มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 2

มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 2

มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากตอนที่แล้วที่คุณ spras77 พาแวะเดินเล่นในเขตตัวเมืองชั้นนอกของมัณฑะเลย์กันแล้ว ตอนนี้เราจะมาลุยเข้าสู่ตัวเมืองมัณฑะเลย์แต่แวะเที่ยวแวะพักกินข้าวที่เมืองพุกามกันด้วยค่ะ ไปพร้อมๆ กับคุณ spras77 กันเลยค่ะ

เราเดินทางเข้าตัวเมืองมัณฑะเลย์กันครับ

รถราเริ่มเยอะขึ้น ถือเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีกลิ่นอายประวัติศาสตร์ที่เข้มข้นไม่แพ้เมืองอื่นๆในอาเซียนเลยครับ

บ่ายแก่ๆแล้ว สำหรับทริปที่ไม่เร่งรีบอะไรมากมายเราจะแวะดื่มชายามบ่ายกับเพื่อนชาวเมียนมาร์กันครับ

เด็กๆกำลังเรียนพิเศษกันอยู่ แตกตื่น สนุกสนานกันครับ

วัฒนธรรมกินดื่มและร้านน้ำชาที่เมียนมาร์

" MIN THIHA  TEA SHOP "

ประสบการณ์ตรงที่น่าประทับใจเมื่อได้เยือนเมียนมาร์ คือ การมีโอกาสนั่งร้านน้ำชา หรือ ละ-แพะ-เหย่-ส่าย แบบคนท้องถิ่นที่นั่นครับ

ร้านน้ำชาสำหรับคนเมียนมาร์คือความบันเทิงและสนุกสนานแห่งหนึ่ง มีคำกล่าวติดปากของคนที่นั่นว่า หากจะหาความสงบให้ไปนั่งที่ลานเจดีย์ เมื่อจะหาความบันเทิงมาเจอกันที่ร้านน้ำชา

ดังนั้นที่นี่จึงมีกลิ่นหอมอบอุ่นด้วยพลังบวก พลังแห่งความสนุกสนาน คนเมียนมาร์รุ่นใหม่ๆทั้งชายหญิงนิยมมานั่งเล่นที่ร้านน้ำชา ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศชายเหมือนในอดีต ชาร้อนของที่นี่จะเป็นที่นิยม (จริงๆไม่เรียกว่านิยม น่าจะเรียกว่าเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ ที่จะต้องดื่มชาร้อนเท่านั้น) โดยทานร่วมกับของทอดที่มีขายเป็นเมนูเครื่องเคียงของร้านเสมอ

ดังนั้นคนไทยนักท่องเที่ยวมาเยือนแล้วสั่งชาเย็น กาแฟเย็นหรือถามหาน้ำแข็งจึงเป็นเรื่องแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมข้ามแดนกันไปโดยอัตโนมัติ ผมเชื่ออีกไม่นาน ร้านกาแฟแบบเมียนมาร์จะเรียนรู้และอาจจะปรับตัวเพื่อรองรับเพื่อนนักท่องเที่ยวใหม่ๆที่แวะเวียนมาเยือนบ้านเค้า คนเมียนมาร์น่ารักครับ ไม่ได้น่ากลัวแบบข่าวในเมืองไทย และแน่นอนว่าร้านน้ำชาแบบนี้ มาเยือนทั้งทีน่าจะลองใส่โสร่งและมาหาโอกาสร่วมวัฒนธรรมกินดื่มแบบเมียนมาร์แท้ ที่ร้านน้ำชาให้ได้ ความสนุกสนานการเยือนเมียนมาร์ตั้งต้นที่ร้านน้ำชาครับ....

เราใช้เวลาดื่มด่ำน้ำชากับบรรยากาศแบบเมียนมาร์ เพื่อเวลารอให้แดดร่ม อากาศเย็นสบายเพื่อเตรียมขึ้น Mandalay Hill กันครับ

Mandalay hill ได้รับการบอกต่อกันว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองมัณฑะเลย์

โดยจากจุดนี้จะทำให้เราสามารณมองเห็นเมืองมัณฑะเลย์เกือบทั้งเมืองกันเลยครับ

การเดินทางมาที่นี่สะดวกสบายครับ สามารถนั่งรถสองแถวรับจ้าง หรือ Taxi มาได้เลย

ระหว่างการเดินทางขึ้นมา เราก้จะพบนักท่องเที่ยวและชาวเมียนมาร์เดินย้อนลงไปยังตีนเขาอยู่เป็นระยะๆ

เมื่อถึงลานจอดรถแล้ว เราสามารถเอารองเท้าของเราทิ้งไว้ในรถก็ได้ครับ

หรือจะนำติดตัวไปฝากที่บริเวณทางเข้าก็สามารถทำได้ ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใส่รองเท้าขึ้นไปครับ

สามารถขึ้นบันไดเลื่อน ไชั้นบนสุดได้เลยครับ ที่นี่จะคิดค่าธรรมเนียมการนำกล้องขึ้นมาถ่ายรูปด้วยครับ

แป๊บเดียวเราก็มาถึงชั้นบนสุดครับ

สำหรับผมถึงกับตื่นตา กับแสงและเงาที่สาดส่องลงมาช่วงเวลานั้นครับ มันทำให้เราต้องมีสติและสำรวมในทันที

บนยอด mandalay hill มีวิหารชูตองพญาโดยอาคารที่เป็นตัววิหารนั้นเป็นสี่เหลี่ยมมีทางเดินที่มีเสา 2 แถวรับน้ำหนักตัวเจดีย์และวิหาร มีอาร์คโค้งคลุมทางเดินทั้ง 4 ด้านและเสาแต่ละต้นประดับด้วยโมเสก

มุมทั้ง 4 ด้านของวิหาร มีพระพุทธรูปปางต่างๆประดิษฐานอยู่ได้แก่ พระกัสสป พระกกุสันโธ พระสมณโคดม และพระโกนาคมน์ ซึ่งคนเมียนมาร์มักจะมาสักการะกราบไหว้บูชาและอธิษฐานขอพรอยู่เป็นประจำ

จากที่นี่ทำให้เรามองเห้นเมืองมัณฑะเลย์ได้เกือบทั้งเมือง

ยิ่งตะวันเริ่มคล้อย นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางมาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรอเวลาพระอาทิตย์ตกดินที่มัณฑะเลย์ฮิลล์กัน

ไม่มีใครรีบ ต่างพูดคุย พักผ่อน

เฝ้ารอเวลา

จับจองมุมพักผ่อนตามอัธยาศัยแบบเงียบๆ

Sunset time from Mandalay hill

มื้อเย็นวันนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้าน Ko’ Kitchen ครับ ใครไปใครมา คนที่นี่มักจะพามาร้านนี้เสมอ คนท้องถิ่นชาวเมียนมาร์ก็มักนิยมร้านอาหารไทยจากร้านนี้เช่นกันครับ

จริงๆค่ำวันนี้เรายังมีเวลาพอสมควรสำหรับการตระเวน เดินเล่นรอบๆโรงแรมที่พัก ซึ่งเรานัดหมายกันไว้ว่าหลังจากเก็บกระเป๋าแล้ว ใครยังไม่เหนื่อยจะออกมาเดินเล่นชมบรรยากาศค่ำคืนกันต่อ

คืนนี้เราพักที่โรงแรม Gold Yadanar ครับ(บรรยากาศรอบๆที่พักยามเช้าครับ )

ใกล้ที่พักเราจะเป็นตลาดเช้าที่ผู้คนคึกคักและติดกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของมัณฑะเลย์

สนใจลองหมากแบบเมียนมาร์แท้ๆได้ที่หน้าโรงแรมครับ

วันนี้เราจะออกเดินทางไปเมืองพุกามกันครับ ห่างจากมัณฑะเลย์เพียง 150 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เราเผื่อเวลาไปแบบเรื่อยๆราวๆ ครึ่งวันครับ ก่อนมาเราทำการบ้านมาแล้วพบวาถนนในเมียนมาร์ เส้นทางมัณฑะเลย์-พุกาม ปรบปรุงใหม่แล้ว แต่สาเหตุที่ยังต้องใช้เวลานานอยู่เนื่องจากมีการควบคุมความเร็วของรถที่วิ่งครับ 

 

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่ตั้งใจจะไปเมืองพุกาม มักเลือกเดินทางจากมัณฑะเลย์สู่พุกามโดยเครื่องบินครับ แต่ทริปนี้เรามาลองดูอีกทางเลือกในการเดินทาง ที่เราทำการบ้านมาพอสมควจึงตัดสินใจ เลือกเส้นทางนี้เมื่อเทียบกับเวลาที่เสียไปราวครึ่งวันก็ถือว่าคุ้มค่าครับ สามารถทำให้เราได้สัมผัสกับเมียนมาร์ได้ชิดใกล้มากยิ่งขึ้น

เราออกเดินทางจากมัณฑะเลย์ราว 8 โมงเช้า ลัดเลาะภายในตัวเมือง

กระทั่งขึ้นถนน highway ที่มีขนาดใหญ่โตสะดวกสบาย

ผ่านด่านเก็บเงินเป็นระยะ

บรรยากาศข้างทางเราก็พบต้นไม้แปลกตาอยู่เสมอๆครับ

เจดีย์ขนาดน้อยใหญ่จำนวนมากมายในชุมชนต่างๆที่เราผ่าน

 

รถยนต์ที่วิ่งระหว่างเมืองก็มีจำนวนไม่มากนักและถูกจำกัดความเร็ว

วิ่งมาได้ราวๆ 1 ชั่วโมงก็แวะร้านค้าริมทางเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้า

แถบนี้มีนักเดินทางหยุดรถแวะพักกันจำนวนมาก

สิ่งอำนวยความสะดวกของจุดพักรถต่างๆยังถือว่าแย่ครับ เมื่อเทียบกับการเดินทางระหว่างเมืองในลาวหรือเวียดนาม โดยยังไม่ต้องเทียบกับไทยและมาเลเซีย

แต่ผมเชื่อว่าในอีกไม่นานนับจากนี้ต้องพัฒนาแน่นอนเพราะเมื่อถนนที่รัฐบาลเมียนมาร์สร้างไว้พร้อม ย่อมต้องเกิดการตอบสองความต้องการของคนเดินทางโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ดังนั้นการเดินทางด้วยรถยนต์โดยสารเพื่อไปพุกาม จะสะดวกสบาย ค่าใช้จ่ายน้อยและทำให้เราได้สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมการกินอยู่แบบเมียนมาร์แท้ๆมากกว่าการนั่งเครื่องบินที่เมื่อเทียบแล้วใช้เวลาต่างกันไม่มาก

แวะราว 20 นาทีเราก็ออกเดินทางกันต่อครับ

ออกจากจุดพักรถนี้แล้ว ก็ใกล้จะถึงพุกามแล้วครับ สังเกตได้ว่าบรรยากาศ2ข้างทางเริ่มร้อนและแล้งมากขึ้น แตกต่างกับช่วงที่เราผ่านมา

สภาพบรรยากาศคล้ายทะเลทราย จนเราอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ว่าเหตุใดถึงไม่มีการจัดทำระบบชลประทานหรือนำน้ำจากแม่น้ำอิระวดี ซึ่งไม่ไกลจากถนนที่เราวิ่ง มาใช้ในทางการเกษตร

บรรยากาศของเส้นทางนี้ มีผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลว่าจะเป็นลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับหลายพื้นที่ ซึ่งตั้งบนเส้นศูนย์สูตรเดียวกันคือ ร้อนและแล้งมาก ทางรัฐบาลเมียนมาร์กำลังพัฒนาและแถบนี้เมื่อเทียบแล้ว มีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก

แล้วเราก็เข้าสู่ย่านชุมชนซึ่งแสดงว่าเราใกล้ถึงที่หมายคือ เมืองพุกามแล้วครับ หลังจากหลับไปได้ไม่ถึง 1 ตื่นนัก ระหว่างทางขามาเราได้เห็นเห็นความแตกต่างของภูมิศาสตร์ที่ชัดเจน ได้เห็นชีวิตชาวเมียนมาร์ในแถบชนบทแต่เมื่อเข้าสู่เขตชุมชนก็พบ ตึกและอาคารเก่าแก่จำนวนมากมายที่ได้รับอิทธิพลมาจากเมื่อครั้งอังกฤษยังปกครองแทรกตัวอยู่จำนวนมากมาย

รถรุ่นเก่าๆในอดีตแต่ยังคงสภาพดีเยี่ยม เรายังสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองนี้อีกทั้งบรรยากาศเริ่มเย็นชุ่มฉ่ำและนักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา มีลกษณะเป็นชุมทางของนักท่องเที่ยวที่ชัดเจน

ราว 11 โมงกว่าๆเราก็ถึงเมืองพุกาม อันน่าตื่นตาครับ แว๊บ!แรกของการเดินทางด้วยรถยนต์พบว่าบรรยากาศคล้ายแถบเมืองเก่าสุโขทัย อยุธยาแต่ร้อนแล้งและพบเห็นโบราณสถานได้ทั่วๆไปเต็มพื้นที่และมีจำนวนมากกว่าหลายเท่าครับ

แม้จะดูเหมือนการจัดการที่ดี(ในแบบทุนนิยม)จะยังไม่ดีนัก แต่การจัดการในแบบของเมียนมาร์ก็ได้สร้างโอกาสให้กับนักท่องเที่ยวได้ชิดใกล้โบราณสถานเหล่านี้ได้ใกล้ชิดกว่าที่ไหนๆ

เราพบว่าคนที่นี่กับโบราณสถาน เจดีย์ วัดและความเชื่อต่างๆเชื่อมต่อได้อย่างแนบสนิท คนที่นี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อที่ถ่ายทอดถึงกันมาตั้งแต่อดีต ซึ่งแตกต่างกับบรรยากาศของเมืองประดิษฐ์ทางวัฒนธะรมในหลายแห่งที่ทำให้ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์หวงห้าม

มาถึงพุกามก่อนเที่ยงเล็กน้อย แม้จะได้น้ำอ้อย/ขนมท้องถิ่นรองท้องกันระหว่างทาง แต่เราก็หิวโซกันเลยทีเดียวครับ แวะที่ร้าน Green Elephant กัน

เป็นร้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย

นั่งเล่นสักพักอาหารก็ถูกยกมาครับ

บรรยากาศดี รสชาดใช้ได้ในยามที่หิวกันครับ

หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้ว ตอนหน้าเตรียมตัวไปทัวร์วัดและโบราณสถานต่างๆที่มีกระจัดกระจายทั่วเมืองโบราณพุกามกันค่ะ ติดตามตอนที่ 3 ได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ http://travel.sanook.com/1395499/

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ spras77

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook