 

**ต่อนะคะ 

วัดสะพานหิน

วัดนี้ตั้งอยู่บนเนินเขา สูงประมาณ 200  เมตร บริเวณทางเดินขึ้นโบราณสถานมีทางเดินปูลาดด้วยหินชนวนจากตีนเขาขึ้นไปเป็นระยะทาง 300  เมตร สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระประธานเป็นพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระปางประทานอภัย สูง 12.50  เมตร เรียกว่า “พระอัฏฐารศ”  เเละหลังจากที่พวกเราเดินลงเขากันมาเเล้ว พวกเราก็เห็นป้าย สรีดภงค์ จำได้ว่าตอนเด็กๆสรีดภงค์คือเขื่อนเก็บน้ำสมันสุโขทัย  เฮ้ยยยยยย แกๆๆๆเราอยากไปดู ดังนั้นพวกเราก็เลยปั่นจักรยานกันไปต่อ ไปถามทางชาวบ้านข้างหน้าเอา 

" ลุงคะๆๆ สรีดภงค์ไปอีกไกลไหมคะ??"

" ไปทำไมอ่ะหนู น้ำมันน้อยนะ ไม่มีอะไรเท่าไรหรอกตอนนี้ "

" หนูอยากเห็นอ่ะค่ะ "

" งั้นปั่นจักรยานไปอีกประมาณ 12 กิโลถึงเลย "

คุณพระ! ยกมือทาบอก เเต่เอาวะ! ไหนๆก็มาเเล้ว เราต้องไปต่อ  ปล.ทางไปสรีดภงค์เป็นทางขึ้นเขาตลอดทางเลยนะจ๊ะ

ไหนลุงบอกว่าไม่อะไรไง??  

สวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  เห็นเเค่นี้พวกหนูก็หายเหนื่อยเเล้วค่ะ!!

สรีดภงค์

ตั้งอยู่บริเวณเมืองเก่า ทำนบนี้เป็นเขื่อนดิน (คันดิน) สำหรับกั้นน้ำอยู่ระหว่างซอกเขาคือ เขาพระบาทใหญ่ และเขากิ่วอ้ายมา ที่สร้างขึ้นเพื่อกักน้ำ และชักน้ำไปตามคลองส่งน้ำมาเข้ากำแพงเมืองเข้าสระตระพังเงิน ตระพังทอง เพื่อนำไปใช้ในเมือง และพระราชวังในสมัยโบราณ ซึ่งในปัจจุบันกรมชลประทานได้ปรับปรุงบูรณะ และซ่อมแซมขึ้นใหม่

ขอบคุณเนื้อหาจาก  http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

หลังจากที่เรายืนตากแดดตอนเที่ยงชมบรรยากาศเขื่อนฟินๆกันไปเเล้วก็ถึงเวลาลง บอกก่อนตอนขาลงนี่เเทบไม่ต้องปั่นจักรยานเลย ให้เเรงโน้มถ่วงมันพาไป เเละตัดสินใจว่าจะกลับไปที่พักกันก่อนเเล้วตอนเย็นๆค่อยออกไปปั่นจักรยานเเว้นกันต่อ  เอาจริงๆเเค่วิวข้างทางที่ผ่านก็ฟินเเล้วค่ะ

ชาวบ้านที่สุโขทัยน่ารักมากจริงๆนะคะ

หลังจากจากที่เราได้กลับไปอาบน้ำนอนพักกันจนถึงตอนสี่โมงเย็น พวกเราก็ออกเดินทางไปต่อที่วัดช้างล้อมซึ่งเป็นวัดสุดท้ายของเรานะคะ 

วัดช้างล้อม

เป็นโบราณสถานที่สำคัญ มีเจดีย์ทรงกลมแบบลังกาเป็นประธานของวัด รอบฐานเจดีย์ประดับด้วย   ปูนปั้นเป็นรูปช้างโผล่ครึ่งตัว ด้านหน้ามีฐานวิหารก่อด้วยอิฐ และยังมีฐานกำแพงแก้วก่อด้วยอิฐล้อมรอบ 

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sukhothai.go.th/tour/tour_01.htm

จบเเล้วค่ะกับการเดินทางของพวกเรา ถ้าหากผิดพลาดอะไรไปก็ขอโทษด้วนะคะ เเต่ทั้งนี้ก็เพื่ออยากจะให้ทุกคนได้ลองเที่ยวที่สุโขทัยกันดูค่ะ เเล้วจะพบว่าประเทศของเรามีเเต่ที่สวยๆเเละล้ำค่ามากจริงๆ

** ขอบคุณนะสุโขทัย ที่ทำให้พวกเรามีความสุขมากจริงๆ 

เห็นไหมคะว่าเมืองไทยมีอะไรดีๆ อีกเยอะ ไปเที่ยวสุโขทัยกันนะคะ เมืองประวัติศาสตร์ของไทย เมืองมรดกโลก ที่น่าจดจำ

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ สมาชิกหมายเลข 2428153 (Pantip)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook