สโลว์ไลฟ์ในถิ่นจิงโจ้ Melbourne & Sydney

สโลว์ไลฟ์ในถิ่นจิงโจ้ Melbourne & Sydney

สโลว์ไลฟ์ในถิ่นจิงโจ้  Melbourne & Sydney
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"ออสเตรเลีย" คงเป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆคน ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่อยากไปเหยียบถิ่นจิงโจ้ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความน่ารัก น่าคบหา ทั้งสิ่งแวดล้อมและความเป็นมิตรของผู้คน.. ซึ่งวันนี้เราขอตามรอยของคุณ สมาชิกหมายเลข 1746549  แห่งบ้านพันทิป ที่มีโอกาสไปเยือนดินแดนจิงโจ้ อย่างเมลเบิร์นและซิดนีย์กันค่ะ 

พวกเราเชื่อว่าตอนเด็กๆ ทุกคนก็คงมีฝันที่อยากจะไปเที่ยวที่นู่น ไปที่นั่นที่นี่ แต่เมื่อโตขึ้นก็มีแค่บางคนเท่านั้น ที่สามารถจะทำฝันในวัยเด็กนั้นให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ผมก็มีฝันในทำนองนี้เหมือนกันครับ ฝันที่จะได้ให้ 2 เท้าของเราได้ไปสัมผัสที่ที่เรายังไม่เคยได้ไป จนในที่สุดเวลาและจังหวะที่ลงตัวจากการที่ผมได้ปิดเทอม ม.6 ขึ้นมหาลัย ปีนี้เป็นปีที่โชคดีสุดๆเลย เพราะได้ปิดนานถึง 6 เดือน (เพื่อเปิดตาม ASEAN) เอาเป็นว่าไม่รู้จะทำอะไรกันเลยทีเดียว 55+ ผมจึงได้ชวนเพื่อนออกไปหาอะไรใหม่ๆในชีวิต  โดยตั้งใจจะข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลจากบ้านเราหน่อย และสุดท้ายก็ลงเอยที่ดินแดนจิงโจ้ "ออสเตรเลีย" ครับ

ปล. อันนี้เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกของพวกเรา ถ้าตกหล่นอะไรไปก็ขอโทษด้วยนะคับ รูปก็ไม่ค่อยจะสวยซะด้วย 5555+ 

ปล.2 ทริปนี้จริงๆไปช่วงปีที่แล้วนะคับ ดองมาข้ามปีแล้ว แต่พอดีพึ่งจะปิดเทอมเลยอยากมาแชร์คับ อิอิ

กระทู้นี้ผมตั้งใจจะเล่าว่าที่ไปมาทั้งหมด 9 คืน 8 วันนี้ ผมประทับใจอะไรบ้างในดินแดนนี้ที่เป็นทั้งทวีปและประเทศ ก็เรามาเริ่มกันเลยละกันนะคร้าบ 

8. ส่วนผสมระหว่างดินกับคอนกรีต 

สัดส่วนของเมืองที่นี่ค่อนข้างจะแบ่งชัดเจนครับ ส่วนที่เป็นเมืองก็จะเป็นตึก เป็นเมือง มีแต่สีเทาๆ อาคารสูงๆ แต่ว่าพื้นที่สีเขียวของเขานั้นก็ไม่น้อยเลยทีเดียว จะมีบริเวณที่เป็นสวนสาธารณะ ซึ่งมีไม่น้อย และแต่ละที่ก็เรียกได้ว่าขนาดใหญ่มากเลยทีเดียว เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจที่ดีมากๆ จะได้เห็นคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะมาเป็นกลุ่มครอบครัวมาทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งมาวิ่ง มานั่งเล่น มาชมบรรยากาศรอบๆ ซึ่งผมว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆ มีการจัดระเบียบและดูแลที่ดี เห็นแล้วก็สบายตาจริงๆที่ได้เห็นอะไรอย่างนี้ที่อยู่ใกล้เมือง สามารถเดินได้และต้องการจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ อิจฉาเบาๆเหมือนกันคับ 55+

ปล. ที่จริงที่เมลเบิร์นน่าจะมีพื้นที่ที่เป็นสวนสาธารณะมากกว่าซิดนีย์อีก แต่ผมว่าที่ซิดนีย์ดูเป็นอะไรที่ contrast กับตัวเมืองของมันมากกว่า เพราะเมลเบิร์นเป็นเมืองที่เล็กและเดินง่ายมาก ตัวเมืองเป็นรูปเหลี่ยมๆ แต่ถ้าเดินหลุดออกมานิดเดียวก็จะเหมือนอยู่อีกเมืองเลยแล้ว

7. รู้จักเรียนเพื่อเรียนรู้

ถ้าลองชวนหรือพาเด็กๆบ้านเราไปพิพิธภัณฑ์เมื่อไหร่ ก็คงจะโดนการทำหน้าบึ้งใส่ซะส่วนใหญ่ แต่ที่ออสเตรเลียนี้ ไม่ว่าจะเมืองไหนก็จะมี Museum และจัดงาน exibition อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเท่าที่ผมไปมาทุกๆที่ล้วนมีอะไรที่ทำให้การเดินชมนั้นไม่เคยน่าเบื่อ ที่นี่จะมีการจัดโซนต่างๆไว้อย่างสร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทุกๆมิวเซียมจะได้เห็นครอบครัวพาเด็กตัวเล็กๆมาเรียนรู้ มาวิ่งเล่น มาเปิดโลกนอกห้องเรียน ซึ่งเด็กๆเหล่านี้ก็ดูมีความสุข และสนุกกับสิ่งที่เขาได้เห็น แต่ก็ต้องยอมรับว่ามิวเซียมของเขาทำได้ดีจริงๆ และมีค่อนข้างจะครบทุกแนวเลย ทั้งประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทุกแขนง ศิลปะ และอีกมากมาย ซึ่งหลายๆอย่างที่ผมเคยเรียนในห้องเรียนก็เพิ่งเคยจะได้มาเห็นของจริงๆในมิวเซียมของที่นี่แหละครับ 

อันนี้เป็นโซน Botany ที่จำลองพืชหลายๆชนิดให้ได้เห็นว่า แถวนี้มีต้นไม้อะไรบ้าง โดยจัดเป็นโซน Outdoor ให้คนได้มาเดินชมครับ 

เด็กม.ปลายสายวิทย์ต้องได้เรียนแน่นอนเรื่องนี้ เป็นเรื่อง joint ในร่างกายคน ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆคนที่ผ่านมาก็คงงง เพราะ ชื่อมันไม่ค่อยสื่อเท่าไหร่ เช่น แบบลูกกลมในเบ้า ฯลฯ ซึ่งก็ไม่ค่อยจะเห็นภาพซักเท่าไหร่ จำล้วนครับ 55+  แต่พอมาเห็นแบบนี้ก็เก็ทขึ้น

หวังว่าพิพิธภัณฑ์บ้านเราจะพัฒนาและเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญของเด็กๆในรุ่นต่อๆไป รวมทั้งเป็นที่ที่ให้เด็กมาเห็นอะไรที่เป็นของจริงในสิ่งที่ตัวเองชอบ มีจัด exibition ที่หลากหลายและมีการประชาสัมพันธ์ที่ดี อย่างช่วงที่ที่ผมไปก็มีการจัด exibition ของ DREAMWORKS Animation พอดีที่ ACMI บริเวณ Federation square ในเมลเบิร์น ก็ค่อนข้างคึกคักครึกครื้นทีเดียว เป็นอะไรที่ผมว่าเจ๋งและคูลมากๆเลยคับ 

ปล. จริงๆในไทยก็มีมิวเซียมดีๆที่น่าสนใจและน่าจะให้ความสนใจกับเด็กได้นะคับ ที่ผมชอบมากๆเลย คือ มิวเซียมสยาม กับ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งจะออกเป็นแนวประวัติศาสตร์  แนะนำว่าว่างๆหรือวันหยุด ถ้าไม่มีโปรแกรมไปไหน ลองไปดูของดีกันได้นะครับ น่าสนับสนุน 

อันนี้จาก Powerhouse museum ที่ Sydney คร้าบ

6. บางอย่างยิ่งเก่า ยิ่งมีคุณค่า [Melbourne]

เป็นสิ่งที่ผมยอมซื้อทัวร์แบบ 1 วัน เพื่อไปใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ตามทัวร์บ้าง ซึ่งก็ได้อะไรที่คุ้มค่ากลับมาอย่างมาก ทัวร์ที่ผมไปคือ การไปนั่งรถไฟไอน้ำแบบยุคเก่า Puffing Billy ซึ่งเป็นรถไฟสายที่เจ๋งที่สุดเท่าที่ผมเคยนั่งมา บรรยากาศดีสุดๆแม้จะเปียกชื้นนิดหน่อยจากไอน้ำ ได้นั่งห้อยขาชมป่าเขารอบตัว 360 องศา ซึ่งระหว่างนั่งผมก็ได้คิดอะไรไปเรื่อยๆ เป็นโมเมนต์ที่ชิลที่สุดในทริปนี้ก็ว่าได้ เป็นอะไรที่เก่าแก่แต่ผมว่ามีคุณค่าในตัวมากๆ มีทั้งเด็ก วัยรุ่น คุณตาคุณยาย ที่เปี่ยมด้วยแววตาแห่งความสุขตลอดเส้นทางรถไฟขบวนแห่งความฝันนี้ เป็นอะไรที่ประทับใจมากๆ จะเสียดายมากๆถ้าไม่ได้มาคับ

อันนี้ระหว่างทางไปก็มีจุดแวะพักให้ทานข้าวเช้า และชมป่าๆ รวมทั้งบรรยากาศรอบๆซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มากๆ ผมว่ามีหลายๆต้นที่เป็นหลัก 100 ปีแน่ๆ

รวมทั้งเราก็ได้แวะเขตรักษาพันธุ์สัตว์ที่ปล่อยสัตว์ให้อยู่ตามธรรมชาติ แล้วก็ปล่อยให้เราเดินได้อย่างใกล้ชิด ก็ได้พบกับสัตว์ประจำท้องถิ่นมากมายทั้งโคอาล่า แทสมาเนียเดวิล อีกมากมาย และแน่นอนว่าที่เราตามหาก็คือ "จิงโจ้"

สงสัยจะเบื่อพวกเรามาถ่ายรูป หน้าตาเลยบึ้งๆ 5555+ แต่เอาจริงๆก็น่ารักดีครับ 

5. Arts is everywhere [Melbourne]

เชื่อว่าหลายๆคนคงได้ยินเรื่องความติสของเมืองเมลเบิร์น ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาว่ากันแหละครับ เมืองนี้เป็นเมืองแห่งศิลปะจริงๆ มี Art gallery อยู่หลายแห่งซึ่งสามารถเข้าชมได้ฟรี มีสถาปัตยกรรมแปลกตาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ 

ซึ่งก็มีอยู่หลายอย่างที่ผมเข้าไม่ถึง คงไม่ติสพอจะเข้าใจได้ อย่างที่เห็นข้างบนครับ 55+ แต่ที่ชอบที่สุดเลย คือ Street Arts ครับ ที่นี่มีทั้ง Graffiti มากมาย ศิลปะทั่วไปตามท้องถนน ผู้คนออกมาโชว์ของจำนวนมากทั้งเล่นดนตรี ร้องเพลง มายากล และอีกมากมายที่น่าหลงใหลมาก โดยปกติผมก็ไม่ใช่คนที่ชอบหรือว่าคลั่งไคล้กับศิลปะมาก แต่มาที่นี่ต้องยอมรับจริงๆว่าศิลปะอยู่ในทุกๆที่ ในจิตวิญญาณของทุกๆคน และเป็นอะไรที่น่าตามหาและมีสเน่ห์มากจริงๆ คงให้รูปอธิบายอะไรหลายๆอย่างดีกว่าคับ

มือกลองที่พอโชว์ปุ๊บ คนจะมายืนล้อมเป็นวงกลมเพื่อดูลีลาเด็ดของเค้า

คนนี้วาดรูปโดยใช้เพียงปากกาดำในการวาดและแรเงา และใช้สก็อตเทปเพื่อแปะผลงานของเขาให้คนได้ชม นอกจากที่เห็นเขาจะมีการวาดภาพติสๆใส่ A4 แล้วก็แจกให้กับคนที่สนใจเดินผ่านไปมาฟรีเลยครับ ผมก็ได้หยิบกลับมาเป็นที่ระลึกด้วยอันนง เจ๋งมากๆเลยครับ 

ขอพักไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะมาแชร์ประสบการณ์ต่อนะครับ

4. Friendly strangers

ชาวออสซี่ค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความ friendly ซึ่งเท่าที่มาผมว่าก็คงจะจริงครับ ผู้คนที่นี่ค่อนข้างจะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ สนุกสนาน และเป็นกันเองค่อนข้างมาก เวลาผมยืนงงๆอยู่แล้วก็เปิดแผนที่ในมือถือดูก็จะมีคนเข้ามาถามว่า ยูโอเคมั้ย? มีอะไรให้ช่วยมั้ย? อยู่หลายครั้งทีเดียว ที่ประทับใจสุดคือมีครั้งนึงผมเดินไปเรื่อยๆจนอยู่ชานเมืองตอนนั้นก็ดึกพอสมควร ก็กำลังงงๆก็มีคนปั่นจักรยานเข้ามาให้ความช่วยเหลือ รู้สึกดีมากๆเลยคับ 

อันนี้หลังจากออกจาก Melbourne museum มาแล้วก็เห็นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เล่นอยู่ด้วยกัน ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยคับ ดูน่าเล่นดีเหมือนกัน 55+ 

ถึงเด็กน้อยจะรำคาญนกอยู่ แต่พอเรายิ้มให้ เขาก็ยิ้มและทักทายเรากลับมา เคยมีญาติเล่ามาเหมือนกันว่าระวังอาจจะโดนเหยียดนะ เพราะบางคนเขาก็ไม่ชอบคนเอเชียเท่าไหร่ แต่มานี่ผมก็ไม่เจอนะครับ น่าจะโอเคขึ้นแล้ว นอกจากนี้เวลาเดินทางหรือว่าไปไหนมาไหนก็จะได้พูดคุย ได้เพื่อนใหม่อยู่เยอะทีเดียวคับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาดีๆทีเดียวที่ได้พบเจอผู้คนมากมาย ได้แลกเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างที่แปลกใหม่และน่าสนใจมากๆทีเดียว ยิ้ม 

3. กินอาหาร(เกือบ)ประจำชาติ [Melbourne]

ต้องบอกก่อนว่าเกือบทุกมื้อที่มานี้ผมกับเพื่อนไม่ค่อยจะได้เห็นความสร้างสรรค์จากอาหารของที่นี่ซักเท่าไหร่ เนื่องจากพวกเราฝากท้องกับ Subway และร้านพายกับขนมปังซะเยอะ เพื่อความประหยัดงบ 55+ เนื่องจากค่าครองชีพของที่นี่สูงทีเดียว มื้อนึงถ้ากินเป็นอาหารจานเดียวตามร้านผมว่าก็มีอย่างต่ำ 7-8 $ ถ้าตามร้านดีๆหน่อยก็ 20$ อัพครับ แต่มื้อนี้ผมก็ถือว่ามาเลี้ยงพี่สาว เนื่องจากได้ช่วยเหลือในเรื่องที่อยู่และอะไรหลายๆอย่าง โดยได้ตกลงมากันที่ร้าน Mrs.Parma’s 

ร้านนี้เป็นร้านแนวกึ่งบาร์หน่อยๆคับ พี่ได้เล่าว่าออสเตรเลียนี้ไม่ค่อยจะมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซักเท่าไหร่ มักจะเป็นการผสมผสานกันในหลายๆอย่างจากทางตะวันตกซะมากกว่า ทั้งวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม กีฬา ไลฟ์สไตล์ ก็ห่างหายจากพื้นเพเดิมคือชาวอะบอริจินไปมากแล้ว ในที่นี้อาหารมื้อนี้ก็ไม่เชิงจะเป็นอาหารประจำชาติซะทีเดียว แต่ก็เป็นเมนูฮิตของที่นี่ ก็คือ Chicken permigiana หรือที่เรียกกันว่า Chicken parma เป็นอารมณ์คล้ายๆพิซซ่าแต่เปลี่ยนแป้งเป็นเนื้อไก่คับ แต่ว่ารสชาตินี่เต็ม 10 ให้ 100 เลย ถูกปากมากๆ แล้วก็มันจะมีหลาย Topping มากขึ้นเหมือนเวลาเลือกหน้าของพิซซ่า ซึ่งก็น่ากินทุกอันเลย แต่ว่าด้วยขนาดแล้ว 2 คนจานนึงก็กำลังเกือบจะอิ่มพอดีครับ 55+

อันนี้เป็น Chicken parma แบบดั้งเดิมเลย อร่อยมากๆๆ 

อันนี้เราลองสั่งหน้าเห็ดมา ที่จริงรสชาติก็ยังคล้ายๆกันอยู่ครับ ราคาก็เท่ากัน ตกจานละ 25 $ = =" ถือว่าแพงสำหรับคนที่ยังหาตังได้น้อยมากๆอย่างผม 55+

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องอาหารแล้ว ขอพูดถึงร้านขนมนิดนึงละกัน มีร้านไอติมที่เด็ดมากอยู่ร้านนึง ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่ไอเดียของการทำและหลายๆอย่างนี่ถือว่าที่ 1 เลย ร้านนี้ชื่อว่า N2 ครับ 

ที่ชื่อ N2 extreme gelato นี้ก็คงมาจากกระบวนการทำของมัน เขาจะโชว์ขั้นตอนให้เห็นว่าเขาน่าจะใช้สารทำความเย็น ซึ่งก็จะเป็นควันๆ ตรงนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาใช้ไนโตรเจนเหลวตามชื่อร้านของเขาจริงรึเปล่านะครับ 55+ แต่เอาเป็นว่าอย่างผมสั่งไอติมรสนม เขาก็จะนำส่วนผสมที่ยังเป็นน้ำอยู่ มาใส่สารทำความเย็นนี้ แล้วก็ใช้เครื่องปั่น มาตีจนเกิดการแข็งตัวเป็นไอติม รสชาติก็อร่อย และไอเดียก็ดีมากๆเลยคับ 

ที่เด็ดอีกอย่างคือ เมนูของเขาจะมีเมนูตามฤดูเทศกาล อย่างตอนที่ผมไปเป็นช่วงบอลโลกพอดี ชื่อรสของไอติมที่เป็นไฮไลท์ช่วงนั้นก็จะเป็นชื่อนักเตะดังๆ ซึ่งตอนแรกก็งงๆว่า อ่าว แล้วมันคือรสอะไรฟระ 55+  แต่เขาก็มีเขียนอธิบายๆให้อยู่แหละครับ ก็ติสๆดีครับ ยิ้ม

ปล. ไซส์ของอาหารที่นี่จัดได้ว่าอิ่มยันลูกบวชเลยก็ว่าได้ ถือว่าไซส์ใหญ่มาก คนเอเชียอย่างเรานี่กินท้องจะแตกคับ 55+

ปล.2 เอาจริง Beef pie ก็เป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างนะครับ ถือว่าอร่อยใช้ได้เลย 

และอีกอย่างก็คงเป็น Fish & Chip แต่ไม่ค่อยประทับใจซักเท่าไหร่ อิอิ

2. ดูเพนกวินกลับบ้านแบบบ้านๆ [Melbourne]

ปกติถ้าไปทัวร์ชมเพนกวินก็คงไม่พ้นทัวร์ของ Phillip Island ซึ่งก็มีแต่เพนกวิน แต่ที่ที่ผมไปนั้น ได้รับคำแนะนำจากลูกพี่ลูกน้องของผมซึ่งกำลังไปเรียนต่ออยู่ที่นั่นพอดี พี่ได้บอกว่าให้ลองไปที่ St. Kilda ซึ่งผมก็ได้ไปตามที่พี่บอก ปรากฎว่าเป็นการส่องสัตว์ที่ local แต่เจ๋งกว่าสวนสัตว์ไหนๆที่ผมเคยไปมา !! ไม่มีกระจกกั้น ไม่มีเชือกกั้น ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ พระอาทิตย์เริ่มตกดิน เพนกวินจำนวนไม่น้อยค่อยกลับมาเข้าฝั่งโดยอยู่อาศัยตามโขดหิน น่าเสียดายที่ถ่ายรูปมายากเพราะไม่มีใครพกขาตั้งกล้องไป แล้วก็ใช้แฟลชไม่ได้ซะด้วยเพราะจะเป็นการรบกวนสิ่งมีชีวิตขนาดกำลังน่ารักนี้ รวมทั้งเวลาดูก็ต้องเงียบๆรอฟังเสียงของมัน ถ้าเผลอเสียงดังมันก็จะหลบเข้าไปในซอกหิน เป็นประสบการณ์ที่ผมว่าหาได้ยาก และน่าจดจำครั้งนึงเลยคับ

แต่กว่าจะเดินกลับได้นี่ต้องผ่านสะพานยาวๆที่เห็นด้านบน ลมแรงมากๆ หนาวแบบโคตรๆเลยคับ 55+

1. นั่งชิลที่ Opera House [Sydney]

ถ้าไม่ได้มาที่นี่ก็คงบอกได้ว่ามาไม่ถึง Sydney และมาไม่ถึง Australia เพราะถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งเลย ซึ่งพอไปดูแล้วก็ต้องบอกว่าเหมือนต้องมนต์สะกดจริงๆ อธิบายไม่ถูกทีเดียว แต่ผมรู้สึกว่าเป็นที่ที่มีเสน่ห์ และมีความชิลมากเวลาได้มาอยู่แถวนี้ 

มีเย็นวันนึงผมได้เดินจาก Opera House เลียบอ่าวเล็กๆ เพื่อไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกจาก Royal Botanic Garden ซึ่งจะเห็น background เป็น Harbour Bridge ต้องบอกว่าสวยและบรรยากาศดีมากๆ เพราะคนก็ไม่ได้เยอะมาก มีทั้งมาสวีทกัน มาตั้งกล้องรอถ่ายรูป มาเดินเล่นกัน เป็นอะไรที่น่าหลงใหล มาไม่ว่าจะกลางวัน หรือ กลางคืน ก็สวยกันไปคนละแบบ ถ้าเป็นไปได้ก็จะมาหาสถานที่แห่งนี้อีกแน่นอนคับบ ยิ้ม 

มาดูใกล้ๆจะเห็นว่า จริงๆแล้วมันมีหลายหลังนะ 55+ ผมก็เพิ่งจะรู้ตอนมาเห็นนี่แหละครับ

สัมผัสแบบใกล้ชิดสุดๆ ครั้งนึงที่ได้เคยจับหลังคา Opera house มาแล้ว 55+

จริงๆแล้ว Harbour bridge ก็เป็นสะพานที่สำคัญ และก็งดงามเหมือนกันนะคับ 

ของแถม ขากลับมากรุงเทพ ผมได้แวะ transit เครื่องที่ KL และตั้งใจเลือกเวลา transit 8 ชั่วโมง เพื่อออกมาเดินเล่นดูเมืองและหาข้าวเย็นกิน และก็ได้พบกับฝาแฝดคอนกรีตชื่อดังของโลก

ไม่รู้จะพูดว่าอะไรนอกจาก"สูง" จริงๆ 55+

ก็จบแล้วสำหรับชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ในออสเตรเลีย  9 วัน 8 คืน กับรีวิวครั้งแรกของผม 55+ รู้สึกยืดยาวมาก ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกท่านนะค้าบที่อ่านกันมาจนถึงตรงนี้ 

ฝากรูปปิดท้าย ที่ตลาดปลาและท่าเรือของ Sydney 

ขอบคุณข้อมูล จาก สมาชิกหมายเลข 1746549

อัลบั้มภาพ 43 ภาพ

อัลบั้มภาพ 43 ภาพ ของ สโลว์ไลฟ์ในถิ่นจิงโจ้ Melbourne & Sydney

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook