แบกเป้เที่ยว "ม่อนปุยหมอก" แบบชิคๆ ให้คนอิจฉาทั้งเมือง

แบกเป้เที่ยว "ม่อนปุยหมอก" แบบชิคๆ ให้คนอิจฉาทั้งเมือง

แบกเป้เที่ยว "ม่อนปุยหมอก" แบบชิคๆ ให้คนอิจฉาทั้งเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แบกเป้เที่ยวทั้งที ต้องเอาให้สุด ดั่งเช่นคุณ 1452209  แห่งบ้าน pantip ที่ลงทุนเดินทางดุ่มๆ ไปยังเส้นทางที่คนยังไม่ค่อยจะรู้จัก อย่าง "ม่อนปุยหมอก" ที่มีความสวยที่เรียกว่าไม่ธรรมดา ใครที่ชอบสไตล์ท่องเที่ยวสไตล์ป่าเขา ลำเนา ไพร มีดอกหญ้าเยอะๆและไม่กลัวเหนื่อยน่าจะชื่นชอบไม่ใช่น้อยค่ะ 

อยากไปที่เที่ยวที่ยังไม่ฮิต กระทู้นี้มีคำตอบให้คุณนะคร้าบบบบหากคุณเป็นคนนึงที่อยากไปเที่ยวช่วงไฮซีซั่น แต่ไม่อยากเบียดเสียดคนเยอะแยะให้ปวดหัวที่สำคัญไม่อยากอัพรูปลงไอจีแล้วเพื่อนบอก 'กุไปมาแล้ว' หรือเช็คอินที่เดียวติดกันถี่ๆเหมือนเพื่อนในเฟส ไรงี้ (555555555) แนะนำที่นี่เลยครับ...ม่อน ปุย หมอก หมอก หมอก หมอก (เสียงแอคโค่) 

เห็นหน้าหนาวทีไร คนไทยแห่ไปเเตะไอเย็นหมอกหนา สัมผัสอากาศหนาวกันเยอะแยะ ไอ้เราก็อยากไปเหมือนกัน แต่อยากไปแบบไม่วุ่นวาย คนไม่เยอะ ไม่แย่งกิน ไม่แย่งเที่ยว เราเลยเสาะหาที่เที่ยว ที่ไปลำบากๆ เดินทางยากๆเข้าไว้ เพราะนั่นหมายถึงว่าจะไม่ค่อยมีใครเขาไปกันและที่ที่เลือกจิ้มไปนั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติแม่เมย อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก นั่นเอ๊งงงงงงงงง สำหรับใครที่งงชื่อกระทู้ว่า มันจะ 'นอกคอก' อะไรของมัน อย่ารอช้าดีกว่าครับ เราจะพาท่านผู้ชมทุกท่านไปหาคำตอบกันตอนนี้เลยคร้าบบ /// ตัดเบรคเข้าโฆษณา 

(หมายเหตุ เพื่ออรรถรสควรอ่านด้วยเสียงพิธีกรรายการวัยรุ่นที่คึกคักตลอดเวลา)

สวัสดีรอบกระทู้อย่างเป็นทางการนะครับ ว่างๆเชิญไปด่อมๆมองๆดูเพจเราพลางๆนะ https://www.facebook.com/wasthereonce กระทู้นี้รูปเยอะ และยาว ถ้าเบื่อๆก็ดูแต่รูปก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านก็ได้นะครับ 55555555555555555 

ปล.ไม่ต้องบอกว่าชื่อกระทู้เสี่ยวนะ..มันเสี่ยวจริงๆ คิดชื่อกระทู้แบบฮิปๆไม่ออกเลย

เราเลือกไป จ.ตาก เพราะว่าชื่อไม่คุ้นปาก..ฟังเหตุผลแล้วดูไร้อนาคต - -* แต่คิดงี้จริงๆเราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับจังหวัดนี้ ขนาดอยู่ภาคไหนยังไม่รู้เลย (ความรู้ภูมิศาสตร์ประเทศชาติหายไปไหนหมด)เลือก จังหวัดได้ก็หาที่เที่ยวที่ชอบ อยากไปเดินป่าแบบพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์ ก็จัดไปครับ เราหาข้อมูลในเนทเลือกที่ที่มีข้อมูลในเนทน้อยที่สุด อ่านไม่ผิดหรอก เราเลือกแบบนี้จริงๆ  (สงสัยเคยฝันว่าตัวเองเป็นนักสำรวจโลกค้นพบแผ่นดินใหม่มั้ง)

เราวิ่งหาตั๋วตาลีตาเหลือกกับพี่ที่อยากไปตกระกำลำบากด้วยกันในครั้งนี้ ตกลงปลงใจกับเชิดชัยทัวร์เพราะเวลาออกเร็วกว่า บขส. (เราจะไม่โกรธหรอกนะที่สุดท้ายรถออกพร้อมกัน ..หึ ไม่โกรธจริงจริ๊งง)

ปล.ที่เห็นคนยืนมุงนี่เขาดูบอลไทยนัดชิงกันนะ เปล่าประท้วงใดๆทั้งสิ้น

เราถือคติว่าถ้ายังคุยกับคนระหว่างทางรู้เรื่อง แผน เผิน ก็ไม่ต้องไปตั้งหรอกครับ เสียเวลา 5555555555 ไม่รู้จะตั้งไปทำไมจริงมั้ยยย?ตอบให้ว่า ‘ไม่จริง แพลนไว้ยังไงก็ดีกว่าจะได้ประหยัดงบ เซฟความปลอดภัย บลาๆ  แต่เราชอบการผจญภัยแบบไปตายเอาดาบหน้า ถึงแม้แม่จะส่ายหน้าบอกว่า นี่คือความบ้า ความประมาทก็ตาม

(ฟังแล้วเซ..แม่ไม่เกทความฮิป ของเราเลย)  ดังนั้นข้อมูลเราหาไม่ต้องเยอะ อ่านรีวิว(ที่มีอยู่นิดเดียว)แบบบรรทัดเว้นบรรทัดจะได้ตื่นเต้นเวลาเจอ สัมภาระก็ขี้เกียจเอาไปเยอะ อันไหนใส่แล้วหนักไปก็แกล้งลืมไว้ที่บ้านก็ได้ มา มา มาดูภาพรวมการเดินทางเราก่อนนะครับ สงสัยอันไหนเดี๋ยวจะเฉลยไปทีละนิด (ทำเป็นสงสัย เล่นกับเราหน่อยก็ได้นะ)

จาก บขส.แม่สอดไปอช.แม่เมย โดยรถแดงแม่สอด แม่เสรียง บอกคุณลุงว่าไป อช.แม่เมยเลยจ้า ไปช้าอาจจะต้องยืนลากยาวสามชั่วโมงนะครับ ผมโดนไปสองชั่วโมงกว่าๆ เส้นทางสวยงามตอนเช้าหมอกลงแตะถนน ธรรมชาติเน้นๆ ทรายเซยกรวดหินดินทรายปลิวให้ว่อน (บางจุดมีทำถนนอยู่ครับ)เราตลกคุณลุงขับรถแดงมาก แกดูจะยูนีคตั้งแต่ขับไปขับมาก็หยุดรถเพื่อสูบบุหรี่(ชวนผดส.ดูดด้วยนะ) หิวก็หยุดรถเพื่อกินขนมที่ตลาด ตบท้ายด้วยหยุดรถแวะเข้าบ้านเพื่อเอาตระกร้า เอากับลุงเซ่!!! หลังๆ ผดส.มองหน้ากันเองเวลาคุณลุงหยุดรถ อารมณ์ประมาณ ‘เมื่อไหร่กุจะถึง’ 5555555555

ระหว่างทางมีตรวจบัตร ปชช/passport หลายรอบพกไว้ให้สะดวกหยิบนะครับ ตอนนี้เราเดินทางอยู่ชายแดนไทย-พม่า เพียงแค่ปลายเท้าเขย่งก็เพ่งเห็นคนพม่า(ตัวเท่าไม้ขีดไฟ)แล้วเหวยยย ตื่นเต้นนนนนนนนน (ตื่นเต้นทำไม - -*)

สำหรับสาวสวยสดใสที่อยากจะไปคนเดียวในเส้นทางนี้ควรจะต้องมีสกิลมวยไทยสักนิดให้อุ่นใจ เพราะแค่ขาไป ก็เจอพี่กะเหรี่ยงและพี่พม่าที่มีแววพกพาอาวุธในกระเป๋าพร้อมจะ attack เราได้ทุกเมื่อ (ถึงแม้ความจริงแล้วในกระเป๋าพี่แกจะเป็นกระบอกข้าวหลามก็ตามเถอะ) อย่าว่างั้นงี้เลยนะ ไปคนเดียวนี่จะหญิงจะชาย เราว่าเส้นทางนี้อันตรายเหมือนกัน รถแดงส่งที่ปากทางเข้า อช.มีร้านขายของเลือกซื้อตามชอบครับ เมมกล้องมือถือยังมีขายนะเออ

เราแวะทานข้าวเช้าที่ปากทางเข้าอุทธยานร้านตรงหัวมุม ร้านใหญ่ของคุณป้า'ปาณาติปาตา' ที่เรียกชื่อนี้เพราะ บังเอิ๊ญมีพี่คนนึงยืนชี้ถามตอนสั่งกับข้าวว่า  'พี่ๆนี่ปลาอะไร?' คุณป้าผู้ยังไม่ทราบตำแหน่งแน่ชัดว่าอยู่ตรงไหนของร้านก็ตะโกนทางไกลว่า 'ปาณาติปาตา' 5555555555555555555

เราลองกินอาหารแปลกๆ ถือว่ามาถิ่นไหนต้องกินให้เหมือนเจ้าของถิ่น ที่แน่ๆมันคือผัดเผ็ดกบ ยำหน้าหมู ประมาณนี้ครับเผ็ดน้ำตาไหลสำหรับผมมาก 

โชคดีที่คุณป้าปาณาติปาตาให้เราติดรถไปลงที่ อช.แม่เมย ทานข้าวเสร็จก็เดินทางต่อไม่ต้องไปโบกรถเองเลยครับ(คุณป้าถามก่อนเลยว่าจะไป อช.แม่เมยใช่มั้ย)

มาถึงเราไม่รอช้าเดินเข้าไปพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ พี่ๆก็แนะนำนู้นนี่ให้เสร็จสรรพ เตรียมการ บอกแพลน ให้ไปอาบน้ำ ทานอาหาร ซื้อข้าวสำหรับมื้อเย็นบนม่อนปุยหมอกด้วย รวมถึงน้ำดื่มก็ต้องเอาขึ้นไปเองนะจ๊ะ

ม่อนปุยหมอกมีช่วงเวลาให้เก็บเกี่ยวความยูนีค นั่นก็คือ เราจะต้องเดินขึ้นไปแล้วก็เดินลงมา เออ...บอกทำไม 5555 คือจะหมายถึงว่าก็เดินขึ้น-ลงม่อนปุยหมอกด้วยกำลังขาตัวเอง จะมีพี่กะเหรี่ยงนำทางและลูกหาบช่วยแบกของไปไป-กลับ อย่างละ 3-4ชม. อ่านมาถึงตรงนี้ถ้าใครกำลังพึมพำ ‘ก็งั้นๆแหละ’  ...เราก็คิดว่า ไม่เห็นจะโหด เลยตอนได้ยินพี่เจ้าหน้าที่บอก(แอบโทรไปคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ก่อนไปเพราะจะถามว่ามีหม้อให้ยืมไปหุงข้าวบนม่อนปุยหมอกมั้ย...)  แต่ของจริงกำลังจะมา

...ขู่ไปงั้นแหละ - -‘’

เราไม่ถ่ายป้าย อุทธยานหรอกนะมันเหมือนคนอื่นไป..

(เริ่มหมั่นไส้ตัวเอง)

คุณลุงกะเหรี่ยงไม่ทราบชื่อ ฟังภาษาไทยได้บางคำแต่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย ส่วนเราพูดภาษากะเหรี่ยงไม่ได้เลยแต่พูดภาษาไทยได้ทุกคำ นั่นทำให้เราไม่ได้สนทนาด้วยภาษาปากกันแต่ใช้แค่ภาษามืออย่างเดียว 

คุณลุงเป็นลูกหาบของเราในทริปนี้ 

ถึงคุณลุงกะเหรี่ยงจะไม่มีซิคแพคแต่แรงแกเต็มแม๊กซ์เตะปิ๊ปกระฉูดแน่ๆ คอนเฟิร์มคุณลุงอายุประมาณเจ็บสิบขวบ

ทุกคนต้องรู้สึกว่าแพงแน่ๆถ้าเราบอกราคา ค่าพี่กะเหรี่ยงนำทาง 800บาท  ส่วนค่าคุณลุงกะเหรี่ยงลูกหาบ กิโลละ15บาท  คิดทั้งขาขึ้นและขาลง(ชั่งก่อนขึ้นและหลังลงมา)เราก็คิดงี้ แต่พอเดินเขาขึ้นไปยี่สิบนาทีแรกเราก็เสียงสั่น(เปล่าเสียว - -*) ราคาเท่านี้ดูจะถูกไปด้วยซ้ำ 

ขอลุงพักแปป

จริงๆคุณลุงเดินนำหน้าเราไปนั่งรอครับ 55555

ขอแนะนำพี่กะเหรี่ยงผู้เป็นคนนำทางไปยังม่อนปุยหมอกครับ พี่เขาเห็นเราเดินงกๆเงิ่นๆ เลยไปตัดไม้ไผ่มาให้เป็นไม้เท้า ช่วยชีวิตได้เยอะอยู่ครับ

เงาตะคุ่มๆนั่นแหละ พี่กะเหรี่ยง พี่กะเหรี่ยงมีตำแหน่งเป็นถึง อบต.ของชาวกะเหรี่ยงเขาครับ

‘เบื่อๆ ก็กลับมาอยู่บ้าน’ เราได้คำตอบนี้มาจากคำถามประจำตัวของเราที่ชอบเสนอหน้าไปถามคนอื่น ‘ทำงานอย่างนี้ไม่เบื่อหรอครับ’ เป็นคำถามประจำปากเราไปแล้ว แต่ทำงานอย่างนี้ที่เราหมายถึงคือ อาชีพหนุ่มโรงงานผลิตลูกชิ้นแถวลาดพร้าวนะ...พี่กะเหรี่ยงเคยไปทำงานที่ กทม

พักยิบย่อยแบบน่ารักๆ ไปสองรอบก่อนจะมาพักจริงที่นี่เพื่อทานมื้อกลางวัน(หิ้วขึ้นมา) ระหว่างทางมีสองจุดหลักๆให้ถ่ายภาพ หนึ่งคือน้ำตกตรงนี้ ชื่อน้ำตกเป็นภาษากะเหรี่ยง พยายามท่องทวนซ้ำไปมาเพื่อจะเอามาเขียนรีวิว...ดันลืมไปตั้งแต่ยังไม่ลงจากม่อนเลยมั้ง 

ส่วนอีกจุดเรียก แนวทุ่งหญ้าขนลิง

ถึงสักทีเถ้ออออ ถามว่าเหนื่อยมั้ย เหนื่อยนะแต่ไม่ได้มาก ทางมันลำบากมากครับ เป็นป่าแห้งๆ ไม่มีต้นที่มีผลพอกินได้สักเท่าไหร่

ถึงแล้วก็จัดแจงเต้นท์ พี่กะเหรี่ยงกับคุณลุงจะเดินไปกรอกน้ำใส่ขวดเกือบสิบขวดที่แอ่งน้ำห่างจากจุดกางเต้นท์ 1กม.นิด เราพยายามขอติดสอยห้อยตามไปด้วย แต่พี่กะเหรี่ยงไม่ยอมครับ บอกว่าทางลำบากมาก จะลำบาก(พี่เขา)ซะเปล่าๆ

ช่วยกันกางเต้นท์ เราทั้งคู่ทำไม่เป็นเลยครับ ไปยืนอ่านวิธีที่แปะอยู่ในถุงใส่เต้นท์ที่เช่ามาจากอุทยาน พี่กะเหรี่ยงก็ทำไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน กางๆไปก็ได้ เดี๋ยวก็นอนทับ(คิดในใจ) ที่บอกว่าพี่กะเหรี่ยงกางเต้นท์ไม่เป็นเพราะว่านี่เลยครับของทั้งหมดที่พี่กะเหรี่ยงและคุณลุงพกมา สัมภาระแค่นี้บวกกับเป้อีกหนึ่งใบเล็ก

ถ้าสงสัยว่าแล้วจะนอนกันยังไงว่ะ นี่คือคำตอบ 

เราว่าพี่และคุณลุงต้องมีวิชาแก่กล้าแน่ๆถึงนอนท้าลมหนาวสิบเอ็ดองศาได้ชิลๆขนาดนี้

ระหว่างคำนวณความน่าจะเป็นว่าจะก้าวท่าไหนไม่ให้ตูดไถลไปตรงเนินดินด้านหน้า จู่ๆก็มีเสียงดัง ตู้มมมมมมมมม!

นกบินกันพรึ่บพรั่บ(จริงๆมีตัวเดียว)  

จังหวะเงียบไปอึดใจ พี่กะเหรี่ยงหันไปคุยกับคุณลุงกะเหรี่ยงด้วยภาษากะเหรี่ยงก่อนจะหันกลับมาคุยกับเรา(แต่ไม่ใช่กะเหรี่ยง)ว่า

..อ้อ ระเบิดฝั่งพม่าหน่ะ ตบท้ายด้วยรอยยิ้มละมุนหวานๆ

.

.

.

.

เรา : .....................อึ้งแดร่ก

เสียงระเบิดที่ว่าคือระเบิดกับดักที่ฝั่งพม่าวางไว้ มีทั้งดักสัตว์และดักคน แต่วางไว้นานแล้ว วันดีคืนดีควายป่าเดินไปเหยียบ เละเลยทีเดียวก็มีพี่กะเหรี่ยงเล่าว่าบางทีคนไปเก็บของป่าก็ไปเหยียบโดยบังเอิญแถบชายแดนพม่ามีหมูบ้านกระเหรี่ยงที่ยังเปิดศึกกับฝั่งทางพม่าอยู่(ปัญหาการเมืองภายในพม่าชิดติดขอบชายแดนไทย)

เราเช่าม่อนปุยหมอกไว้แหละ..ที่พูดงี้เพราะทั้งม่อนปุยหมอกนี่มีเรากับพี่เราแค่สองคน รวมคุณพี่และคุณลุงยอดมนุษย์กะเหรี่ยงอีกสองท่านทั้งหมด สี่คนถ้วน!!สี่คนบนม่อนใหญ่โตมโหฬาร โอ้โห สวรรค์ของเราหล่ะคร้าบพี่น้องงงงงงงงงงง  

นี่ถ้าหลงทางในป่านี่แทบไม่มีของกินนอกจากลูกมะอะไรสักอย่าง นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่พอจะกินได้ (ปิ้งไก่สุมไฟกลางป่าเหมือนหนังอาหลองช่องเจ็ดนี่ฝันไปเถอะนะ)

พอรู้ว่าบนม่อนปุยหมอกไม่มีห้องน้ำ ใครจะเข้าต้องขุดหลุมฝังกลบกันเองเรานี่หูผึ่งเลยครับ..โคตรชอบบบบบ อะไรนอกคอกชาวบ้านนี่ชอบเหลือเกินเรารีบจัดแจงขืนใจตัวเองไม่อึไปก่อนหน้านั้น คือ ไม่เคยอึแบบธรรมชาติห้อมล้อม อยากจะมีฟีลลิ่งหญ้าบาดก้นไรงี้บ้าง 555555555555555 สุดท้ายท้องไส้ดันไม่เป็นใจถึงแม้จะเร่งพลังทุกส่วนไปยังจุดกำเนิด แต่ก็ไม่สำเร็จชีวิตมันเศร้า...อดขรี้แนบชิดกับธรรมชาติเลย

เปลี่ยนคำว่า อึ --> ขรี้ เพื่อความสมจริงและจะได้อินถึงอารมณ์

หมายเหตุ รูปประกอบไม่เกี่ยวข้องกับคำบรรยายใดๆทั้งสิ้น

.

.

จะให้เอารูปอะไรมาแปะดีหล่ะ 555555

มาแล้วๆ รอบกองไฟเว้ยยยย เหมือนละครอาหลองช่องเจ็ดแล้ว 

ระหว่างก่อกองไฟ(ที่ไม่ใช่กองไฟะแปะหลอดฟลูออเรสเซนท์แบบเข้าค่ายลูกเสือป.4)เราเลยแว่บไปดูที่ดูทาง ไม่ได้รอบคอบนะ จะถ่ายรูปเอาไปอวดแม่ 

เดินลงไปดูเนินทุ่งหญ้าขนลิง ตรวจตราวิว ดูสง ดูแสง จะได้ตื่นมาถ่ายวันพรุ่งนี้เช้าได้

ไม่น่าเดินลงไปเลยกุ

โยคะแปป

มืดละ ระหว่างนี้ก็พยายามพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคุณลุงกะเหรี่ยง แต่ไม่ได้ดั่งใจหวัง 

มื้อเย็นของเราคือ มาม่าที่ซื้อมาจาก บขส หมอชิตครับ กินง่ายอยู่ง่ายปิ้งไก่กลางป่า มันไม่มีจริง (ฮือออออออ)

คืนนี้นอนบนม่อนปุยหมอกอากาศแปรปรวนลมแรงจนเต้นท์แทบปลิว อุณหภูมิ 11 องศา  เสื้อผ้าบางเบาเหลือเกิน ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้นะ

(จริงๆรู้ แต่แกล้งเนียนลืมเสื้อกันหนาวไว้ที่บ้าน..มันหนักไง)

ไหนๆก็อยู่กลางป่ากลางเขากันส่วนตั๊วส่วนตัวเหลือเกิน  อยู่ๆเราก็อยากแก้ผ้าอาบน้ำกลางป่ากลางเขา...คืออย่างที่บอก ม่อนปุยหมอกมีแต่ต้นไม้ใบหญ้าห้องน้ำไม่มี แต่นอนแบบเหนอะเหงื่อเราก็ไม่ไหว จัดแจงอาบน้ำเอาแม่-งข้างเต้นท์มันตรงนี้แหละ 

เวลาสักทุ่มกว่าได้  แต่ดาวเห็นชัดแบบแทบชิดหน้าผาก ขอบอกว่า โคตรฟินโว้ยยยยยย  ขนลุกซู่ น้ำมีน้อยใช้สอยอย่างประหยัดนะครับ คุณลุงกับคุณพี่กะเหรี่ยงจะวางน้ำทิ้งไว้ให้เราหยิบไปใช้ตามสบาย..นี่ไม่มีรูป How to ให้นะ คิดว่าจุดไหนสำคัญก็เลือกล้างจุดนั้นตามใจชอบเถอะจ้ะ

เช้าแล้วรีบโผล่หน้าออกมา เรากางเต้นท์อยู่ตรงจุดชมวิวคนเดียวไม่ต้องแย่งใคร (ก็แน่หล่ะมีกันอยู่แค่นี้) เมื่อคืนเงียบสงบและวังเวงสมใจยากมาก

ขณะกำลังแปรงฟันที่ม่อนปุยหมอกยามเช้า... ฝูงควายป่า(ไม่ทราบชื่อ, เพศ, อายุ) และเราประสานสายตาตรงกันโดยมิได้นัดหมาย ถึงแม้เราจะยืนห่างกันประมาณสองเมตรครึ่ง แต่ก็ได้ยินเสียงลมหายใจฟืดฟาดชัดเจนมาก..มากพอจนเผลอกลืนยาสีฟันไปหนึ่งอึก(นี่ไม่ได้มุกนะ - - *) ‘ship หายละ!’ ต้อนรับยามเช้าอันแสนสดใสด้วย ควายป่าฝูงใหญ่ ประชิดหน้าเต้นท์ โอ้โห ชัดละเอียดจริงยิ่งกว่าดูรายการแดนสนธยาตอนควายป่าสุดน่ารัก โชคดีที่มีพี่กะเหรี่ยงช่วยไล่ฝูงควายไปได้.. เป่าปี๊ดเดี๋ยววิ่งหนีลงเขากันโครมคราม ถือเป็นปสก.เผชิญหน้าฝูงควายที่ยูนีคถูกใจเรามาก ว่างๆก็ลองดู

ควายป่าที่นี่ชาวกะเหรี่ยงจะปล่อยให้มันโตเองสักสองสามปีจะเข้ามาดู หรือจับกลับไป เพราะฉะนั้นจึงเป็นควายที่อยู่ในป่าจริงๆนี่แหละครับ ไม่ใช่ควายไก่กาเดินตามท้องถนนนะเอ้ออ ควายป่าหน่ะควายป่า(ตื่นเต้นอีกแล้ว)

อยากขอคำปรึกษา มีวิธีไหนที่จะใส่หมวกไหมพรมให้ไม่เหมือนคนป่วยได้บ้าง...

ฟ้าสว่างแล้ว เซทผมแปป เดี๋ยวไม่หล่อ

ลงรูปพี่ชายหน่อยครับ เป็นรูปที่ถ่ายแล้วภูมิใจที่สุดในทริปนี้ 55555555555 ตอนแรกของทริปนี้เราจะไปคนเดียวเหมือนทุกทริปที่ผ่านมาครับ ไปโม้ทริปให้คนรอบข้างฟัง มีแค่คนเดียวที่หลงผิดขอไปจอยด้วยความไม่รู้แพลนใดๆข้อดีของการเที่ยวมากว่าหนึ่งคนฮะ หนึ่งอันตราย สอง ช่วยหารงบ สาม ช่วยเบรคเวลาผมจะทำอะไรนอกคอกแบบแหวกแนวเสี่ยงภัย(มากเกิน) สี่ ช่วยกันลากลงเขาเวลาอ่อนเปลี้ย

โดดเดี่ยวผู้น่ารักกับแสงอาทิตย์ยามเช้า

ถ่ายไป ถ่ายมา เตรียมตัวกลับ พี่กะเหรี่ยงบอกเดินไปถ่ายรูปพลางๆ เดี๋ยวเก็บเต้นให้ จะได้ไปถึงด้านล่างไม่สาย เราก็ตกลงครับ (พี่แกรู้ว่าเราถ่ายรูปกันนานมาก กว่าจะส่องวิวครบสามร้อยหกสิบองศา)

มาแล้ว แลนด์มาร์คที่รอคอย แนวทุ่งหญ้าขนลิงสีทองถ่ายรูปได้หลากหลายครับ

แบบผู้พิชิตโลก

หรือจะเเบบคนอมโรคก็ได้....แบบพระเอกเกาหลีต่างหากโว้ย 555555 

ถ่ายเก็บให้หมดครับ ทั้งรูป ทั้งวิดีโอ เผื่อภูมิแพ้กทม.กำเริบจะได้มีไว้แก้ขัด จริงๆรูปเซทนี้มีเยอะมาก แต่เห็นหน้าเสียส่วนใหญ่เลยไม่ได้เอามาอวดเลย (กลัวเจอเจ้าหนี้)

ชีวิ๊ต ดี๊ดี๊ย์ย์ (พากษ์ไทยเสียงนางเอก ไอฟายแต้งกิ้ว)

เราจะไม่บอกหรอกนะว่าเราเอาตัวรอดเก่งแค่ไหนตูดเราแค่สไลด์หน้าคว่ำจูบดินมานับไม่ถ้วน รองเท้าเราแค่พื้นยางขาด ตัวเราแค่มีแผลเลือดออกที่หัวเข่าและหน้าแข้งพร้อมรอยช้ำที่ก้นกบ  แค่นี้เอง...เราสบายมากไม่ต้องเป็นห่วง

เราสบายจริงๆนะ...

เราไม่เป็นไรจริงๆ

.

..เราโออออออออออออออออออ 

.

.

พี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์ เดินป่ายังไงให้เท่ห์ครับ วานบอกผมที T_T

คุณลุงมองตาละห้อย คิดในใจเมื่อไหร่จะถ่ายรูปกันเสร็จว่ะ 5555

คุณลุงเดินไปรอเราด้านหรือถ้าเห็นเราช้ามากก็จะชะลอ รอพวกเรา

ถึงแล้วครับ จ่ายเงินให้พี่กะเหรี่ยงและคุณลุงเรียบร้อย ขอเสียงปรบมือแด่ยอดมนุษย์ทั้งสองท่านครับ

ขอโม้เรื่องที่ไปชวนชาวบ้านชาวช่องเขาคุยระหว่างทางหน่อยนะอย่างที่เห็นว่าคนนำทางและลูกหาบจะเป็นชาวกะเหรี่ยงท้องที่นะครับ บังเอิญสงสัยว่าเขามีทีมเป็นไกด์โดยเฉพาะหรืออะไรยังไงบ้างพี่กะเหรี่ยงก็เล่าว่า (จริงๆไปถามมาเองแหละ) คนในหมู่บ้านจะจัดคิวผลัดเปลี่ยนมาเป็นไกด์และลูกหาบ รายได้ไม่เยอะมากปกติปีนึงได้เป็นไกด์ประมาณหนึ่งครั้ง แต่มาช่วงสองปีให้หลังได้ขึ้นมากหน่อยเป็นปีละสองครั้ง (นึกว่าจะเยอะกว่านี้- -) เงินได้ปีนึงแปดร้อยเองนะ เพราะคนในหมู่บ้านหลับตาวิ่ง(ฮาร์ดคอร์กว่าเดิน)ขึ้น-ลงม่อนปุยหมอกได้แบบช่ำชองกันแทบทุกคน'แล้วเงินจะพอใช้หรอครับพี่?' สงสัยและปากไวเท่าความคิด'พอนะ ที่นี่ไม่เหมือนกรุงเทพ ข้าวก็ปลูกกินเองได้ ไก่ก็เลี้ยงกินเองได้...'ค่าครองชีพถูกกว่า กทม.มากจริงๆครับ อาหารในอช.แม่เมย ราคาสามสิบ สี่สิบ แต่ได้เยอะมาก กะเพราไก่ก็เนื้อจริงไม่ใช่ไก่เศษวิญญาณปกติพี่กะเหรี่ยงก็ทำไร่ ปลูกสวน ดูแลข้าว เป็นงานประจำ มีงานไกด์เป็นงานอดิเรกแบบชิคๆ เราได้ข้อสรุปมาดังนี้

มาถึงปุ๊ปจัดการ กินข้าวอย่างตาอดตาอยาก มาถึงก็จวนเที่ยง ข้าวเช้าไม่มีอะไรตกถึงท้องยกเว้นน้ำเปล่า อาบน้ำเรียบร้อย โชคดีมาอีกแล้วที่เจอพี่บอล นักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่เจอตั้งแต่ที่เรามาถึงที่นี่พี่บอลมาจาก กทม. มาเที่ยวเหมือนกันเราจึงได้ติดสอยห้อยตามไป ม่อนอีกสามม่อนที่เราหมายตาไว้คือ ม่อนครูบาใส ม่อนกิ่วลม และม่อนพูนสุดา  (ทั้งหมดก็อยู่ใน อช.แม่เมยนี่แหละครับ)เราตัดสินใจนอนที่ม่อนครูบาใสนะ

รูปตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

เจอฝรั่งเหมารถจาก เชียงใหม่ด้วย 

บทสนทนาของพี่ฝรั่ง 

จอร์ช : โอ้มันวิศษมาก 

ไมเคิล : สุดยอดมากมันสวยจริงๆ

จัสติน : โอ้ยปวดขรี้ ฉันไปขรี้ก่อนนะ

จอห์น : ปวดฉี่หว่ะ(ถกกางเกงลง) โอ้ยย ฉันฉี่ไม่ได้เพราะลมนี่แหละ

หลังจากนั้นพี่ฝรั่งกะพูดคุยสามสิบวิแล้วขับรถหายไปเลย 

(บทสนทนาจริง แต่ชื่อปลอม..จะไปรู้ชื่อได้ไงเล่า ถามยังไม่ทันเลย)

เรากางเต้นกันที่ม่อนนี้เรียบร้อย ไฮไลท์มาอีกแล้ว พี่บอลพกครัวขนาดย่อม ปิ้งย่างเตาถ่าน เนื้อเยอะแยะ ผักมาเต็มพี่บอลก็ชวนเราไปจอย 

เราก็จอยสิครับ รออะไร 55555 ไอกองไฟนี่ได้จุดเองสมใจยาก โอ้โห โคตรเหนื่อย ฟืนหายากมาก คนเลาะรั้วที่กันไว้รอบนอกไปทำฟืนด้วยครับ - - 

ทั้งม่อนมีอยู่สองเต้นท์ครับ อุ่นใจขึ้นมานิดนึงเพราะตอนกลางคืนโคตรมืด เงียบ ไม่มีไฟฟ้านะครับ แต่ม่อนนี้มีห้องน้ำเล็กๆให้(อดขรี้กลางป่าเหมือนเดิม)

Title 26 

พี่บอลนัดแนะเรา ตื่นตีห้าเพื่อขับรถไปม่อนกิ่วลม อยู่ไกลห่างจากม่อนครูบาใสประมาณสามสิบนาทีรถขับทางลำบาก ถนนพังนะครับ ขับกันลำบากหน่อย

ถึงแล้วม่อนกิ่วลม ที่ดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่พีคสุดจากทุกม่อน (เจ้าหน้าที่บอกมา..เชื่อคนง่ายครับ เขาว่าสวยเราก็ว่าสวย)

ไหนบอกจะไม่ถ่ายป้ายเพราะไม่ฮิป

ต้นไม้สวยจัง

ถ่ายภาพแบบฮิปๆ อาบแสงอาทิตย์ยามเช้า

เรานัดแนะกันทานอาหารเช้าที่นี่ครับ 

กาแฟ(ของพี่บอล)

หม้อ(ของพี่บอล) 

โจ๊ก(ของพี่บอล)

เย้ ให้กับพี่บอล 

นักท่องเที่ยวกลุ่มที่สอง เจอแล้ว น้ำตาจะไหล พี่ๆเขาจะนอนที่กิ่วลมครับ อากาศหนาวกว่าครูบาใสมาก(ก็สูงกว่าอ่ะนะ)

กลับมาที่ม่อนครูบาใส ที่นี่จะเห็นทะเลหมอกชัดที่สุดนะครับ

หันไปข้างๆเมื่อวานเราปีนขึ้นไปบนกองดินที่เขาขนมาก่อสร้างทำถนน อย่ารอช้า พร้อบตัวเองไม่มี ก็หาเอาข้างทาง

เดินแบบพยายามฮิป ถ่ายมาหลายช๊อตแล้วเอามาเรียงต่อกันสวยดีครับ (ไม่มีรูปให้ดู บอกเฉยๆ5555555)

หรือจะมุมนี้ก็สวย ถ่ายมาแล้วดูเหมือนตัวเองเป็นเจ้าโลก เอ้ย เจ้าของโลก! 

เหนื่อยเหลือเกินกับการถ่ายหลบต้นไม้ โฟโต้ชอปไม่เป็น ขอโค่นต้นไม้ทิ้งแทนได้มั้ย - - 

ให้ดูที่เรานอน ดูดิ๊ สองก้าวเดินกลิ้งตกม่อนอีกแล้ว ใครนอนกลิ้งก็แนะนำกระเถิบเต้นท์ออกนิดนึงเดี๋ยวจะได้ไปดูดดื่มธรรมชาติกลางเหวแบบแนบชิดหน้านะที่แนบชิด

เด็กๆเก็บของ พี่บอลตะโกนบอกมา ตามนั้นครับ พี่บอลให้เราติดรถไปลง บขส แม่สอดทีเดียว ตอนแรกพี่บอลจะให้ติดรถไป กทม.เลยเพราะพี่เขาก็กลับอยู่แล้ว แต่เราเผลอร้องเพลงไม่เอานะเกรงใจ ไม่ดีหรอกเกรงใจ ไม่เอานะเกรงใจ(ร้องฮุคต่อให้จบที) เราเลยขอแยกไปขึ้นรถทัวร์ดีกว่า

ระหว่างทางพี่บอลยังจอดให้ถ่ายรูป วิวแม่น้ำเมยเห็นแม่น้ำตรงนั้น ฝั่งนู้นก็คือพม่าแล้วครับ มีแม่น้ำเมยกั้น น้ำใสมาก จากฝั่งนี้มองเห็นพม่าที่อุดมสมบูรณ์มากเลยครับบนม่อนปุยหมอกก็เห็นชัดเจนว่าป่าเขายังแน่นมาก 

ถึง บขส.แม่สอด ดูตารางรถปุ๊ปแทบหงายหลังรถไม่มีตารางเดินช่วงบ่ายเลยครับ จะมีอีกทีก็ดึกเลย พี่บอลผู้เป็นฮีโร่ของเราบอกไว้ว่าจะกลับหกโมงเย็น ยังเร็วกว่าตารางรถทัวร์เลยครับเราจึงจัดแจงติดต่อไปบอก พี่ครับ ขอกลับด้วยโค๊นนนนนนนน แน่นอนครับ พี่บอลผ่านกลับมารับทันพอดี หัวเราะ จริงๆพี่บอลถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของเราในทริปนี้ก็ว่าได้ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงให้มากเท่าที่กับรู้สึกจริงๆครับ

ยัง ยังไม่จบ พี่บอลยังพาเเวะดู เนินพิศวง และตลาดดอยมูเซอด้วยเอ้อ พี่บอลบอกมา ตาก แล้วจะพลาดได้ไง แวะให้เสร็จสรรพถึงแม้เราจะพูดว่าไม่เอานะเกรงใจอยู่หลายรอบก็ตามครับ(เกือบจะลุกขึ้นเต้นแบบแร็พเตอร์ละ)แต่เดี๋ยวก่อน!!! ยังมีอีก พี่บอลแวะ นครสวรรค์เพื่อให้พวกเราทาน ก๋วยเตี๋ยวหัวนม ของขึ้นชื่อ แถมจอดแวะซื้อของฝากด้วยครับ

ตอนนี้น้ำตาจะไหลแล้ว ซึ้งในน้ำใจเหลือเกินครับพี่น้องงงง อยากยิมนาสติกลีลากระโดดตีลังกาขอบคุณครับกลางอากาศสามสิบห้าตลบ เสียดายที่ทำไม่เป็น (พูดเพื่อ - - )

จบแล้วสำหรับ แบกเป้ลุย 'ม่อนปุยหมอก' เวอร์ชั่น(พยายาม)นอกคอก 

นอกคอกมั้ย จริงๆเราว่าไม่ค่อยนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้มันแหวกหรอก มันเป็นของมันเองโดยสัญชาตญาณ

นอกคอกในแบบของเราสำหรับทริปนี้คือ การเจอคนแปลกๆฮาๆ อย่างคุณลุงรถแดง คุณป้าปาณาติปาตา 

การเจอ(ได้ยิน)เสียงระเบิดฝั่งพม่าแล้วพี่กะเหรี่ยงทำหน้าแบบเจอเป็นประจำเช้า-เย็น

การพยายามขรี้บนม่อนปุยหมอกกลางป่าเขา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

การอาบน้ำแก้ผ้าเย้ยฟ้าท้าดาวกลางป่าเขา อุณหภูมิ 11 องศา (แก้หมดทุกชิ้นจริงๆ โคตรฟิน แนะให้ลอง)  

การพยายามไปเที่ยวแบบหนีคนอื่น แล้วได้อยู่คนเดียว(หรือกลุ่ม)กลางป่าวังเวงสมใจอยาก

การเจอพี่บอลที่โคตรใจดี ฟรีแม่-งทุกอย่าง ตั้งแต่ค่าข้าวยันค่ารถ (แถมแลกเปลี่ยนความคิดของผู้ใหญ่กับเด็กอย่างเรา)

การติดรถ โบกรถ คนไม่รู้จักจาก ตาก กลับ กทม โดยความเชื่อใจในมิตรภาพล้วนๆ

คือแค่นี้เราว่าเราก็นอกคอกจากการเที่ยวของเรา(และะคนอื่น)ไปเยอะมากๆ ประทับใจมากๆครับสำหรับทริปนี้ม่อนปุยหมอกที่เราบอกว่าคนไทยไม่ค่อยรู้จักมาก เพราะว่ามันเดินทางลำบากเราใช้เวลาเกือบ 13 ชม.กว่าจะถึง ยังไม่รวมเดินเท้าอีก 3 ชม.คร่าวๆก็ 16 ชั่วโมงจาก กทม (คนมีรถส่วนตัวเดินทางง่ายกว่ามาก) ขนาดในพันทิปยังมีรีวิวสองกระทู้เอง รวมเราก็น่าจะสามเอง ถือเป็นที่ที่ชาวเน็ทไม่ค่อยรู้จักมาก ลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกนะครับ

ถ้าใครชอบเที่ยวแนวนี้ก็ตามไปนอกคอกกันเยอะๆนะ 

อ้อ! แต่อย่าลืมกิจกรรมสุดนอกคอกของเราหล่ะ

.

.

.

แก้ผ้าหน้าหนาวบนยอดม่อนปุยหมอกไง 5555555555555555555555555

ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะครับ หัวเราะ ยินดีตอบทุกคำถามจ้า

ปล.อยากเปลี่ยนชื่อกระทู้เป็น แก้ผ้าหน้าหนาวบนยอดม่อนปุยหมอก

สำหรับ งบ ตามนี้เลยครับ

ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้ตั้งใจประหยัดมากมายอะไร แค่กะใช้เงินไม่เกินงบสามพันบาท แต่ใช้ไปจริงๆ เกือบๆสองพันเราโชคดีจริงๆที่ประหยัดค่าเดินทางขากลับ กทม.ไปได้ แต่ถึงยังไงถ้าเรารวมเงินค่าเดินทางกลับ ก็ยังไม่เกินงบครับ ที่สำคัญถ้าไปกันหลายๆคนอาจจะช่วยกันหารได้มากขึ้นหน่อย

ขอบคุณข้อมูลการท่องเที่ยว จาก คุณ 1452209  แห่งบ้าน pantip ค่ะ

อัลบั้มภาพ 83 ภาพ

อัลบั้มภาพ 83 ภาพ ของ แบกเป้เที่ยว "ม่อนปุยหมอก" แบบชิคๆ ให้คนอิจฉาทั้งเมือง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook