มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 1

มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 1

มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี ตอนที่ 1
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เก็บกระเป๋าแล้วไปเที่ยวเมียนมาร์กันค่ะ มัณฑะเลย์ - พุกาม อัญมณีเม็ดงาม แห่งลุ่มน้ำอิระวดี รอทุกท่านอยู่ที่นั่น ถ้าพร้อมที่จะสัมผัสความงดงามเหล่านั้นแล้ว ขอเชิญทุกท่านตามคุณ spras77 ไปเที่ยวเมียนมาร์กันเลยค่ะ

โชคดีที่ได้มาในห้วงเวลาที่กำลังเบ่งบานความงดงามไม่รู้ว่าอีก 5 ปีจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมากแค่ไหน แต่ที่สัมผัสได้คือ คนเมียนมาร์เปิดรับเพื่อนใหม่ด้วยความอบอุ่นและปลอดภัย "ยินดีที่รู้จักกันครับ มัณฑะเลย์- พุกาม "

ทริปนี้เราเดินทางสู่มัณฑะเลย์เมืองมีเสน่ห์และตั้งใจเดินทางไปให้ถึงเมืองพุกาม ดินแดนแห่งทะเลเจดีย์ ที่เราตกตะลึงตั้งแต่ได้เห็นจากภาพถ่ายและที่น่าสนใจสำหรับพวกเราคือ การเลือกเดินทางกันด้วยรถยนต์จากมัณฑะเลย์สู่พุกาม ด้วยระยะทางเพียง 150 กิโลเมตร(โดยประมาณ) แต่เราใช้เวลาเดินทาง(แบบสบายๆแวะรายทางอยู่เรื่อยๆ)ประมาณ 4 ชั่วโมง ทำให้ทริปนี้จึงมีสีสันและความสนุกสนานแทรกอยู่ระหว่างการเดินทางอยู่เป็นระยะๆครับ

จากดอนเมืองตรงสู่มัณฑะเลย์ด้วยแอร์เอเชีย FD244 เวลา 10.55 น. ช่วงเวลากำลังหิวบนเครื่องกันเลยครับ  ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีซึ่งเราจะไปถึงมัณฑะเลย์ประมาณ 12.20 น.

(ปัจจุบันมี 2 สายการบินที่บินสู่มัณฑะเลย์ คือแอร์เอเชีย, บางกอกแอร์เวย์(และเส้นทางเชียงใหม่-มัณฑะเลย์ด้วย )และแต่เดิมไทยสไมล์ก็พาเราไปมัณฑะเลย์ได้ครับ แต่เห็นว่างดบินชั่วคราวไปพักนึงแล้ว

ไม่นานอาหารก็ตามมาครับ ทริปนี้ลองเมนูชาวอาเซียนกัน 

เพราะพอถึงมัณฑะเลย์แล้ว เราจะเที่ยวกันเลยครับเลยจัดการบนเครื่องเสียให้เรียบร้อย มื้ออื่นๆค่อยลิ้มรสชาติอาหารเมียนมาร์กัน 

งีบได้สักพักพนักงานต้อนรับก็เอาแบบฟอร์มเข้าเมือง มาให้ครับ

จะเข้าเมียนมาร์ ยังต้องขอ visa ครับ ตอนนี้ภาพถ่ายพื้นหลังต้องเป็นสีขาวเท่านั้นด้วยครับ

เข้าเขตเมียนมาร์ ภูมิประเทศด้านล่างก็แปลกตากันเลยทีเดียวครับ

แม่น้ำสายสำคัญของเมียนมาร์ เอยาวดี หรือ อิระวดีที่เราคุ้นกัน

จวนจะเข้าเขตเมืองมัณฑะเลย์แล้วครับ

มองจากมุมสูง เล็งดีๆจะเห็นเจดีย์ตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองเลยครับ

แม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวเมียนมาร์

ใกล้จะ landing ที่สนามบินมัณฑะเลย์(MDL) แล้วครับ

สนามบินมัณฑะเลย์ เป็นสนามบินนานาชาติที่ตั้งไกลออกมาจากตัวเมืองมัณฑะเลย์ราว 45 กิโลเมตรครับ  ที่นี่จัดว่าเป็นสนามบินขนาดใหญ่ของเมียนมาร์ ตั้งเป้าให้มีความทันสมัยและรองรับการจราจรทางอากาศในอนาคต

ที่นี่ไม่ต้องใช้งวงช้างครับ มีรถบัสสนามบินมาจอดรอรับไปส่งที่อาคารผู้โดยสาร

จริงๆก็ไม่ไกลมาก

เทียบกับสนามบิน ตจว. ของเราบางจังหวัดยังต้องเดินไกลกว่าอีกครับ ถือเป็นบริการของสนามบินครับ

ยืนแป๊บเดียวก็ถึงอาคารและเข้าคิวตรวจเอกสารสำรับเข้าเมืองครับ

ตม.ที่นี่ บอกเลยครับว่ายิ้มแย้มแจ่มใสมาก

ผ่าน ตม.มาได้ก็รอรับกระเป๋ากัน

หายง่วงกันตั้งแต่ขึ้นรถบัสสนามบินแล้วล่ะครับ

ภายในอาคาร

ติดต่อ sim โทรศัพท์ / การสื่อสาร

ติดต่อ taxi / limousine เข้าเมือง

สำหรับผู้ที่เดินทางโดยแอร์เอเชีย จะมีรถบัสบริการเข้าเมืองฟรีครับ

สนามบินนานาชาติมัณฑะเลย์ ใหญ่โต โอ่โถง รองรับอนาคตครับ

สำหรับคณะของพวกเรา มีรถมารอรับครับ

ออกเดินทางสู่มัณฑะเลย์กันครับ

ถนนที่นี่ใหญ่โต กว้างขวาง ตั้งแต่สนามบินจนถึงตัวเมือง

แม้รถยนต์จะวิ่งไม่มาก และส่วนใหญ่คือมอเตอร์ไซค์ ถนนบางส่วนก็กำลังขยับขยายครับ

สองข้างทางเต็มไปด้วยเจดีย์ขนาดน้อยใหญ่ (ขนาดยังไปไม่ถึงพุกาม ยังสังเกตได้ถึงปริมาณของเจดีย์ว่าเยอะมากผิดจากปกติของบ้านเรา)

การเดินทางด้วยรถไฟของที่นี่ ก็ได้รับความนิยมครับ

รากฐานการเดินทางด้วยรถไฟถูกวางไว้ตั้งแต่อังกฤษเข้ามาปกครองประเทศ แม้จะไม่ใช่เหตุผลเพื่อการพัฒนาประเทศอาณานิคมก็ตาม แต่ก็ทำให้ผู้คนที่นี่ในปัจจุบันยังคงนิยมใช้การเดินทางด้วยรถไฟระหว่างเมืองกันเป็นจำนวนมากครับ

เดินทางมาราว 2 ชม.นิดๆ ถือโอกาสแวะเดินเล่นในเขตตัวเมืองชั้นนอกของมัณฑะเลย์กันก่อนครับ

คนที่นี่ไม่เร่งรีบเดินทาง แม้มอเตอร์ไซค์จะเยอะ แต่ก็คนละอารมณ์กับแถวเวียดนามครับ

มาถึงถิ่นแล้วก็ต้องลอง street food ครับ ถามคนขายแล้วก็ยังจับความไม่ได้ครับว่าเรียกว่าอะไร

ลักษณะคล้ายยำ หรือส้มตำ แต่ไม่ได้ใส่ลงไปในครกแบบ้านเรา อีกทั้งยังมีถั่วลิสงใส่ลงไปด้วย

แล้วก็แวะไปดื่มน้ำฟรี ที่มีหม้อน้ำดินเผาตั้งไว้หน้าบ้านเกือบทุกหลังเลยครับ

ไม่ได้ตั้งโชว์น่ะครับ มีน้ำสะอาดจริงๆครับ

เป็นวัฒนธรรมการต้อนรับผู้คนมาเยือนทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักอย่างเอื้ออารีของชาวเมียนมาร์ ครับ เรียกว่า “ร้านน้ำ”  หรือ " เหย่ชานสี่น หรือ เหย่โอสี่น" คนเมียนมาร์แท้ๆ อย่างเขตมัณฑะเลย์เช่นนี้จะเอาใจใส่และดูแลหม้อน้ำดินเผาหน้าบ้านของตนเองอย่างดีครับ ไม่ให้สกปรกและต้องตั้งอยู่ในที่เย็นสบายเหมาะกับการพักผ่อนของผู้ที่ผ่านหน้าบ้าน

ดื่มเสร็จเราก็อนุโมทนา นึกขอบคุณน้ำใสเย็นสบายของเจ้าของบ้านอยู่ในใจครับ แวะร้านโน่นเลยครับ คุณลุงกับคุณป้ายิ้มรอเราแล้ว 

ดูแล้วก็เป็นเรื่องปกติน่ะครับ บ้านเราก็กินลูกชิ้นทอดริมถนนกัน แต่วัฒนธรรมกินของทอดของชาวเมียนมาร์ก็ไม่ธรรมดาครับ

คนเมียนมาร์จะชื่นชอบกินของทอด กับชาร้อนอยู่บ่อยครั้งในแต่ละวัน คุณป้าบอกเลือกกินได้ตามสบาย(แต่อย่าลืมจ่ายเงินจ๊าดด้วยน่ะจ๊ะ )

ในย่านเดียวกัน มีโรงทอผ้าครับ ลองแวะเดินเข้าไปดูกันหน่อย

มีหลายเครื่องกันเลยครับ

ผู้ชายเมียมาร์ก็ต้องทอผ้าได้ครับ

ของที่ระลึกที่ได้จากโรงทอผ้า

ฝั่งตรงข้ามนอกจากจะขายผ้าทอแล้ว

ยังเขียนลายผ้าเองอีกด้วยครับ งาน hand made แท้ๆของแถบนี้ราคาไม่แพงเลยครับ

ร้านขนาดใหญ่ก็มีครับ

ข้อดีคือมีหลายลาย หลายราคาให้เลือก ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสนบาทกันเลย

หลายคนเตรียมไว้สำหรับนุ่งโสร่งเข้าวัดกันในทริปนี้ครับ
ลายนี้น่าสนใจ

ตรงกับลายรั้วบ้านของแถบนี้พอดีเลย

แรงบันดาลใจ หรือ ลายสามัญพื้นฐานน่ะครับ?

สะพานไม้อูเบ็ง

เราเดินทางมาถึงเมืองอมรปุระ ในเวลาที่ไม่ค่อยดีนักครับ เป็นช่วงเวลากลางวัน บ่ายๆและอากาศร้อนอบอ้าว

สะพานอูเบ็งจะทอดข้ามทะเลสาบตองตะมาน ตรงไปยังเจดีย์เจ๊าต่อซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ

สะพานแห่งนี้เป็นสะพานทำจากไม้ที่ยาวที่สุดในโลกโดยมีความยาวถึง 2 กิโลเมตร  สร้างจากไม้สัก1,208 ต้นมาเพื่อใช้ทำเป็นเสา โดยรื้อมาจากพระราชวังเก่ากรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงมายังอมรปุระ

มีเรือบริการสำหรับเที่ยวหรือข้ามฟากในทะเลสาป

ของที่ระลึกที่นี่ราคาไม่แพงและหลากหลายครับ

หากตั้งใจจะซื้อของฝาก ผมคิดว่าเริ่มซื้อตั้งแต่แถวนี้เลย ดีกว่าครับ เทียบราคากับที่อื่นๆแล้วไม่ต่างกันมากแต่ที่นี่ดูจะหลากหลายให้เลือกมากกว่าครับ

ตอนต่อไปขอตามติดคุณ spras77 เดินทางเข้าตัวเมืองมัณฑะเลย์กันค่ะ ติดตามตอนที่ 2 ได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ http://travel.sanook.com/1395495/

ขอบคุณข้อมูลจากคุณ spras77 ด้วยค่ะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook