BACKPACK เที่ยวญี่ปุ่น...แบบฉบับสองสาวแม่ลูก ไม่มีหลง

BACKPACK เที่ยวญี่ปุ่น...แบบฉบับสองสาวแม่ลูก ไม่มีหลง

BACKPACK เที่ยวญี่ปุ่น...แบบฉบับสองสาวแม่ลูก ไม่มีหลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทริปไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ คงไม่ได้มีดีแค่ไปเที่ยวอย่างแน่นอนค่ะ เพราะทริปนี้แฝงไปด้วยความน่ารักของสองแม่ลูก ของคุณน้อง สมาชิกหมายเลข 2290728  แห่งบ้านพันทิปดอทคอม อายุเพียง 17 ปี ที่ต้องฮึด..ทำใจสู้!! เพราะประโยคเด็ดของคุณแม่ ว่า "ฉันไม่สามารถนำทางได้ อย่าฝากความหวังไว้กับฉัน " เท่านั้นแหละ ความสนุกก็มาเยือนสำหรับการพาคุณแม่ BACKPACK ไปตะลุยเที่ยวในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกค่ะ 

สวัสดีค่ะเพื่อนๆนักเที่ยว 

เกริ่นก่อนว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้นะคะผิดพลาดประการใด ขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วย 

หัวใจหัวใจหัวใจ

ตามกระทู้ค่ะ เที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และไปแบบ backpack ครั้ง กับแม่แค่2คน ! ตัวเราอายุ17นะคะบอกก่อนนน

ไปในช่วงมีนาคม 2558 ปิดเทอมแรกๆเลยค่ะเดี๋ยวจะไปเจอแต่คนไทย 555555555555 

ด้วยตัดสินใจไปกับคุณแม่แบบปุปปับ(ประมาณ2อาทิตย์ก่อนไป) เลยทำให้จองโรงแรมได้แพงหน่อย และหาโรงแรมค่อนข้างยาก ด้วยเว็บไซต์ booking.com

ตอนแรกกังวลมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพราะทุกคนบอกไปสองคนไม่กลัวหลงเหรอ เราก็แบบหูยยคิดมาก ตื่นเต้น กลัวหลง ถ้าหลงจะทำไงดี ตื่นเต้นเกินจนแม่บ่น 5555 สุดท้ายก็คิกว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด (สัจธรรมโลก) 555555555555555 

แต่พอไปแล้วกลับพบว่าสนุกมากๆๆๆๆๆๆ ไม่หลงด้วย! 

แนะนำหนังสือเล่มนี้ด้วย ! บอกทุกอย่าง แบบเปลี่ยนสายรถไฟไม่มีหลงแน่ๆอะ หนังสือช่วยชีวิตอะ 55555

โอเค งั้นมาเริ่มกันเลย!!

-----------------------------------------------------

-ออกทะเลขึ้นเครื่อง สายการบินไทย (THAIAIRSWAY) บินชั้นธุรกิจ พนักงานบริการดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าเสิร์ฟตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น ยันเครื่องลง เดินทางตอนกลางคืนถึงที่ญี่ปุ่นตอนเช้าค่ะ ตื่นมาเจอท้องฟ้าสวยพอดีเลยเก็บรูปมาฝาก กิกิ-

ตอนอยู่บนเครื่องคุณแม่เกริ่นเลยว่า ฉันไม่สามารถนำทางใด้ อย่าฝากความหวังไว้กับฉัน 

เราก็เอาวะ สู้ มาถึงขนาดนี้แล้ว 5555555555555555555555  

JAPAN DAY1

ก้าวลงเครื่องก็เดินไกลเลยค่ะ กว่าจะถึงตรวจคนเข้าเมือง ขาลาก ปอนด์ลงเทอมินอล1 นะคะ พอออกมาจากขั้นตรวจต่างๆนาๆ เราก็จะเจอทางลงไปหารถไฟฟ้าทันทีเลยค่ะ เราพักที่ UENO การเดินทางลำบากเล็กน้อย นั่งรถkeisei ไป ASAKUSA ก่อนแล้วเปลี่ยนรถเป็น metro สาย Ginza ไปยัง UENO

ค่ารถสิริรวมประมาณ 1400 เยน ต่อคนค่ะ

ค่อนข้างโชคดีที่ขึ้นรถไฟฟ้า  ที่ต้นทางเลยมีที่นั่ง สบายๆ พอไปเรื่อยๆคนเริ่มเยอะเป็นปลากะป๋องเลยค่ะ 

พอถึง สถานี UENO ออกทางออก 3 เป็นทางออกที่ใกล้ที่สุดของโรงแรม TOKYO UENO NEW IZU  HOTEL เป็นโรงแรมที่เราพักค่ะ เดินจากสถานนี เเปปเดียวถึงถามคนแถวนั้นก็ได้ค่ะ ง่ายมากๆ

บรรยากาศภายในโรงแรมค่ะ

บรรยากาศในห้องพัก (ตอนจองเตียงคู่เต็มหมดค่ะ เหลือห้องแบบนี้แค่ห้องเดียว จองช้าก็งี้แหละ T^T)

ขอบอกว่าโรงแรมนี้ดีมากๆๆ ข้างมี lawson เปิด 24ชม พนักงานน่ารักสุดๆ โรงแรมสะอาดดีมากค่ะ เชคอินบ่ายสาม แต่ฝากกระเป๋าไว้ได้ ขากลับเชคเอาท์สิบเอ็ดโมง ฝากกระเป๋าไว้ได้เหมือนกัน 

ถ้าไปครั้งหน้าก็จะไปพักที่นี่ค่ะ ประทับใจจริงๆ

(เจอคนไทยเยอะมาก 5555555555)

ฝากกระเป๋าเสร็จ เริ่มสะพายเป้เที่ยวกับคุณแม่ เที่ยวครั้งนี้เราซื้อบัตรแบบ one day pass ของ metro,toei  ราคา 1000 เยน/คน 

กางหนังสือเล่มที่ปอนด์บอกเลยค่ะ มีเส้นทางรถไฟ ที่ดูง่ายมากๆ แนะนำเลยว่าต้องมี หรือใครไม่อยากซี้อก็หาดูในเว็บเลยๆ

อันนี้เป็นค่ารถของ JR นะคะ

-----------------

นั่งรถไฟไต้ดินต้อกแต้กไปโผล่ที่ 'ชินจูกุ' เป็นที่แรกค่ะ 

เพราะเราจะไปซื้อของที่นั้น แล้วก็ได้ไปกินขนมอันนี้ที่เมืองไทยมันต่อแถวยาวมากๆๆๆๆๆ!! แต่ที่ญี่ปุ่นนี้เหมือนผีจะหลอกพนักงาน ถถถถถถถถถถ

ไม่ต้องรอคิวเลย โป๊ะปะ ซื้อ 555555  ราคาประมาน 260 เยน ต่อชิ้นนะ ถ้าจำไม่ผิด

ต่อมาก็เดินเที่ยวแถวๆนั้นค่ะ ข้ามไปมา 

(สำหรับคนที่จะไปซื้อ บัตรที่เคาท์เตอร์ odakyu นะคะปอนด์แนะนำหาทางออก west exist ของ JR ไว้ค่ะแล้วขึ้นบันไดเลื่อนเคาท์เตอร์จะอยู่ซ้ายมือ ถ้าหาไม่เจอถาม information เลยค่ะ มีแบบให้บริการภาษา English ด้วย)

แล้วก็ไปร้าน ดองกี้ หาไม่ยากนะ แพนกวิ้นสูงๆใหญ่ๆ ที่ต้องข้ามถนนไปนิดนึง (ขออภัยมิได้ภ่ายรูปมา TT)

แล้วตอนนั้นคุณแม่ก็เกิดอยากกินราเมงข้อสอบ หรือ ichiran ramen เหลือเกิน แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ! เปิดกูเกิ้ลแมพก็หาไม่เจอ จนเจอคนญี่ปุ่นเป็นผู้หญิงค่ะ น่ารักมากๆๆๆ 

เราก็ถามนาง นางก็ไม่รอช้าค่ะ นางบอกตามมาเลยเดี๋ยวจะพาไป 

หูยยยย สุดยอดมากอะดีใจสุดๆ T_T นางเดินพาไปส่งถึงที่จริงๆค่ะ แล้วไม่ไกลด้วย น่ารักมากประทับใจสุดๆ 

นี่ค่ะหน้าตาร้าน มาถึงยากนัก คุณแม่เลยขอเซลฟี่สักหน่อย

เข้ามานี้รอคิวนานมากๆ แต่พอได้กินก็ฟินน สมการรอคอย

พอทานเสร็จก็ เดินshop กันนิดหน่อย 

เราเดินดูเครื่องสำอางค์ตามร้านขายยาของที่นู้นะคะ จะมีพวก sundrug mustumoto แล้วก็อีกหลายๆร้านค่ะ ส่วนใหญ่จะ tax freeนะคะถ้าซื้อมากกว่า 5,000 เยนขึ้นไปอะไรประมานนั้นค่ะ  เฉลี่ยสองแม่ลูกเข้าร้านหนึ่งไม่ต่ำกว่าครึ่งชม. เดินดูเฉยๆนะคะเข้าบางร้านก็ไม่ได้อะไรเลย  5555555 มากันสองคนนี่คะ สบายมากๆๆๆ ไม่ต้องรีบไปไหน 

-----------------

ต่อมาเราก็นั้งรถไฟสาย metro ไป 'ชิบูย่า' ค่ะ 

ละไปเซลฟี่กับหมาฮาชิสักหน่อย 

นี้บรรยากาศค่ะ

แล้วเดินขึ้นไปกินกาแฟสตาร์บัค ที่เค้าบอกว่ายอดขายดีที่สุดในโลกไม่รู้จริงมั้ย แต่ที่รู้ๆคือมันไม่มีที่นั่งเลย

เสร็จแล้วสองแม่ลูกก็เดิน shop ต่อค่ะ ถ้าเทียบร้านพวกเครื่องสำอางค์เยอะหรือน้อยกว่ากันเราว่า ที่ ชินจูกุ ร้านพวก drug store เยอะกว่านะคะ 

ส่วนที่นี่จะเน้นไปทางของแบรนด์เนม  พวกร้านเสื้อผ้า ห้าง ชิบูย่า 109 อะไรอย่างนี้ค่ะ 

และที่นี้ต้องไป LOFT นะคะ มีหลายชั้นมากๆ ส่วนเครื่องเขียนก็ถูกว่าที่ไทยโขค่ะ เราเลยได้พวกสีอะไรมาเยอะเหมือนกัน 

เดินเสร็จเสร็จแล้ว ออกมากินไก่ทอดร้านหนึ่งอร่อยดี ตอนแรกซื้อแค่อันเล็กแต่อร่อยจนต้องไปซื้อเพิ่ม บีบซอสอะไรตามใจตัวเองหมดเลย ฟินยาวๆ

เดินต่อนิดหน่อยก็มืดแล้วค่ะ ตอนแรกว่าจะไป ฮาราจูกุ ต่อแต่ก็ต้องพับไว้เพราะค่ำแล้ว เลยกลับUENO ด้วยรถไฟ Metro ginza line แล้วไปเดินดูของตรงร้านใต้ดินที่สถานณีต่อนิดหน่อย

ฝากท้องมื้อเย็นที่ lawson เป็นข้าวปั้นกับพุดดิ้งแล้วก็ชาเย็น ซื้อขึ้นมากินบนห้องค่ะชิลดี 5555555 

จบแล้วกับวันแรก ดูไปน้อยนะแต่เหนื่อยสุดๆๆๆ แต่ก็สนุกมากๆ เบยยย 

วันต่อไปดูข้างล่างเลยค่ะ

JAPAN DAY 2

วันนี้เรากับแม่วางแผนจะไปที่ hakone ไปดูภูเขาไฟ ฟูจิๆๆๆๆ มาทั้งทีไม่ไปดูเหมือนไม่ถึง 55555555555 

เนื่องจากเมื่อวานเราไปที่ชินจูกุไปซื้อตั๋วมาก่อนแล้ว แถมเจอพี่คนไทยด้วยแนะนำอย่างดีพร้อมกับให้ guide มาหนึ่งฉบับ ที่เป็นภาษาไทยเลยเที่ยวง่ายมากๆ 

ตั๋วที่ซื้อเป็น hakone free pass ราคา 5,140 เยน ต่อคนนะคะ รวมค่าเดินทางทั้งหมดตลอดทั้งtrip เป็นแบบ 2 day แต่สามารถไปแบบไปเช้าเย็นกลับได้ (มีโบชัวร์ภาษาไทยให้ด้วย หยิบเลยค่ะที่เคาท์เตอร์)

เริ่มจากนั่ง JR yamanote line ไปยัง shinjuku จาก ueno อันนี้เราเสียค่านั่งไปเองนะคะประมาน 200 เยน 

พอถึงชินจูกุ เราก็ไปขึ้นรถไฟค่ะ แต่ในที่นี่ปอนด์ขึ้น romance car เลยต้องเสียเพิ่มประมาณ870 เยน ส่วนที่นั่งต้องจองนะคะ จองที่เคาท์เตอร์ที่ซื้อตั๋ว hakone เลยก็ได้ค่ะ หรือจะกดตู้ในสถานีก็ได้ 

แต่ถ้านั่งรถไฟธรรมดา นั่งฟรีนะคะ เพราะเรามีบัตร hakone free pass แล้ว 

ส่วน romance car ก็จะเพิ่มความสดวกสบายกว่า แล้วถึงเร็วกว่า ใช้เวลาประมาน 1 ชั่วโมงค่ะ หลับไปชิลๆ ที่นั่งสบาย มีบริการขายอาหารด้วย 

รถไฟสุดสายที่ hakone yumoto เราก็ลงสถานีนี่แหละค่ะ 

แล้ววไปต่อรถไฟสาย ฮากาโน่โทซัง ไป 'โกระ' ที่ชานชลา ตรงข้ามเลยค่ะรถสีแดงๆ  ลองถามพนักงานดูก็ได้ค่ะว่ารถนี้ไป โกระรึเปล่า 

เราก็นั่งไปฟรีนะคะไม่ต้องเสียตัง เพราะเรามีบัตร ฮาโกเน่แบ้วว 

พอถึงโกระ เราก็ไปต่อ cable car ไป สถานีโซอุนซังเพื่อที่จะไปขึ้น rope way หรือกระเช้าลอยฟ้าเลยค่ะ 

เพียงแค่เราโชว์บัตร hakone free pass เราก็จะขึ้นทั้งหมดที่ว่ามาฟรีหมดเลยยยยยย 

ให้เรานั่งกระเช้าลอยฟ้ามาที่ สถานี โอวาคุนาดิเพื่อที่จะมากินไข่ดำดำดำดำ

แต่ตอนเราไปโชคร้ายมากกกกก ร้องไห้ร้องไห้ร้องไห้

ท้องฟ้าปิด เมฆหมอกเต็มไปหมด ลมแรงมากๆด้วยตอนขึ้นกระเช้าลอยฟ้า ตอนนั่งนี้เสียวมากๆ พุธโท ธัมโม สังโค 

หน้าพ่อแม่นี้ลอยมาหมด (เว่อร์ๆ) 55555555555555 

พอถึงที่หมายก็ ยังออกจากตัวอาคารไม่ได้ค่ะ เพราะลมแรงมาก หมอกจัดมองไม่เห็นทาง 

รออยู่สักพักใหญ่ๆ อากาศเริ่มดี หมอกเริ่มจาง แต่ก็ยังมองอะไรไม่ค่อยเห็น และที่สำคัญไม่เห็นฟูจิอะแกร๊ TTOTT 

สุดท้ายก็ต้องกินไข่ดำที่ร้านในอาคาร และเดินไปกิน ราเมงเส้นดำตรงที่ร้านแถวๆนั้นเหมือนกัน ลมแรงมากๆ คือตัวแทบปลิวจริงๆ หนาวจนคุณแม่บ่นปวดตัวเลยทีเดียว 

หลังจากนั้นก็กลับลงมากันแบบเฟลๆค่ะ

นั่ง rope way กลับมาที่ ท่าเรือ โทเง็งได กระเช้าลอยฟ้าขากลับนี้จะจอดสองสถานีนะคะ สถานีแรกไม่ลง เราลงสถานีที่สองค่ะ 

จากนั้นก็นั่งเรือชมทะเลสาบอาชิค่ะ แน่นอนว่าฟรี แต่ถ้าต้องการแบบเฟิสคลาส เพิ่มอีก 200 เยน ซื้อในเรือก็ได้ค่ะ 

ถ้าใครอยากถ่ายภาพสวยๆก็แนะนำซื้อเพิ่มนิดหน่อยก็คุ้มดี 

เอาภาพที่เราถ่ายเองมาอวดค่ะ 

ตอนที่นั่งเรือถือว่าโชคดีที่ฟ้าเปิดหมดแล้ว ทำให้เห็นวิวดีขึ้น พอลงจากเรือก็เห็นฟูจิลิปๆเลยค่ะ เสียดายมาก อยากจะกลับขึ้นไปอีกรอบ T^T 

นั่งเรื่อมาลงที่ท่าเรือ ฮาโกเน่มาจิ เดินเล่นแถวๆนั้นสักพัก แล้วก็นั่งรถบัส กลับสถานนี ฮาโกเน่ยูโมโตะค่ะ 

ซื้อสตอเบอรี่ในราคา 100 กว่าบาท ได้ลูกใหญ่แถมหวานสุดๆด้วยย 

เสร็จแล้วเราก็ลงความเห็นกับแม่ว่า ต้องไปแช่ออนเซน! เราเลยไปขึ้นรถเวียนของทางออนเซนที่สถานี(ฟรี) ขึ้นไปก็ไปเรื่อยๆค่ะ ถึงที่หมายละเขาจะบอกเรา 

หรือสังเกตสัญลักษณ์ออนเซนก็ได้ค่ะ 

พอถึงออนเซนก็เข้าไปเขาจะให้เราเลือกว่าจะแช่แบบไหน แบบรวมหรือส่วนตัว เราก็เลือกส่วนตัว(กลัวทำใจลงไม่ได้ เขิน 555555555) ประมาณ 3000 กว่าเยน/ห้อง 

นี่เลย บรรยากาศของออนเซนส่วนตัว 

แช่เสร็จก็มีแรงฮึดค่ะ กลับมาสถานีฮาโกเน่ยูโมโตะ แล้วขึ้น romance car กลับ ชินจูกุทันที 

มีแรงเดินต่อค่ะ สองแม่ลูกก็เดินเล่นที่ชินจูกุ แล้วฝากท้องที่ร้าน coco icibanya มีเมนูภาษาไทยด้วยชอบสุด 5555555

บรรยากาศชินจูกุ ตอนกลางคืนค่ะ

ทานเสร็จก็กลับที่พัก แถมรูปวิวที่พักจากทางหน้าต่างด้วยค่ะะ

จบแล้ววันที่สอง เดี๋ยวมาต่อนะคะปวดหลังสุดๆ 55555555555555555555555

มาต่อๆๆๆ 

JAPAN DAY 3

วันที่สามตกลงกับคุณแม่ว่าจะไป ฮาราจุ หลังจากที่วันแรกไม่ได้ไป 

ข้าวช้าวก็จาก lawson เหมือนเดิม 5555555555

เราก็นั่งรถ metro ไปเลยค่ะ ลงที่  ฮาราจูกุ ก็ออกมาเดินถนน ทาเคชิดะ ที่เป็นย่าวัยรุ่น ถนนสายเล็กๆสองข้างทางมีแต่ร้านขายของน่ารักๆค่ะ 

แต่ ปรากฎว่า!! สองแม่ลูกมาเช้าเกินไป! แทบไม่มีคน ร้านค้าก็ยังไม่เปิด TTOTT ร้านทั้งหลายเปิดประมาณ 10 โมงกว่าๆ

ตึงโป๊ะเลยค่ะ เลยต้องไปเดินเล่นแถวๆสวนสาธารณะก่อน แล้วมานั้งรอเวลาที่ starbuck ไปเพลินๆๆ

พอร้านเริ่มเปิดเราก็ไปกิรเครปก่อนอย่างแรกค่ะ ร้าน marion crape นะคะอยู่ในถนนเลยค่ะหาง่ายร้านสีแดงๆ 

ข้อดีของการไปเช้าคือไม่ต้องต่อแถวเลยยยย พอซื้อเสร็จแบบคนมาต่อแถวเยอะเราก็รู้สึกวินจริงๆ 555555555 

ร้านขายเสื้อผ้าวัยรุ่นน่ารักเยอะมากๆ แต่ราคาค่อนข้างแพงกว่าที่ไทย แต่มีอย่างหนึ่งที่ถูกกว่าคือรองเท้าค่ะ แบบถูกมากๆ ยิ่งมันเซลล์นะ แถมดูดีด้วยวัยรุ่นญี่ปุ่นใส่แบบนี้กันเยอะสุดๆ แต่แม่ถาม ซื้อเอาไปใส่ที่ไทยไม่กลัวเข้ามองว่าบ้าเหรอ 

ก็จริงนะคะ แบบคนญี่ปุ่นเขาใส่กันเป็นธรรมชาติแต่ถ้าเอาไปใส่ที่ไทยคงทำใจยากพอควร  555555555 

พอคนเริ่มเยอะเราก็ไปเดินพวก daiso ที่นู้นค่ะ ราคาประมาณ 108 เยนรวมภาษีนะ ได้ของมาเยอะมากๆ แนะนำซื้อพวกแทบติดตาสองชั้นค่ะ ส่วนของที่เราว่าต้องซื้อเมื่อไปถึงญี่ปุ่นเราจะลงแยกไว้ให้นะคะ >____<

เดินมาเรื่อยๆเจอร้าน tax free อีกแล้วค่ะ mustumoto นั้นเอง หยิบเลยที่นี้ได้ของฝากให้เพื่อนๆแล้วววว

ขอบอกว่าแบรนเนมที่ญี่ปุ่นค่อนข้างถูกกว่าที่ไทยมากๆ ถ้าอยากได้ก็ไม่ควรพลาดค่ะ และสินค้าของ istudio ก็ถูกกว่าเราได้ของให้พี่ด้วยราคาครึ่งต่อครึ่งที่ไทยเลย 

เสร็จแล้วปอนด์ก็นั่งรถไฟกลับมา UENO เพื่อเก็บของที่โรงแรมค่ะ เพราซื้อของมาเยอะมากๆ หนักสุดๆ555555555555 คุณแม่บ่นปวดขาไม่หยุดเลย ยิ้มยิ้ม

------------------

เป้าหมายต่อไปคือ  อาซากุซะ วัดเซนโซจิ หรือวัดโคมแดงนั้นเองๆๆๆๆ เดินหาไม่ยากเลยแถวนั้นมีคนพร้อมให้เราถามเสมอ (พร้อมจนเรากลัว55555555) 

เมื่อถึงอาซากุซะแล้ว ก่อนจะเข้าวัดขอไปกินก่อนค่ะ เราไปกินข้าวหน้าปาไหลกับแม่ เขาบอกมาว่าอร่อยสุดๆ ร้านเกือบหายากแล้วค่ะ 

วิธีไป ตั้งต้นจากหน้าวันนะค่ะ แล้วเดินข้ามถนน หันหน้าเข้าหาวัด แล้วเดินไปทางซ้ายมือขชองเราค่ะ เดินมาเรื่อยๆจะเจอ ร้านsuper market เล็กๆ ป้ายสีชมพูๆแดงๆค่ะ ชื่อร้าน OZEKI มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิด 

พอเจอแล้วเราก็เลี้ยวเข้าซอยทันทีเบย เดินตรงมาเรื่อยๆๆๆๆๆๆ เกือบบบสุดซอย แอบไกล 555555 

ก็จะเจอร้าน เขียวๆ แบบนี้เบยยย 

ร้านนี้เปิดปิดเป็นเวลานะคะ ตอนปอนด์ไปเกือบอดกินเพราะร้านจะปิดแล้ว TT แต่ว่าเจ้าของร้านก็ยังใจดี ให้กินได้ แถมยังทักทายกับเราเป็นภาษาไทยด้วยย 

อร่อยลืมโลกค่ะ ข้าวหน้าปลาไหล เนื้อปลานี้นุ่มละมุนลิ้น หวานหอมสุดๆ  ราคาก็พอๆกับที่ไทย ค่ะ เซตละ 800 บาท(แอบแพงนึกว่าจะถูกกว่าที่ไทย ร้องไห้ร้องไห้) เป็นเซตเล็กนะคะ ทานกับคุณแม่คนละเซต 

อร่อยสมคำล่ำลือค่ะ ใครสาวกข้าวหน้าปลาไหลห้ามพลาดดดดดดด 

ระหว่างทางเดินกลับไปที่วัดได้เห็นวิวสวยๆ พร้อมกับ tokyo sky tree ด้วยค่ะ เก็บรูปมาฝากๆ

อากาศตอนเราไปถือว่าดีมากๆเลย แบบไม่หนาวไปไม่ร้อนไป แต่ถ้ามีลมแรงๆมาสักหวืดก็ขาสั่นเหมือนกันนะคะ 5555555555 

พอถึงวัดก็ถ่ายรูปกับโคมแดงตามระเบียบค่ะ 

เสร็จแล้วเราก็เดินเข้าวัดโลด พอเดินผ่านประตูวัดเข้ามก็จะเจอกับถนนนากามิเสะ ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยของกิน กิน  กิน และกิน  555555555 

แบบอิ่มพุงกางมาจากข้าวหน้าปลาไหล ก็ต้องมาเจอของกินอีก 

เราก็เดินมาเรื่อยๆ ส่วนของกินที่อยากลองคือ เมล่อนปัง แต่เมื่อดูแถวแล้ว เราก็แทบทรุดค่ะหางยาวมากกกกกก ต่อแถวไม่ไหว เลยกันมากิน 

'ซาลาเปาทอด' รสชาเขียวแทน ขอบอกว่าอร่อยอีกแล้ว 555555555555 ร้านอยู่ก่อนถึงตัววัดเลยค่ะ เป็นร้าท้ายๆของถนน

ดูร้านที่คนเยอะๆไว้ค่ะ 555

โอเคต่อมาเราก็เข้าวัด ไปที่ล้างมือตาปกติ อะไรซ้ายๆขวาๆก่อนนี้แหละอันตัวเราก็ลืมไปแล้ว 

และนี้เป็นบรรยากาศของที่วัดค่ะ

จากที่วัดมองเห็น sky tree ด้วยยย 

(แอบบอกที่โรงแรมตอนกลางคืนก็มองเห็น sky tree ค่ะเปิดไปสวยมากๆ อารมณ์เหมือนโคนันเลย>นังนี้ติดการ์ตูน55555555 )

ตอนแรกว่าจะเดินไปsky tree ด้วยแค่คุณแม่ขี้เกียจเดินปวดขา เราก็เลย ถ่ายภาพแถวนั้นแล้วก็กลับมา UENO ค่ะ

---------------------------------------

เรากลับมาเที่ยวที่ UENO(อูเอโนะ) กันค่ะ 

เริ่มจากสวนสาธารณะอูเอโนะ บรรยากาศดีมากๆ ซากูระเป็นใจบานสะพรั่งสวยงาม(ประชด -^-) 

อย่างที่ว่าเราไป ต้นมีนา ซากุระทั้งสวนบานอยู่ไม่ถึง 3 ต้น โอ้ยน้ำตาจิไหล 55555555555555555 ยังดีที่มันบานเอางี้ละกัน 

พอเดินชมสวนเสร็จเราก็ไป เดินแถวๆห้าง OIOI กันสักพัก แล้วเลือกที่จะไปตึกม่วง 

ถามทางคนแถวนั้นเอาค่ะ เขาก็บอกมาแล้วบอกว่าไกลมากๆ เราก็แบบจะไกลแค่ไหนกันเชียว 

สรุปมันไกลมากจากตรงห้าง OIOI เดินไปขาแทบลากกกกก คือห่างกันหนึ่งสถาณีรถไฟใต้ดินอะคะ 55555555555555555555 

เริ่มเดินดูขนม ของฝากทั้งหลาย ตึกม่วงมีหลายตึกนะคะเราเลือกไปเดินตึกสุภาพสตรี ไปซื้อพวกเครื่องสำอางค์ คุณแม่ได้น้ำหอมมาด้วยราคาค่อนข้างถูกเลยยย 

พอshop เสร็จก็ดึกแล้วค่ะ เลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินกลับ (พึ่งรู้ว่ามันไปได้55555555)

ถึงที่พักก็แทบจะดิ้นตาย เมื่อยสุดๆ มีเรื่องให้คิดก่อนวันกลับคือ ซื้อของมาเยอะมากปวดหัวนั่งแพคของไปตามระเบียบ 555555555555

จบแล้วค่าาา เดี๋ยวมาต่ออีกวันนะคะะ ขอเวลาพักครึ่งชั่วโมง 5555555555

มาต่อแบ้วววววววววววว  ขอโทษทีค่ะพักเพลิน แหะๆ >____<

JAPAN DAY 4

และแล้ววันที่ไม่อยากให้มาถึงก็มา วันกลับนั้นเองค่ะ ฮืออ ตกหลุมรักที่นี้มากๆ และยังไม่ได้ไปอีกหลายที่แน่นอนว่ายังไงต้องกลับไปอีกรอบแน่ๆ 

เครื่องบินออก 5 โมงเย็น ยังมีเวลาเที่ยวอีกครึ่งวัน  เราก็เลยว่าจะไปแถวย่านคนเกาหลีในญี่ปุ่น แต่สุดท้าย ก็ทนไม่ไหวค่ะ55555555555 อยากกินซูชิมากกว่า เลยตกลงจะไปแถวๆโรงแรม คือ UENO นั้งเอง 

สองสาวก็เลยพากันไปเดินตลาด อะเมโยโกะ ค่ะ ระหว่างเดินข้ามสะพานไปยังที่หมาย อากาศตอนเช้าๆนี้สดชื่นแล้วก็ หนาวมากๆเลยทีเดียว 5555555555

ตอนเช้าๆตลาดอะเมคล้ายๆกับตลาดปลาเลย แบบปลาสดๆเยอะแยะ ผลไม้สดๆก็เยอะ 

ปลาสดดดดดๆๆๆ

และเราก็เจอร้านโตเกียวบานาน่าของแท้ค่ะ ชุบchocolate และ เมล่อนเสียบไม้มาให้ที่นึง อร่อยสุดๆ 

เดินเช้าๆก็ได้ฟิลดีค่ะ ของกินเยอะดี มีพวก outlet สินค้า รองเท้าไรงี้ด้วยค่ะ 

และก็ได้ส่งท้ายกับร้าน mustumoto ด้วยย 

เราเดินออกจากตลาดมา แล้วมุ่งหน้าไปหาร้าน ซูชิคำโต ที่อยู่ถัดไปอีกซอยหนึ่ง หน้าซอยมีร้านของเล่น การ์ตูน อยู่ใหญ่ๆเลย เราก็เลี้ยวเข้าไป

เดินมาสักพักก็จะเจอร้าน ซูชิ หน้าตาแบบนี้ค่ะ (ร้านเปิดประมาน 10.30)

เข้าร้านแบบไม่ลังเล มาญี่ปุ่นไม่ได้กินซูชิเหมือนมาไม่ถึง 5555555555 

เข้าไปเจอคนไทยพอดีค่ะ ยิ้มกริ่มเลย 555555 

ร้านนี้เป็นแบบสายพานเชฟจะปั้นมา ส่งทางสายพาน แต่ถ้าเราอยากกินอะไรเราก็สั่งเชฟได้โดยตรงค่ะ 

ประเด็นอยู่ตรงที่ ซูชิมันคำใหญ่ มากกกกกกกกกกก และเชฟน่ารักมากกกกกกก(ใช่เหรอ??) 5555555555 

สังเกตุซูชิตรงหน้าเชฟนะคะ ชิ้นมันใหญ่มากจริงๆ 55555 ราคาก็ตามสีจานค่ะ อยู่ที่ 130-800 เยน 

ปลาไหลอีกแล้ว เรานี้ทาสปลาไหลจริมๆ 5555555555

ชิ้นใหญ่จริงๆนะ 555555 

แล้วแบบที่ประทับใจ นอกจากความอร่อยแล้ว คือทางร้านให้เจ้านี้มาด้วยยย 

เค้าบอกว่าเป็นการ welcome to Japan น่ารักมั้ยหละแกรรรรร 

ที่สำคัญคืออร่อยและฟรีค่ะ

สริรวมกินกันสองคนประมาน 4000 กว่าเยน แต่อร่อย คุ้มราคาเจรงๆ

พอทานเสร็จโบกมือบ้ายบายเชฟ เราก็ออกมาเดินเล่นต่อสักพัก แล้วแวะเข้าร้านของของเล่น 

กดกาจัมปองเสียไปหลายอยู่ ของข้างในน่ารักมากๆ โดยเฉพาะตรงชั้นใต้ดินค่ะ แบบcuteสุดๆ 

จมอยู่ในกองคุมะนานมาก จนแบบลืมไปเลยว่าต้องกลับประเทศ 555555555 

กลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม แล้วลากมายังสถาณีรถไฟ keisei ที่ ueno มันเชื่อมกับทางใต้ดินเลยเดินมาง่ายหน่อย 

ขากลับไปสนามบินนี่เลือกนั่งแบบ keisei skyliner ตรงมายังสนามบิน ที่นั่งสบายกว่าขามามากๆๆๆๆๆ (ขามาไม่มีเที่ยวรถเลยค่ะรอเป็นชั่วโมงไม่ไหวๆ) มีที่เก็บกระเป๋าพร้อม สองแม่ลูกเลยตรงไปยัง สนามบินนาริตะ นั่งสบายๆเกือบสี่สิบนาที พอถึงเทอมินอลก็รอเวลาเชคอินเปิด 

ขากลับได้นั่ง แอร์บัส 380 ของการบินไทย(บีซีคลาส)เหมือนเดิมค่ะ บริการสบายใจเหมือนเดิม 

ส่วนที่นั่งสบายกว่าขามา เพราะนอนยาวได้แบบเตียงนอนเลยทีเดียว 

ถึงเมืองไทยประมาณเที่ยงคืน ถึงจะอยากอยู่ที่นู้นต่อ แต่ยังไงที่บ้านเราก็สบายใจที่สุดอยู่แล้ววววววว 

ขอบอกเลยว่า เป็นครั้งแรกที่ไปแบ็คเพ็ค และไปญี่ปุ่น ปกติทัวร์ตัลหลอดดด 

สนุก ตื่นเต้น ได้หลายประสปการณ์มากๆค่ะ 

--------------------------------------

สรุปทริปของปอนด์คร่าวๆ ในเวลา 5 วัน 3 คืนนะคะ

วันที่หนึ่ง >> ลงเครื่อง >ไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรมย่าน UENO >ไป Shinjuku >ไป Shibuya >กลับที่พัก 

วันที่สอง >> ไป hakone >แช่ออนเซ็น > กลับมา Shinjuku >กลับที่พัก 

วันที่สาม >>ไป Harajuku > ไปAsakusa วันเซนโซจิ >มา Ueno park และ ตึกม่วง

วันที่สี่ >>ตลาดอะเมโยโกะ>เชคเอาท์โรงแรม >เดินทางกลับเมืองไทย 

แนะนำคนที่กำลังจะไป ให้จองโรงแรมไว้เนิ่นๆ ส่วนช่วงปิดเทอมควรเลี่ยงค่ะ เพราะไปเจอแต่คนไทยมันไม่ค่อยได้ฟิล 55555555

อีกอย่าง แนะนำการจัดทริปนะคะ อย่าอัดหลายๆที่ในวันเดียวค่ะ ไม่งั้นคุณจะไม่มีความสุขในการเดินshop เพราะมัวแต่กังวลเวลานู้นนี่ ไม่ต่างจากไปทัวร์เท่าไร สักสองถึงสามที่ในวันเดียวก็แน่นแล้วววว 

RECOMMEND สิ่งที่ต้องไปกินนะคะ 

-ราเม็งข้อสอบ ichiran ramen(มีหลายสาขา)

-ไก่ทอดที่ shibuya 

-ไข่ดำ ที่ hakone (เขาบอกกินหนึ่งฟองอายุยืน 7 ปี)

-ข้าวหน้าปลาไหลที่ asakusa

-ซาลาเปาทอดที่วัดเซนโซจิ

- marion crape ที่ ฮาราจูกุ 

-ซูชิคำโตที่ UENO

แฮ่ เป็นไงบ้างกับการรีวิว ถ้าผิดตรงไหนขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ ติชมไดตามสบาย หวังว่าถ้าได้ไปอีก จะได้มาเขียนรีวิวการท่องเที่ยวอีกนะคะ เพื่อนๆ คนไหนสงสัยตรงไหนหลังไมค์มาถามได้ตลอดค่ะ หรือจะมาถามใน ถ้าแจกเฟสไม่รู้มีคนต้องการมั้ย แต่ถามได้ตลอดค่ะ เรายินดีตอบ 

สุดท้ายนี้ขอให้เพื่อนๆทุกๆคนมีความสุขกับการท่องเที่ยวน้าาาาาาาาาาา 

ขอบคุณข้อมูล จาก สมาชิกหมายเลข 2290728 


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook