Mini Review เที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ อยุธยา ทำได้ไง

Mini Review เที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ อยุธยา ทำได้ไง

Mini Review เที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ อยุธยา ทำได้ไง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางคือการได้ไปในสถานที่ๆ แปลกใหม่ ไม่ซ้ำเดิม เช่นเดียวกับคุณ สมาชิกหมายเลข 1534292 จากเว็บไซต์พันทิป ดอทคอม ที่ใช้เวลาเดินทางท่องเที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ และอยุธยาแบบที่แทบจะใช้บริการการเดินทางครบทุกประเภท อ่านรีวิวการเดินทางของเขาแล้วก็สนุกดี น่าเดินทางตามมากๆ เลยค่ะ

สวัสดีครับ นี่เป็น Review แรกของผมนะครับ อาจจะใช้ภาษาตะกุกตะกักไปบ้าง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ (มือใหม่หัด Review) มาเริ่มกันเลยนะครับ ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ ครับ ซึ่งผมไปธุระที่กรุงเทพ เลยถือโอกาสไปเที่ยวเมืองมรดกโลก นั่งรถไฟเล่น การเดินทางใช้เวลาเพียง 2 วัน เริ่มแรกเดินทางจากหาดใหญ่โดยเครื่องบินเที่ยวเช้าสุด ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ และจากความตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องนั่งรถไฟ ชิล ชิล ไป จึงหาวิธีไปขึ้นรถไฟโดยการนั่งรถฟรีของสนามบินสุวรรณภูมิไปยังสนามบินดอนเมือง (ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่จองเครื่องลงดอนเมือง) เมื่อถึงสนามบินดอนเมืองก็สามารถเดินข้ามสะพานลอยไปยังสถานีรถไฟได้เลย (นั่งรถฟรี ทริคประหยัดตังค์ อิอิ) อ่อ…บริการระหว่างสนามบินมีทุกวัน แต่เจ้าหน้าที่จะขอดู Boarding Pass ย้ำว่าฟรี (ติดมาจากรายการ หนังพาไป)



รถไฟที่วิ่งผ่านอยุธยา มีตลอดทั้งวันซึ่งขบวนที่ผมนั่งเป็นรถฟรี

จากสถานีดอนเมือง - สถานีอยุธยา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยขบวนรถไฟเพื่อสังคมหรือรถไฟฟรีนั่นเอง ผมมาถึงอยุธยา บ่ายโมงกว่าๆ ก็ทำการหาโรงแรมเพื่อ Check-in ซึ่งผมได้จองไว้แล้ว โรงแรมที่ผมพักคือ  Phrakhun House

มาเริ่มศึกษาประวัติศาสตร์กันเลยดีกว่า ผมได้ศึกษาข้อมูลคร่าวๆ มาบ้างแล้วเกี่ยวกับเมืองเก่าสมัยอยุธยา เมื่อเรียนทฤษฎีแล้วก็ต้องมาถึงเวลาภาคปฎิบัติบ้าง ลุยกันเลย ผมเหลือเวลาอีกครึ่งวันกับการเที่ยวอยุธยาเก็บเกี่ยวความรู้กับประวัติศาสตร์ชาติไทย  โดยผมเช่าจักรยาน ปั่นชิล ชิล ซึ่งทางโรงแรมจะจัดไว้ให้ สารถบอกไว้ได้ตอนจองโรงแรม ราคา 50 บาท/วัน

ปั่น ปั่น จักรยานไปไม่ไกลจากโรงแรมก็มาถึง วัดมหาธาตุ

เจอนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นชวนคุย ได้แต่ยิ้มกับพยักหน้า ภาษาต่างประเทศไม่กระดิกเลย ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ คนไทยมีน้อยมากผมอาจจะเป็น 1% ในวัดนี้ก็ได้ อ่อสำหรับค่าเข้าชมจ่ายครั้งละ 10 บาท/วัด สำหรับคนไทย

วัดมหาธาตุ

ผมว่าวัดนี้เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่มาก ใช้เวลาเดินอยู่พักใหญ่กว่าจะเดินรอบ ผมเดินไปก็นานแล้วยังไม่เจอนักท่องเที่ยวคนไทยเลย เดินวนๆ อยู่ก็ยังเจอคุณตาคุณยายชาวญี่ปุ่นอยู่ ผมได้แต่ส่งยิ้มให้เป็นระยะ

วัดมหาธาตุ

สิ่งที่ห้ามพลาดคือ เศียรพระ หน้าวิหารเล็ก ดูมหัศจรรย์มาก

ข้ามถนนไปก็เจอ วัดราชบูรณะ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ขนาดของวัดก็น่าจะมีความใกล้เคียงกับวัดมหาธาตุ

วัดราชบูรณะ

ปั่น ปั่น จักรยานออกไปเรื่อยๆ ผ่านวัดเล็กวันน้อยไปหลายวัด แวะบ้างไม่แวะบ้างเพราะวัดเยอะมาก ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะเจ้าสมาร์ทโฟนตัวน้อยแบตเตอรี่เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ปั่นวกไปวนมาถามทางไปเรื่อยๆ ก็มาถึงวิหารพระมงคลบพิตร และวัดพระศรีสรรเพชญ์

วิหารพระมงคลบพิตร

วัดพระศรีสรรเพชญ์

เห็นโมเดลแล้วขนลุก ถ้าวัดนี้ยังคงสภาพเดิมอยู่คงยิ่งใหญ่มาก

วัดพระศรีสรรเพชญ์

เดินถ่ายรูปเก็บข้อมูลจนพอใจ ก็มานั่งพักหน้าวัดลมเย็นๆ แต่แดดแรง นั่งดูนักท่องเที่ยวขี่ช้างเดินเที่ยว พักจนหายเหนื่อยก็ลุ่ยต่อ วัดต่อไปคือวัดพระราม อยู่ห่างจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ สักประมาณ 200 เมตร

วัดพระราม

มาต่อครับ หลังจากแอบหายไป ^^
หลักจากผมเดินวนๆ ถ่ายๆ รูป ก็นั่งที่วัดพระรามพักใหญ่เพราะเหนื่อยมาก เป็นการปั่นจักรยานที่ใช้เส้นทางยาวมากและปั่นตอนบ่าย กลางแดดร้อนๆ ผมนั่งที่วัดนี้ ณ ตอนนั้นเวลา 4  โมงครึ่งแล้ว อ่อวัดที่เปิดให้เข้าชมจะปิดทำการเวลา 5 โมงเย็นนะครับ ตอนนั้นผมว่าจะไปวัดใหญ่ชัยมงคลต่อ โดยเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงกับระยะทาง 5 กิโลเมตร ตอนปั่นไปคือตั้งใจจะไปวัดใหญ่ชัยมงคล แต่ด้วยความล้า และเหนื่อยมาทั้งวัน สู้ไม่ไหวเลยเปลี่ยนใจไปตลาดน้ำอโยธยาเลย ตามแผนคือจะมาแวะตอนกลับ

เดินเที่ยวตลาดน้ำด้วยความเหนื่อยล้า เดินที่ตลาดน้ำประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เริ่มจะค่ำแล้วเลยรีบกลับเพราะปั่นจักรยานมา
ไม่ถึง 5 นาที ผมก็มาถึงโรงแรมพร้อมกับเสียสตางค์ 100 บาท ค่าเหมารถตุ๊ก ตุ๊ก (ตุ๊ก ตุ๊ก 3 ล้อ ไม่รู้ว่าที่นั่นเค้าเรียกตุ๊ก ตุ๊ก หรือเปล่า) ยอมรับว่าผมปั่นกลับไม่ไหว จริงๆ หมดแรง เหนื่อยๆ

กลับมาถึงโรงแรม ก็เอาของไปเก็บแล้วรีบวิ่งลงมาหาอะไรกินเพราะหิวมาก ที่ด้านล่างของโรงแรมจะเป็นร้านอาหาร ซึ่งร้าน Design สวยอยู่ เหมาะแก่การนั่งชิล ชิล มาถึงก็สั่งๆ เลยหิวจัด พี่ๆ เจ้าของร้าน 2 คน น่ารักมากเป็นกันเอง มีแซวด้วยว่า...ทำไม่เอาจักรยานใส่รถมา ชวนคุยเยอะแยะ เป็นกันเองดี ได้น้ำปั่นมาแล้วรีบกินจนลมถ่ายรูป แก้วน้ำน่ารักดี ออกแบบเป็นอักลักษณ์ของร้านแนววัยรุ่นหน่อยๆ อ่อ...ที่ผมพักนี้เป็นเกสต์เฮาส์นะครับห้องน้ำรวม แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรในห้องพักสบาย มีแอร์ ทีวี ตู้เย็น ครบ (พระคุณเกสต์เฮาส์)

สำหรับคนที่พักที่นี่ถ้าทานอาหารในร้านจะลด 10% นะครับ

หลังจากทานข้าวเสร็จผมขึ้นไปพักผ่อนบนห้องเพื่อรอเวลา สัก 2 ทุ่มครึ่ง ว่าจะไปเดินตลาดวอคกิ้งสตรีท อะไรสักอย่างนี้แหละอยู่ไม่ไกลจากที่พัก พี่เจ้าของร้านบอกมาว่าไปเดินชิล ชิลได้ ทำไปทำมา ตื่นมาอีกทีเที่ยงคืนกว่า คร่อกฟี้ อดเดินเลย (หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้)  ตื่นมาก็มานั่งจัดกระเป๋าเพราะตอนเช้าต้องรีบกลับไปกรุงเทพ

บอกเลยการตื่นเช้าเป็นอะไรที่ทำยากมาก ตื่นสายซะงั้นกะว่าไปถึงสถานีรถไฟสัก 8 โมง แต่...9 โมงแล้วเพิ่งตื่น เริ่มลังเลว่าจะนั่งรถตู้ไปกรุงเทพไหม แต่ตั้งใจมาแล้วว่าจะนั่งรถไฟ เลยยังเลือกนั่งรถไฟฟรีไปกรุงเทพ

ปล.อยากบอกว่าถ้ารีบห้ามขึ้นรถไฟ เพราะขบวนที่ผมขึ้นประกาศเข้าสถานีช้า 20 นาที นั่งปาดเหงื่อเลยครับ แต่..ไม่เป็นไร ความชิลมันมีมากกว่า

มาถึงกรุงเทพ ผมก็รีบทำธุรส่วนตัว เสร็จประมาณบ่าย 2 และแล้วเวลาก็เหลือตรงตามแผน ถ้าเวลาเหลือผมว่าจะไปดูนิทรรศการ NASA A HUMAN ADVENTURE THE EXHIBITION ไม่รอช้าก็ไปกันเลย อ่อค่าบัตรแพงมากแต่ไม่ใช่ปัญหาได้ศึกษารายละเอียดมา จะมีโปรโมชั่นและส่วนลดอยู่ตามกรณีของบริษัทที่เข้าร่วม ผมใช้เลขสมาชิกลูกค้าการบินไทย ซึ่งลดเหลือ 250 บาท ได้บัตรแล้วไปลุยอวกาศกันเลย

นิทรรศการมีหลายส่วนเดินไปเรื่อยๆ จะมีเครื่อง iPod ไว้กดเลขตามสถานที่ที่เราเดินเข้าชม ซึ่งเป็นนิทรรศการที่ให้ความรู้มากและสามารถเสริมสร้างจินตนาการสุดๆ ไปเลย ไปเอาข้อมูลมาแนบให้นิดนึง อธิบายเองไม่เก่ง ให้ Credit (www.thaiticketmajor.com)

โซนที่ 1 Gantry โซนทางเข้า โดยเลียนแบบทางเข้าสู่จรวด Saturn V อันทรงพลังที่ไปยังดวงจันทร์

โซนที่ 2 Dreamers เป็นโซนที่กล่าวถึงความฝันของมนุษย์ที่ต้องการศึกษาท้องฟ้าและดาราศาสตร์ และทุ่มเทชีวิตเพื่อแสวงหาวิธีการต่าง ๆ ในการสร้างฝันให้เป็นจริง กระทั่งมนุษย์สามารถเอาชนะแรงโน้มถ่วงด้วยการสร้างนวัตกรรมและออกไปสู่นอกโลกและเดินทางไปถึงดวงจันทร์ได้สำเร็จ

โซนที่ 3 Go Fever กล่าวถึงการที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องเดินทางไปพร้อมกับบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ โดยในที่นี้ โครงการอวกาศเลยกลายมาเป็นประเด็นที่ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา และ สหภาพโซเวียต เคยใช้มาเป็นประเด็นในการแข่งขันเพื่อแสดงให้โลกเห็นว่าใครก้าวหน้ามากกว่ากัน

โซนที่ 4 Pioneers กล่าวถึง การที่ผู้บุกเบิกค้นคิดนวัตกรรมครั้งประวัติศาสตร์ในการสร้างจรวดที่ทรงพลังที่สุดของโลกกระทั่งปัจจุบัน นั่นคือ Saturn V ที่สามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้สำเร็จ

โซนที่ 5 Endurance กล่าวถึงความมานะอดทนและนวัตกรรมการดำรงชีวิตของมนุษย์อวกาศ ตั้งแต่ การแต่งตัว อาหารการกิน และ ชีวิตประจำวันทั่วไป

โซนที่ 6 Innovation กล่าวถึง นวัตกรรมในอวกาศและโครงการสำรวจอวกาศต่าง ๆ รวมถึงนวัตกรรมอวกาศที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป

โซนที่ 7 Thai Innovation เป็นโซนที่รวบรวมนวัตกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับอวกาศของประเทศไทยมาจัดแสดง โดยนิทรรศการในส่วนนี้ได้รับความร่วมมือจาก ไทยคมและสำนักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ

GISTDA ที่จะนำอุปกรณ์ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศมาจัดแสดงร่วมอีกด้วย

ครับเป็นการเสร็จสิ้น MiNi Review การเดินทางระยะเวลาสั้นๆ (2 วัน) กับการมาทำธุระและแอบหนีเที่ยว ^^ แต่ใช้เวลาเขียน Review นานมาก
สิ่งที่อยากฝากไว้ อยากให้คนไทยทุกคนไปเที่ยวอยุธยาสักครั้งและอยากให้โรงเรียนทุกโรงเรียนนำเด็กๆ ไปเจอกับสถานที่จริง ผมรับรองว่าจะได้อะไรมากกว่าในห้องเรียนแน่ๆ
"เพราะชีวิตคือการเดินทาง"  เปิดตา เปิดใจ แล้วจะ...เห็นอะไรมากขึ้น เจอกันใหม่ Review หน้านะครับ หมายเหตุ:ถ้าว่างนะ

อัลบั้มภาพ 55 ภาพ

อัลบั้มภาพ 55 ภาพ ของ Mini Review เที่ยวหาดใหญ่ กรุงเทพฯ อยุธยา ทำได้ไง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook