Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (1)

Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (1)

Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (1)
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นับเป็นอีกทริปหนึ่งที่ Sanook!Travel ภูมิใจนำเสนอ โดยคุณ cold river จากห้องบลูแพลนเน็ต เว็บไซต์พันทิป ดอทคอมเขียนไว้ได้น่าอ่านมาก รวมทั้งภาพประกอบตลอดทริปยังสวยงาม และถือเป็นการท่องเที่ยวที่ค่อยๆ ละเลียดเดินทาง พาผู้ที่หลงใหลงการท่องเที่ยว เลาะลัดไปทุกซอกทุกมุม และเที่ยวครบทุกด้าน ครั้งนี้จึงเป็นการเล่าเรื่องในภาคแรกที่เที่ยวทั่วชุมพร พากิน พาเที่ยว พานอน ชมวิถีชีวิตชาวชุมพรได้อย่างถึงแก่น จนเราต้องขอเก็บเรื่องราวของจังหวัดระนองไว้ต่อในภาค 2 หากใครสนใจก็ตามไปเที่ยวกันให้ตลอดทริปนะคะ ว่าแต่เริ่มเที่ยวชุมพรกันก่อนเลย

ชุมพร-ระนอง 2 จังหวัดของภาคใต้ที่มีอาณาเขตแนบชิดติดกัน จังหวัดหนึ่งถือเป็นจังหวัดเริ่มต้น เป็นประตูสู่ภาคใต้ส่วนอีกจังหวัดเป็นจังหวัดแรกที่ติดกับทะเลอันดามัน แต่น่าเสียดายที่หลายคนผ่านไป หรือมองข้ามไป ในจำนวนนี้รวมทั้งผมด้วย

เพราะถ้าไม่นับว่าการนั่งรถผ่านแล้ว นี่ถือเป็นการเดินทางไปเที่ยวทั้งสองแห่งเป็นครั้งแรก และกลายเป็นครั้งแรกที่น่าประทับใจและหน้าจดจำ วันเวลา 4 วัน 3 คืนของการตะลอนเที่ยวสถานที่ต่างๆ ได้พบเห็นป่าเขาเขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ท้องทะเลแสนงามเงียบสงบและคงความบริสุทธิ์ไว้อย่างสมบูรณ์

ได้ชมสวนและชิมกาแฟรสดีที่ขึ้นชื่อของที่นี่ ได้ชิมอาหารทะเลสดอร่อย สัมผัสวิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้านที่เรียบง่าย ทั้งหมดได้เปลี่ยนมุมมองของผมจากเดิมที่แทบนึกไม่ออกถึงสถานที่ท่องเที่ยว กลายเป็นตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งที่ได้พบเจอ ทุกสิ่งสวยเหนือความคาดหมาย และตั้งใจว่าสักวันจะกลับมาเยือนมาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง



การเดินทางคราวนี้เริ่มต้นจากการรับคำชวนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ชุมพร-ระนอง)และเดินทางกับนกแอร์ เที่ยวบินกรุงเทพ-ชุมพร และระนอง-กรุงเทพ โดยแอบฝากความหวังไว้กับธรรมชาติเพื่อชมไฮไลท์ของทริป
นั่นคือไร่กาแฟที่เบ่งบานไปด้วยดอกกาแฟสีขาวปกคลุมไปทั้งภูเขาที่มักอวดโฉมช่วงเดือนธันวาคม แต่ขึ้นอยู่กับสวนและสภาพอากาศมาเป็นตัวกำหนดด้วย

นั่นเท่ากับว่าเราฝากความหวังไว้กับธรรมชาติและโชค แต่ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เพราะเราไปเร็วสัก 1 อาทิตย์เห็นจะได้ แม้จะแอบเสียดายเล็กๆ และความสวยงามธรรมชาติ และความประทับใจอื่นๆที่อบอวลตลอดทริป
ทำให้แปรจากความผิดหวัง เป็นความน่าจดจำ และอยากถ่ายทอดออกมาเป็นรีวิวตอนนี้

แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเดียว แต่อยากฝากให้ลองหาโอกาสไปเยือนทั้งสองจังหวัดนี้กันนะครับ เพราะมีความงาม ความน่าสนใจรออยู่มากมาย รับประกันความประทับใจเมื่อได้สัมผัสผมรับรอง... 

                                                  

จะว่าไปชื่อสถานที่ท่องเที่ยวของชุมพร-ระนองอาจไม่เป็นที่คุ้นหูมากมายนัก แต่จริงๆ แล้วเห็นเงียบๆ แต่ที่สนใจเพียบนะครับ
เป็นเหตุให้ตารางเวลาการเที่ยว 4 วัน 3 คืนคราวนี้ยาวเหยียด
ทางเดียวที่จะสามารถไปเที่ยวอย่างเต็มอิ่มได้ก็ต้องเริ่มต้นกันแต่เช้า เอ่อ..ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าเริ่มกันแต่มืด
เป็นทริปที่ออกจากบ้านเช้าสุดในรอบหลายปี เป็นเหตุให้มายืนอยู่ที่สนามบินดอนเมือง
ในสภาพมึนงงครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ผู้คนยามเช้าอันล้นหลามทำให้พยายามปลุกตัวเอง
จัดการโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ของนกแอร์ โชคดีที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว
สาวก้าวเท้ายาวๆ ไปรอที่เกทนั่งพักเรียกพลังเพื่อมีแรงกับการเที่ยวทริปนี้



และด้วยเวลาไม่นานเครื่องบินนกแอร์ลำสวยสีสันสดใสก็ร่อนลงที่สนามบินชุมพรเป็นที่เรียบร้อย
มองไปยังอาคารท่ามกลางแสงแดดอ่อนสีทอง ภายใต้ฟ้าใสมีริ้วเมฆจางๆ
บรรยากาศอันเงียบสงบของสนามบินยามนี้จึงสวยงามเป็นพิเศษ
คิดเข้าข้างตัวเองว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากที่นี่
และคงจะทำให้ทริปนี้ราบรื่น และประทับใจอย่างแน่นอน

จากสนามบินเรานั่งรถต่ออีกไม่ไกล กับสถานที่เริ่มต้นของทริปนี้
นั่นคือการสัมผัสวิถีชุมชนบางสน  อ.ปะทิว จ.ชุมพร ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้าน
เพื่อจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้านจริงๆ
จึงเป็นโอกาสดีหากใครอยากสัมผัสกับธรรมชาติ เพราะบริเวณนี้มีอาณาเขตติดกับอ่าวไทย
และโอบล้อมด้วยป่าโกงกางที่เขียวขจีและอุดมสมบูรณ์
โดยรูปแบบการท่องเที่ยวชาวบ้านเน้นกิจกรรมที่น่าสนใจ
ทั้งการออกเรือตกหมึกหรือตกปลา การพาไปปลูกป่าบริเวณป่าชายเลน
การนำปะการังไปปลูกใต้ทะเล ชมการเลี้ยงผึ้งของชาวบ้านแถวนี้
พร้อมทั้งบ้านพักแบบโฮมสเตย์ตั้งอยู่ริมน้ำ เรียกว่ามาแล้วได้สูดกลิ่นหอมของธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่มแน่นอน



และเมื่อก้าวแรกที่มาถึง รอยยิ้มและความตั้งใจมุ่งมั่นของชาวบ้านที่มาต้อนรับเราได้ใจไปแบบเต็มๆ
โดยจัดโต๊ะเตรียมไว้ให้สำหรับอาหารเช้ามื้อแรกที่ชุมพร
แต่จากวิวริมคลอง สายลมพัดเอื่อยอยู่รอบตัว พวกเราแอบเล็งพื้นที่ลานกว้างริมน้ำ
ที่มีโต๊ะไม้ต่อขึ้นมาจากพื้นเล็กๆ ด้านล่างมีช่องสำหรับหย่อนขาลงไปแกว่งด้านล่าง
อารมณ์นั่งริมคลองแสนสุขขนาดนี้เราไม่ยอมพลาดอยู่แล้ว จึงย้ายกันไปนั่งอย่างพร้อมเพรียง
สารภาพว่า ณ ตอนนั้น อากาศแบบนั้น ความใฝ่หาสูงสุดของเราไม่ใช่อาหารเช้า
แต่เป็นหมอนสักใบ นอนท่ามกลางลมเย็น เสียงนกร้องสลับกับเสียงเรือที่แล่นผ่านมากกว่าหลายเท่า 5555  

แต่ดูเหมือนจะมีคนรู้ทัน เพราะอึดใจเดียวกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นโชยมาแตะจมูก
ตามมาด้วยปาท่องโก๋ ข้าวต้มปิ้ง และขนมสารพัดชนิดอีกจานโต
ปิดท้ายด้วยข้าวต้มปลาร้อนๆ ทั้งอร่อย และเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

เมื่ออิ่มหนำสำราญ และนั่งเล่นกันพอสมควรก็ได้เวลาออกไปชมแถวนี้กันแล้ว
เรือสีสดแล่นมาจอดที่ท่าน้ำรอเราอยู่แล้ว ก้าวขึ้นเรือมุ่งหน้าสู่ทะเลที่ปากอ่าวไม่ไกลจากจุดนั้นเท่าไหร่
ระหว่างทางมีบ้านเรือน และชาวบ้านชาวประมงอยู่สองฝั่ง
เป็นภาพปกติที่ดำเนินมานานแสนนาน แต่คนแปลกถิ่นจากเรากลับมองว่ามันน่าสนใจ
และเพิ่มรสชาติของการนั่งเรือได้มากมาย
รู้สึกตัวอีกที เรือเล่นมาถึงปากอ่าวออกสู่ท้องทะเลกว้างข้างหน้า
ดื่มด่ำกับบรรยากาศแล้วเรือวกกลับไปตามลำคลองทางเดิม เพื่อตรงไปยังเป้าหมายต่อไป

ฝั่งนี้ดูหมู่บ้านของชาวบ้านริมน้ำบางตากว่าฝั่งที่เราเพิ่งผ่านมาหลายเท่า
พื้นที่ส่วนใหญ่จึงเป็นต้นไม้หนาทึบ แม้แดดจะร้อนแรง และได้ความเย็นจากต้นไม้มาช่วยบรรเทาไว้
และเนื่องจากวันเดินทางของเราน้ำบริเวณนี้ขึ้นสูงกว่าปกติ เลยทุลักทุเลหน่อยสำหรับการลงเรือ
แต่ก็เรียกรสชาติและเสียงหัวเราะให้การกับเดินทางอันสนุกสนาน

เดินเลาะชายป่าไปอีกเล็กน้อยก่อนจะมาโผล่ที่ผืนแผ่นดินกว้าง
มองไปสุดขอบชายป่าโกงกางที่ไกลออกไป มีต้นไม้ที่ชาวบ้านเพิ่งลงเพื่อเพิ่มอาณาเขตของป่า
หากแวะมาเที่ยวที่นี่อย่าลืมสอบถามชาวบ้านนะครับ เพราะจะมีต้นกล้าและอุปกรณ์สำหรับลุยโคลนลงป่า
ให้ได้สัมผัสซึ่งมีทั้งความสนุกสนาน และได้ช่วยธรรมชาติอีกแรง

                                           

และได้เวลาอันรอคอยหลังจากเหนื่อย และตากแดดตากลมทะเล
นั่นคือเวลาของอาหารกลางวัน แม่ครัวเลือดชาวน้ำเค็มเตรียมอาหารไว้ต้อนรับเราแบบจัดเต็มสุดๆ
ทั้งความสดและฝีมือทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยมาก
โดยเฉพาะแกงส้มชะอมกุ้งตัวโตๆ ส่วนตัวชะอมกลิ่นไม่ฉุดจัด น้ำแกงเปรี้ยวและเผ็ดแบบสะใจ
และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ปูม้าที่หวานสดกับน้ำจิ้มซีฟูดส์รสจัด
โอย แค่ดูรูปและนึกถึงเวลานั้น อยากจะแล่นไปชุมพรเพื่อกลับไปอร่อยอีกสักมื้อเลยจริงๆ ครับ 555

จัดการมื้อเที่ยงแสนอร่อยเรียบร้อย เราก็พร้อมจะออกเดินทางกันต่อ
เพราะมีสถานที่สวยงามอีกหลายที่ที่เราไปสัมผัส และนี่เป็นแค่เริ่มต้นของทริปนี้เท่านั้น
ไม่นานนักรถมาจอดนิ่งสนิทที่ศาลาตั้งโดดเดี่ยวอยู่แถวนั้น พอเปิดประตูรถออกมาเท่านั้นแหละ
ลมทะเลพัดตึงเข้าใส่ตัวแบบไม่ยั้ง เพราะที่นี่คือหนึ่งในชายหาดของชุมพรที่ผมภูมิใจนำเสนอมาก
“อ่าวทุ่งซาง” หาดทรายลักษณะโค้ง และมีภูเขาหินปูนยื่นลงไปในทะเล
ทรายสีขาวละเอียดเป็นแนวยาวสุดตา สายลมและเสียงคลื่นดังกระหึ่ม
เพราะที่นี่ถือเป็นหาดที่นักท่องเที่ยวยังไม่คุ้นหูมากนัก จึงยังคงบริสุทธิ์แบบที่หาได้น้อยแล้วสำหรับทะเลบ้านเรา

นอกจากความสวยงามแล้ว ที่น่าจะเป็นเสน่ห์ส่วนหนึ่งคงเพราะที่นี่ไม่มีบ้านพัก ไม่มีร้านค้า
ไม่มีเก้าอี้ริมหาด หรือสิ่งอำนวยความสะอวกอื่นใด ซึ่งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสท้องทะเลจริงๆ
วิธีเที่ยวที่อยากแนะนำคือมีเวลาให้สักหน่อย ค่อยๆ เดินทอดน่องไปบนผืนทรายเรียบเนียน
เงยหน้ารับลมทะเลที่มาปะทะที่ใบหน้า เอียงหูฝั่งเสียงคลื่นที่ซัดสาดสู่ฝั่ง
หากร้อนเดินเข้าไปหลบใต้เงาของหินปูนรูปร่างแปลกตาที่อยู่ใกล้ๆ นั้น
บอกเลยครับเป็นการเที่ยวทะเลให้รู้สึกแปลกใหม่และประทับใจมากครั้งหนึ่งของผมเลย

ห่างจากหาดทุ่งซางไปไม่ไกล มีอีกสถานที่หนึ่งที่เราแวะเยี่ยมชมมา
โดยสังเกตได้จากป้ายใหญ่ตั้งเด่นอยู่ริมทาง
"หนึ่งในสยาม เนินทรายงามที่ชุมพร" (The most distinct Thai sand dune in Chumphon)
ที่นี่หากผ่านมาอาจจะมองว่าเป็นเพียงเนินเขาลูกเตี้ยๆ แต่ความน่าสนอยู่ที่
เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เพราะเป็นการพัดพาเอาทรายจำนวนมหาศาลด้วยแรงลมในฤดูมรสุม
ก่อนจะเจออากาศร้อนแดดแรงในช่วงนอกมรสุม ผ่านวันเดือนปีมาอย่างยาวนาน
จนกลายเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ ต้นไม้และพืชพรรณจึงแตกต่างจากบริเวณข้างเคียงอย่างเห็นได้ชัด

แต่เที่ยวที่นี่ต้องอาศัยแรงนิดนึงนะครับ เพราะต้องเดินขึ้นเนิน แม้จะไม่สูงมาก
แต่เพราะพื้นที่เป็นทรายแห้งแบบทะเลทราย ทำให้แต่ละก้าวเล่นเอาเหนื่อยพอควรเลย
จากยอดเนินทรายพวกเราเดินเลาะต่อไปหน่อยเพื่อลงเนินไปยังฝั่งด้านใน
ที่นี่ยังเป็นชายหาดอีกแห่งที่เงียบสงบ เหมาะแก่การมาเล่นยามเย็น
ในบรรยากาศที่เงียบสงบ

เราเดินเล่น ถ่ายรูปกันจนแดดเริ่มอ่อนแรง
ระหว่างทางขากลับมาหยุดที่วัดแก้วประเสริฐ
สารภาพว่าตอนรถแล่นไปยังเนินทรายงาม แอบมองมุมนี้และสะกิดให้พี่ที่ร่วมเดินทางดู
เพราะติดใจกับความงามของธรรมชาติ แต่เวลาอันจำกัดเลยตัดใจและคิดเอาว่าจะซึมซับความงามแบบจดจำ
แต่เหมือนโชคเข้าข้างที่ได้แวะแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะเป้าหมายแรกคือแค่แวะมาเข้าห้องน้ำ
ทันทีที่รถจอด ไม่สนใจละห้องน้งห้องน้ำ วิ่งไปบริเวณหน้าวัดเพื่อเก็บภาพสวยๆ ตรงหน้าแบบไม่คิดชีวิต

ตอนแรกจะใช้เวลาอยู่ที่นี่สักห้านาทีสิบนาที แต่สายตาเหลือบไปเห็นทุ่งทานตะวันเล็กๆ อีกฝั่งถนน
ขอหน่อยเหอะ เลาะเข้าไปในป่าริมทางอีกหน่อย เก็บภาพดอกทานตะวันริมทะเล
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง
มองอยู่เนิ่นนาน ผมไม่รู้หรอกว่ามันสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นหรือเปล่า
แต่มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ประทับแน่นภาพหนึ่งของทริปนี้
เป็นความบังเอิญที่สวยงามและแสนสมใจ ....

ก่อนกลับที่พักคืนแรกในชุมพร เราแวะทานข้าวกันที่ริมทะเลเสียหน่อย
เสียดายที่พระอาทิตย์ลาลับไปโดยสมบูรณ์แล้ว ความตั้งใจว่าจะเดินเล่นริมทะเลแถวนั้น
เลยต้องตัดออกไปอย่างน่าเสียดาย

นั่งไม่นานอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
และเป็นอีกมื้อที่อาหารทะเลมาเต็ม (แหงล่ะ มาถิ่นทะเลพลาดได้ไงเนอะ 55555)
โดยเฉพาะปูนิ่มทอดกระเทียม กับยำไข่แมงดานี่อร่อยได้ใจไปเลย
และเพิ่มรสชาติอาหารด้วยเรื่องเที่ยว เมื่อมีผู้เสนอว่าสนใจไปดูทะเลหมอกบนเขาดินสอไหม
ตอนนี้หูผึ่งออกเสียงไปเป็นคนแรกๆ ว่าไปๆๆๆๆ
พูดแล้วแอบเขิน ต้นเสียงนี่แหละ ขึ้นเขาแบบหมดแรงหมดสภาพ แทบคลานขึ้นไปชมวิวกันทีเดียว 5555

และเพราะภารกิจสำคัญคือการขึ้นเขาดินสอต้องตื่นตั้งแต่ประมาณตีห้า
แถมเรามาถึงที่พักแบบดึกกว่าที่คาดคือ นานาบีช ที่ห่างจากหาดทุ่งวัวแล่นเพียงแค่ข้ามถนน
จึงต้องเข้าห้องแล้วอาบน้ำนอนเอาแรงแทบทันที

กว่าจะได้เดินออกมาสำรวจโรงแรม(แบบพลาดการเดินเล่นริมหาดทุ่งวัวแล่นไปอย่างน่าเสียดาย)
ก็เป็นช่วงสายอีกวัน ที่นี่มีห้องพักหลายแบบแต่เน้นที่ความเป็นไทย
อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ต้นไม้เขียวดูร่มรื่น มีสระว่ายน้ำกว้างๆ น่าเล่นแต่เวลาไม่พอเลยอด
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเมื่อแวะมาเที่ยวชุมพรนะครับ

ภารกิจพิชิตยอดเขาสูงสุดของ อ.ประทิว ของเราเริ่มต้นกันแต่เช้ามืด
แต่เพราะภาพทะเลหมอกในหัว การตื่นเช้าจึงมิใช่อุปสรรคแม้แต่น้อย
ทุกคนมาตรงเวลานัดหมายแบบพร้อมเพรียง นั่งรถฝ่าความมืดไต่เขาขึ้นไปจอดนิ่งที่บริเวณทางขึ้นสู่เขาดินสอ
รอบตัวมีแต่ความมืดมิด แต่เราไม่ย่อท้อ ออกเดินกันอย่างกระฉับกระเฉง
ผ่านหนึ่งร้อยเมตร ผมยังพลังเหลือเฟือ เดินอยู่ในกลุ่มผู้นำ 3-4 คนแรก
ผ่านต่อไปอีกหน่อย เจอสกัดดาวรุ่งเมื่อเป็นทางสูงชัน ย้ำว่าชัน และชันมาก
ชัดแบบไม่เกรงใจใคร ชันระยะตลอดทางหลายร้อยเมตร
พลังที่ว่าเยอะๆ ในตอนแรกอยู่ๆ ตกวูบหายไปอย่างไม่มีปี่มีขลุย แต่ละก้าวมันช่างยากเย็น
หอบแล้วหอบเล่าก็ยังไม่ถึงปลายเดิน จนมากลางทางถึงรู้ตัวว่าอยู่รั้งท้ายสุดของขบวน
แต่เอาจริงๆ ถ้าทางกลับใกล้กว่านี้ ไม่มืดเท่านี้ อาจขอกลับไปแล้วก็ได้ 555
และแล้วความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น ตามมาทันคนอื่นจนได้
ห๊ะ!!!  อะไรนะ ตรงนั้นเป็นจุดพักรอแรกที่คนอื่นไปนั่งพักรอเราหรอกเหรอ
จะบอกว่ามาช้าเพราะมัวชมวิวฟ้าสีสวยยามเช้า หน้าก็ซีดออกอาการขนาดนั้น แหะ แหะ ....



นั่งรับลมต่อไม่นาน คนอื่นพร้อมเดินทางกันหมด เหลือผมกับพี่ร่วมอุดมการณ์อีกหนึ่งคน
เปล่งเสียงสั่นรัวด้วยความเหนื่อย ไปก่อนเลยๆ เดี๋ยวตามไปๆ
แต่นั่งต่อได้ไม่นานก็พ่ายแพ้ต่อฝูงยุงแห่งเขาดินสอ เพราะมีตัวเลือกให้ดูดเลือกแค่ 2 คน
แถมเหงื่อโทรมกายช่างเรียกยุงได้ดีเหลือเกิน จึงตัดใจชวนกันออกเดินกันต่อ
เดิน เดิน เดิน สลับกับพักแบบนั่งแผ่หรากับพื้น สลับกับชมท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นช่วงๆ
ก่อนจะหมดสภาพไปกว่านี้ เราก็มาถึงจนได้ จุดชมวิวเขาดินสอ

จุดชมวิวสร้างเป็นลานไม้กว้าง มองลงไปด้านล่างสุดสายตาเป็นวิวพาโนรามา
ซึ่งเขาดินสอนี้มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 400 เมตร พันธุ์ไม่ส่วนใหญ่เป็นพืชเฉพาะถิ่นภาคใต้
มองออกไปเป็นผืนป่าอุดมสมบูรณ์และเทือกเขาน้อยใหญ่
รวมถึงโค้งน้ำของทะเลเบื้องล่าง แม้วันนั้นจะไม่มีหมอกอย่างที่ใจหวัง
แต่ถูกแทนด้วยท้องฟ้าสีชมพูอมส้ม ยืนดื่มด่ำบรรยากาศจนพระอาทิตย์แรกของวันออกมาอวดโฉม
เป็นการเริ่มต้นวันเที่ยวที่สวยงามอีกวันแล้วสิครับ

เราตัดสินใจเดินตากแดดอ่อนของยามเช้า และอากาศเย็นๆ ด้วยลมบนเขาเรื่อยๆ เพื่อลงมายังเบื้องล่าง
พบว่าขาลงนี่เรียกว่ารื่นรมย์ของจริง นอกจากจะเหนื่อยน้อยกว่าขาขึ้นสักสิบเท่าเห็นจะได้แล้ว
ต้นไม้ดอกไม้ยังมีให้ชมตลอดทาง

และมาถึงข้างล่าง ภาพสะดุดตาคือป้ายเขาดินสอที่มีรูปเหยี่ยวตัวโตอยู่ด้านข้าง
เพราะที่นี่มีความสำคัญและถือเป็นไฮไลท์คือเป็นจุดชมเหยี่ยวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
ถ้าใครแวะมาเที่ยวช่วงเดือนตุลาคม อย่าพลาดมาที่นี่นะครับ เพราะจะมีเทศกาลดูเหยี่ยวด้วย
เพราะช่วงเวลานั้นจะมีเหยี่ยวที่อพยพหนีหนาวจากไซบีเรียหลากหลายพันธุ์
เหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ (Black Baza) เหยี่ยวผึ้ง (Oriental Honey-Buzzard)
เหยี่ยวนกเขาพันธุ์ญี่ปุ่น (Japanese Sparrowhawk)
และ เหยี่ยวหน้าเทา (Grey-faced Buzzard)ให้ได้ชมกัน
ว่ากันว่าปีหนึ่งๆจะมีเหยี่ยวมากกว่า 2 แสนตัวผ่านมาแถบนี้
เพราะเส้นทางการบินสู่แหลมมลายู จุดนี้จะเป็นคอขวดที่ผืนป่าอุดมสมบูรณ์นั่นเอง

จากเขาดินสอเราลงมาที่นานาบีช เพื่อทานอาหารเช้าหลังจากเหนื่อยเหงื่อโทรม
อาบน้ำพักผ่อนจนช่วงสาย ก็ออกเดินทางกันต่อ
โดยเริ่มที่สัการะศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บริเวณหาดทรายรี อันเป็นสถานที่ที่พระองค์สิ้นพระชนม์
ซึ่งตัวศาลสีขาวเด่น และพื้นที่เป็นหินอ่อนทำให้มีความเย็น  ได้บรรยากาศขรึมขลัง
ทุกคนที่เข้าจึงกราบไหว้ท่าน “เสด็จเตี่ย” กันอย่างเงียบๆ และสงบเสงี่ยม
นอกจากจะมีเสียงประทัดดังรัวๆ ติดกันเป็นช่วง เพราะถือเป็นรูปแบบของการเคารพท่านอีกแบบ
นอกจากดอกกุหลาบธูปเทียนที่เป็นเครื่องไหว้หลัก

ด้านหน้าศาลฯ จำลองเป็นหัวเรือพระร่วง หันหน้าสู่ทะเล
จุดนั้นจึงถือเป็นจุดชมวิวหาดทรายรีเบื้องล่างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ก่อนจากมาบริเวณหน้าศาลรถไอศกรีมกะทิจอดอยู่เรียกความสนใจจากทุกคน
ทั้งที่เพิ่งกินข้าวเช้าไปไม่นาน แต่ไอศกรีมกะทิเข้มข้นเสิร์ฟในลูกมะพร้าว
ที่ขูดเนื้ออ่อนๆ รออยู่ด้านล่าง เติมข้าวเหนียวซะหน่อย โรยถั่ว
ปิดท้ายด้วยมะพร้าวเชื่อม หวานๆ มันๆ ช่างครบเครื่อง
มันอุดมไปด้วยความอร่อย ...

จากเขาหนึ่งลูกลงมาพื้นราบและขึ้นเขาอีกลูกต่อทันที
เพราะที่ที่รอเราอยู่คือจุดชมวิวแห่งใหม่ของเมืองชุมพร ที่เรียกว่า “เขามัทรี”
แอบตื่นเต้นเล็กน้อย ถ้าเท้าความคือทริปนี้ไปกันหลายคน แบ่งรถออกเป็นสองคัน
คันที่นำหน้าเราไป วิ่งฉิวขึ้นทางชันไปเรียบร้อย ส่วนคันเราก่อนขึ้นสู่จุดบนสุด
มีเหมือนแรงหมด ชะลอก่อนขึ้นเสียนาน มองไปรอบๆ ได้ข่าวว่าคันนี้แต่ละคน
คือผู้อยู่แนวหลังของการขึ้นเขาดินสอกันครบครัน (ช่างจัดรถได้อย่างเหมาะเจาะจริงๆ 555)
ไม่ ไม่ ไม่นะ ไม่เดินขึ้นนะค้าบบบ เดินขึ้นไม่ไหวแล้ว


หลังจากออกแรงลุ้น ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
รถคันเราแล่นขึ้นทางชันจนมาถึงจุดชมวิวได้ในที่สุด ท่ามกลางโล่งใจของพวกเราทั้งคันรถ
(ปาดเหงื่อ ปาดเหงื่อ 555)

ด้านบนมีร้านอาหาร ร้านกาแฟไว้บริการ และยังมีจุดที่จัดไว้ให้ได้ถ่ายรูปอีกหลายมุม
แต่ถ้าถามจุดเด่นมากที่สุดคงเป็นเพราะสามารถมองลงไปยังปากน้ำเมืองชุมพร
ได้อย่างชัดเจนจากมุมสูง ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ
จุดที่น้ำเชื่อมต่อทะเล รวมทั้งบ้านเรือนเรียงรายเป็นพรืดถนนสองฝั่งริมน้ำ
และการดำรงชีวิตที่ผูกพันกับสายน้ำและท้องทะเลยังคงดำเนินเรื่อยมาแล้วเป็นเวลานาน

และที่นี่ยังสามารถขึ้นไปสักการะ เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์อโลกิเตศวร ปางมหาราช
ที่สร้างขึ้นเป็นองค์ขนาดใหญ่สีขาว เห็นเด่นชัดเมื่อมาถึงยอดเขามัทรีแห่งนี้
เพราะสร้างขึ้นเหนืออาคารหลักตรงกลาง

มาถึงอาหารกลางวัน วันนี้เรามาที่ร้านชื่อแปลก คือ “ร้านยายปวด”
อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนัก ห่างจากถนนใหญ่เข้าซอยวัดบางหมากประมาณ 600 เมตร
หน้าตาร้านเป็นเพิงง่ายๆ ธรรมดา แต่ร้านนี้รับรองรสชาติไม่ธรรมดาแน่
เพราะช่วงกลางวันคนทานกันแน่นร้าน แถมเห็นจากรีวิวหลายๆอัน
ได้ข่าวว่าบางทีมีนักท่องเที่ยวจากมาเลย์ตามมาชิมเลยทีเดียว

เราเลือกที่นั่งด้านหลังร้าน เป็นเพิงสร้างใต้ร่มไม้ใหญ่
ได้บรรยากาศต่างจังหวัดดีชะมัด
หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย นั่งรอไม่นานอาหารเริ่มมา
เริ่มเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ปลาอินทรีย์ทอดที่ตัดมาชิ้นใหญ่มาก นึกภาพตัวปลาเต็มๆ จะใหญ่ขนาดไหน
สะตอผัดกุ้ง เคยกินแต่หมู เจอคั่วกลิ้งปลาไปอร่อยกว่ามาก
และยังมีน้ำพริกกินกับผักต้มกะทิ อันนี้เพิ่งเคยลองครั้งแรกแอบติดใจๆ

แต่ที่ชอบใจในรสชาติเป็นพิเศษต้องนี่เลย แกงส้มอ้อดิบใส่ปลา
รสเปรี้ยว และเผ็ดถึงรสถึงชาติมาก โดยเฉพาะอ้อดิบผมเคยกินมาเมื่อนานแล้ว
นี่คงเป็นการได้ลิ้มรสอีกรอบในหลายๆ ปี เป็นพืชตระกูลบอน
ตัวชิ้นจึงมีน้ำแกงซึมเข้าเนื้อ มันช่างเข้ากันกับแกงส้มสุดๆ
ปิดท้ายด้วยปลาเค็มผัดกะทิ ที่เราลองสั่งมาชิมดู
ปรากฏว่าอร่อยเกินคาด ทั้งรสชาติเค็มๆ ของปลา ที่พอผัดกับกะทิข้นๆ มันๆ อมหวานนิดๆ
กินคู่กับพริกสดซะหน่อย โอย พูดถึงแล้วน้ำลายไหล 555

อีกหนึ่งอย่างที่เป็นความภูมิใจของชาวชุมพร นั่นคือ “กาแฟ”
มาถึงถิ่นเราจึงไม่ลืมไปชม “กาแฟถ้ำสิงห์” ให้ถึงสวนกันเลย
กาแฟที่นี่จะปลูกพันธุ์โรบัสต้าเป็นหลักต่างจากภาคเหนือที่มักเป็นพันธุ์อารบิกา
เพราะด้วยสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม รวมทั้งดินคุณภาพดีของที่นี่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ชุมพร
กลายเป็นแหล่งปลูกสำคัญและมีจำนวนมากที่สุด ที่ตำบลถ้ำสิงห์ อ. เมืองชุมพรแห่งนี้
จึงมีการรวมกลุ่มเกษตรกรจัดตั้งเป็น “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟบ้านถ้ำสิงห์” ขึ้นมา
เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการปลูก รวมทั้งแปรรูปสินค้าในนาม กาแฟถ้ำสิงห์

ตามที่เกริ่นไปในตอนแรก ความหวังของเราในการเดินทางคราวนี้คือการยลโฉมดอกกาแฟ
ที่ว่ากันว่ายามออกดอกเต็มต้นสีขาวจะสวยงามมาก แต่นั่นแหละ ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ
เราคงสั่งหรือเปลี่ยนแปลงให้ได้ดังใจคงไม่ได้ งานนี้เลยอดเพราะดูเหมือนเราจะมาถึงคลาดกับช่วงออกดอก
จึงได้แค่ชมเมล็ดกาแฟทั้งแบบดิบ แบบสุก รวมถึงดอกกาแฟที่ยังตูมเห็นเป็นปุ่มสีเขียว
แต่เท่านี้ก็ดีใจแล้วครับ เพราะเป็นการได้เห็นต้นกาแฟแบบใกล้ชิดแบบนี้เป็นครั้งแรก
ดูสวยงามน่าชมมากกว่าที่คิดเยอะเลย

ภายในบ้านผู้นำชุมชนที่เราเข้าไป เป็นทั้งสวนกาแฟ และกระบวนการผิดขั้นตอนต่างๆ ครบวงจร
ทั้งลานกาแฟ การเก็บกาแฟ รวมทั้งโรงอบกาแฟเพื่อนำไปคั่วและแปรรูปต่อ
จนกระทั่งแบบที่มีเป็นซอง แต่ไม่ใช่ทรีอินวันแบบที่เราเห็นหรือคุ้นเคย
เพราะที่นี่ก้าวขึ้นไปอีกขั้นเป็นกาแฟ 4 in  1 เลยนะค้าบบบบบ
เพราะนอกจากกาแฟสำเร็จรูปที่เคยเห็นที่นี่ยังผสมดอกคำฝอยเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นให้ถูกปากมากขึ้นอีกด้วย

จากสวนกาแฟ ไปสวนผลไม้กันต่อเลย
เพราะเดินทางต่ออีกไม่ไกล เข้าไปยังสวนคุณลุงวิรัช กำเนิดโทน
พอเข้าสู่สวนก็สังเกตได้ถึงความร่มรื่นของสวนผลไม้ โดยเฉพาะที่เห็นชัดคือบรรดาต้นสละ
ที่กำลังออกผลสีแดงที่โคนต้น เรียงรายไปตลอดทาง จนรถไปจอดที่หน้าบริเวณบ้าน
คุณลุงออกมาต้อนรับขับสู้ หากดูทั่วไปคุณลุงก็เหมือนชาวสวนทั่วไป
แต่เมื่อคุณลุงเล่าถึงความเป็นมา การดำเนินชีวิต อุปสรรคและเคล็ดลับการทำสวนผลไม้ให้สำเร็จ
สิ่งที่เราสัมผัสได้คือความสดใส คุณลุงค่อยๆเล่าอย่างอารมณ์ดี หยอดมุกตลกมาเรื่อยๆ
พร้อมกับเสียงหัวเราะของพวกเราที่เดินไปคุยไปลัดเลาะเข้าไปในสวน
ทั้งทุเรียน สละ มังคุด สละ ต้นไม้ใหญ่และผลไม้อีกหลากชนิด
แต่ช่วงหน้านี้มีเพียงสละที่กำลังออกผลดกจนแต่ละกิ่งโน้มลงมาเกือบจะถึงพื้น

นอกจากที่นี่จะเป็นสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และได้ผลผลิตดีแล้ว
ความน่าสนใจก็อยู่ที่ตรงคุณลุงวิรัชนี่แหละครับ
เพราะคุณลุงถือเป็นเกษตรกรที่น่าชื่นชมอีกท่านหนึ่ง ที่มีแนวคิดทำสวนแบบผสมผสานมานานหลายสิบปี
เคยปลูกมาแล้วทั้งเงาะ ขนุน มะม่วง มะยม มะรุม จนปัจจุบันผลไม้หลักคือทุเรียน
ตามมาด้วยสละที่คุณลุงนำพันธุ์มาจากจันทบุรี และกลายเป็นสละแสนอร่อย
นอกจากนั้นยังยึดถือหลักเศรษฐกิจพอเพียง วิถีชีวิตที่เอื้ออารี
จนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านแถบนี้ จึงได้เป็นประธานกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์บ้านถ้ำสิงห์
เป็นคณะกรรมการสมาคมชาวสวนทุเรียนเป็นต้น

นอกจากได้ความรู้ และชื่นชมทัศนคติของคุณลุงแล้ว
ยังชวนให้เราได้ชิมสละหวานหอมที่พิเศษตรงได้เด็ดจากต้น ปอกเปลือกส่งเข้าปาก
มันช่างเป็นการชิมผลไม้ที่อร่อย และได้อารมณ์สุดจริงๆ

ปิดท้ายวันด้วยการเข้าพักที่ ตามสบายรีสอร์ท  ที่ตั้งอยู่ในแวดล้อมของธรรมชาติ
ทั้งต้นไม้และลำธารเล็กๆ บ้านพักแต่ละหลังยังออกแบบได้น่ารัก
และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแต่ละหลัง แต่มีข้อดีในแต่ละแบบ
แค่ลองเลือกหลังที่ชอบที่สุดก็เป็นความสนุกของการมาพักที่นี่แล้ว

ของเราพักกันที่ตรงอาคารใหญ่หลังกลางรีสอร์ท ที่ด้านล่างเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบน ห้องเรียงรายแบบเรือนแถวได้บรรยากาศไปอีกแบบ
ภายในห้องกว้างขวาง แต่ละห้องมีพื้น ผนัง หรือโทนสีในการตกแต่งแตกต่างกัน
ตรงด้านประตูทางเข้าติดกับชานด้านหน้า เป็นกระจกกว้างสามารถเปิดม่านรับแสงเข้ามาในห้องได้เต็ม
ส่วนด้านหลังสามารถเปิดออกไปเป็นชานเพื่อชมวิวอีกด้านได้อีกด้วย

ยามรุ่งเช้าของวันต่อมา เราต้องโบกมือลาจังหวัดชุมพรเพื่อเดินทางต่อไปยังระนอง
จังหวัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในสภาพภูมิศาสตร์ที่ดี มีทั้งแม่น้ำ ภูเขา ทะเล น้ำตก น้ำแร่ ครบเครื่อง
มีอากาศเย็นสบาย มีความเป็นเมืองเงียบสงบแต่น่ารัก และด้วยพื้นที่ด้านตะวันตกติดกับประเทศพม่า
ผู้คนชาวพม่าจึงข้ามฝั่งมาทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้หลายๆ วัฒนธรรมซึมเข้ามา
ยิ่งเติมเสน่ห์ของเมืองนี้มากขึ้นไปอีก

(สามารถติดตามตอนต่อไป ซึ่งคุณ cold river จะพาเราเดินทางต่อเนื่องไปยังจังหวัดระนอง)

อัลบั้มภาพ 107 ภาพ

อัลบั้มภาพ 107 ภาพ ของ Let’ s go South " ชุมพร - ระนอง " กรุ่นกาแฟ ... เกลียวคลื่น ... และผืนป่า (1)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook