เที่ยวสตูล ทริปหน้าร้อนแรกที่หลีเป๊ะ

เที่ยวสตูล ทริปหน้าร้อนแรกที่หลีเป๊ะ

เที่ยวสตูล ทริปหน้าร้อนแรกที่หลีเป๊ะ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทริปเที่ยวสตูลครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผมได้เห็นภาพเธอในครั้งนั้น... จวบจนวันนี้นับเป็นเวลา 5 ปีที่ผมเฝ้ารอจะพบเธอ


รถตู้บรรทุกผู้โดยสารเต็มคันมีปลายทางที่ท่าเรือปากบารา อำเภอละงู จังหวัดสตูล จุดเริ่มต้นของการเดินทาง  ฝนโปรยเม็ดเปาะแปะๆ กระทบกระจกหน้ารถตั้งแต่พวกเราออกจากสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา  ป้ายทางหลวงบนเส้นทางบอกพวกเราว่าเข้าใกล้ที่หมาย แล้วหัวใจผมก็กระชุ่มกระชวยขึ้นทันทีเมื่อเห็นป้ายท่าเรือปากบาราทริปนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจในฉากทะเลสวยๆ ของภาพยนตร์เรื่อง อันดากับฟ้าใส ซึ่งฉายเมื่อปี 2540 เป็นเรื่องราวของ "อันดา" ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบทะเลและการดำน้ำเป็นชีวิตจิตใจ  เขาเฝ้าฝันถึงหญิงที่ตนเองรัก จนท้ายที่สุดก็ได้พบรักกับหญิงสาวชื่อว่า "ฟ้าใส" และฝ่าฟันอุปสรรคจนได้ครองรักกัน แต่ในเวอร์ชันของผม ผมพบหญิงคนนั้นในอินเทอร์เน็ตและขอทึกทักว่าเธอก็คือฟ้าใสสำหรับผมจากหาดใหญ่ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งพวกเราก็ได้ยินเสียงคลื่นของทะเลสตูลซัดเข้าสู่หาด 

จากนั้นในเวลาใกล้เที่ยงก็ทั้งหิ้วทั้งลากสัมภาระเดินเลือกร้านซึ่งมีอยู่หลายร้านบริเวณท่าเรือเพื่อตีตั๋วเรือไปยังเกาะหลีเป๊ะ จนได้ตั๋วไป-กลับเรียบร้อยจึงทยอยเดินไปยังเรือสปีดโบ๊ตรูปร่างเปรียวลมที่เทียบท่ารอ  คลื่นมนุษย์ในชุดสีสันฉูดฉาดพร้อมหมวกใบเก๋เรียงแถวลงเรือซึ่งโคลงตามแรงคลื่น  พวกเราคงต้องใช้เวลาอีกราว 2 ชั่วโมงบนเรือลำนี้ ในใจผมพลันผุดคำถามขึ้นมากมายว่า เธอคนนั้นหน้าตาจะเหมือนอย่างที่ผมเห็นไหม จะอ่อนโยนแค่ไหนกัน เธอจะเป็นมิตรกับผมหรือเปล่า แล้วเธอจะรออยู่ที่อีกฟากฝั่งของทะเลแห่งนี้หรือไม่ ระหว่างที่ความคิดป่วนอยู่ในหัวผม เรือสปีดโบ๊ตก็เริ่มเคลื่อนตัวอย่างเนิบช้า ค่อยๆ แหวกคลื่นอย่างมีมารยาท ผู้โดยสารหลายคนจึงยังคงเดินชิลล์ชมทิวทัศน์ของเวิ้งอ่าวที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและท้องทะเลสีฟ้าครามกว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่เบื้องหน้า  เมื่อพ้นเวิ้งอ่าว เรือก็ เร่งเครื่องสุดกำลัง  ลมทะเลเย็นๆ กับแสงแดดอ่อนซึ่งส่องผ่านชั้นเมฆหนาตกลงบนหลังคาผ้าใบของเรือ ทำให้ผมต้องรีบสลัดความคิดและงีบหลับเอาแรงบนเก้าอี้ที่สั่นสะเทือนตลอดเวลาขณะเรือวิ่งด้วยความเร็วสูงจนได้ยินเสียงหวีดจากลมที่พัดผ่าน

หลีเป๊ะ  "รักษ์หมดใจยัยเป๊ะเว่อร์"

เรือใช้เวลาตามที่คาดไว้ เมื่อแล่นเข้าสู่หาดก็เริ่มลดความเร็วลง เรือยิ่งแล่นเข้าใกล้ ภาพหญิงสาวผิวขาวสะอาดราวเปลือกไข่ในชุดบาติก สีเขียวมรกตพลิ้วไหวด้วยแรงลม มีมงกุฎดอกหญ้ามัดเกลียวสวมบนศีรษะ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น  ใบพัดเรือหมุนกลับสร้างแรงต้านทำให้เรือหยุดนิ่ง นักท่องเที่ยวเดินเรียงลงจากเรือ  การรอคอยอันยาวนานทำให้ผมแทบอดใจรอที่จะเข้าไปสัมผัสเธอคนนั้นไม่ไหว  ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนหนุ่มอันดาแรกเห็นสาวฟ้าใส  ผมขอสารภาพว่า ก้าวแรกที่เหยียบลงบน เกาะหลีเป๊ะ ทรายขาวเม็ดละเอียดใต้ระดับน้ำตื้นริมหาดที่ฟุ้งขึ้นนุ่มเท้าให้สัมผัสราวกับเดินอยู่บนขนนก ก็ทำให้ผมรักแทบหมดใจแล้วหลีเป๊ะคือชื่อของเธอซึ่งเพี้ยนมาจาก "นีปิส" ภาษาอูรักลาโว้ย ที่แปลว่าบาง พ้องกับลักษณะของเกาะที่ราบแบน  พื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตรของหลีเป๊ะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติปีละราว 2 หมื่นคน (ข้อมูลปี 2555 สำรวจโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) มาเยือนเพื่อเก็บเกี่ยวความสุขบนเกาะที่งดงามราวกับสวรรค์สร้าง

ถ้าภูเก็ตมีย่านหาดป่าตอง เกาะหลีเป๊ะก็มี ย่านหาดพัทยา ซึ่งจัดเป็นย่านดาวน์ทาวน์ที่เรือเกือบทุกลำต้องมาเทียบท่าที่นี่  นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมที่พัก ร้านอาหาร บริษัททัวร์และดำน้ำ ทั้งยังมีถนนตัดเชื่อมไปยังอีกสองหาดที่สงบกว่าคือ หาดประมง หรือ Sunset Beach และหาดชาวเล หรือ Sunrise Beach  ผู้หลงใหลแสงแรกของ ยามเช้าอย่างผม แน่นอนว่าต้องไป ซันไรส์บีช  หาดนี้ลักษณะค่อนข้างตรงยาว  บนความยาว 2 กิโลเมตรนั้นเรียงรายไปด้วยโรงแรมและ รีสอร์ต แล้วผมก็เช็กอินเข้าพักที่ Idyllic Resort เกือบสุดปลายหาด รอจนแดดร่มลมทะเลโชยพวกเราจึงออกไปเดินเล่นชมวิถีถิ่นนี้ เลาะไปตามหาดชาวเลซึ่งในตอนเย็นจะเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลลดระดับลงจนเผยให้เห็นพื้นทรายขาวและโขดหินอันอุดมด้วยปะการังน้ำตื้น  แม้ฟ้ารำไรขึ้นทุกขณะ ผมก็ยังย่ำลงไปก้มดูปะการัง ส่วนมากเป็นปะการังแข็งพวกปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด และปะการังดอกกะหล่ำ แต่น่าเสียดายปะการังที่อยู่ใกล้หาดส่วนใหญ่ถูกทำลายไปมาก อาจเพราะบริเวณหน้าหาดมีเรือของรีสอร์ตเข้าออกเป็นประจำ

ขณะเดินสังเกตระบบนิเวศทะเลน้ำตื้น ผมพบเห็นเพียงเจ้าปลิงทะเลตัวดำลายขวางสีขาวและเจ้าปูที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ซอกหิน ซึ่งในวันนี้ถือว่าเป็นพระเอก เพราะเรียกความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่อยู่บริเวณนั้น รวมทั้งผมด้วยเดินเลียบแนวปะการังไปเรื่อยๆ ก็พบกลุ่มเรือประมงนับร้อยลำจอดนิ่งบนพื้นทรายห้อมล้อมด้วยเครื่องมือประมงประเภทอวนและไซดักปู  ชาวประมงหุ่นสันทัด ผิวคล้ำ ผมหยิกหย็อง พูดสำเนียงไม่คุ้นหู กระโดดลงจากเรือ เดินแบกอวนหนักหลายกิโลฯ พร้อมหิ้วไซขึ้นมาบนฝั่ง บ้างก็นั่งซ่อมอวนส่วนที่ขาดรุ่งริ่ง ผมยิ้มทักทายพวกเขาอย่างที่ผู้มาเยือนควรจะทำ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คือเจ้าบ้านที่อาศัย ณ ที่นี้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5ข้อมูลจากงานวิจัยกล่าวว่า ชาวเกาะหลีเป๊ะส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์อูรักลาโว้ยหรือชาวทะเลผู้ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ของหมู่เกาะในเขตมหาสมุทรอินเดีย โดยเฉพาะน่านน้ำทะเลอันดามัน  ชาวอูรักลาโว้ยที่นี่อพยพมาจากเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ มีภาษาพูดและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ตั้งถิ่นฐานอยู่ย่านหาดชาวเลเรื่อยไปทางเหนือซึ่งเป็นเขตชุมชน มีโรงเรียน สถานีอนามัย และวัด แวดล้อมด้วยรีสอร์ตที่ตั้งกระจายอยู่เดินเรื่อยไปจนสุดหาด ความเงียบคือสิ่งที่รอผมอยู่ตรงนั้น รอบๆ ตัวเริ่มมีจุดสีขาว ส้ม เหลือง ติดขึ้นแซมพุ่มไม้ที่ไหวตามแรงลม แสงสีของร้านค้าและรีสอร์ตริมหาดนี้ดูราวกับหิ่งห้อยตัวเขื่องเกาะบนกิ่งไม้  

ถ้าอยู่ในเมืองผมคงต้องรีบเดินไปหาที่สว่าง เพราะเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ทว่าบนเกาะหลีเป๊ะผมสามารถนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดแล้วแหงนมองไปยังผืนฟ้าสีดำสนิท เมฆสเหลืองนวลด้วยอาบแสงจันทร์ลอยเอื่อยๆ ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง อันดากับฟ้าใส ที่คู่พระนางพบและรู้จักกันในงานปาร์ตี้ริมหาดยามค่ำคืน  สำหรับผมกับหญิงสาวชื่อ "หลีเป๊ะ" เรารู้จักกันมา 4 ชั่วโมงเศษแล้ว ความงดงามของเธอคงไม่ใช่แค่หาดที่สวย ทรายที่ขาว น้ำที่ใส แต่หมายรวมถึงสิ่งที่งดงามยิ่งกว่า คือวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของกลุ่มชาวเลที่ยังคงดำเนินตามเดิมแม้จะอยู่ในห้วงแห่งความผันแปรของเกาะอันสืบเนื่องจากการท่องเที่ยว ชาวเลที่นี่ส่วนใหญ่ไม่เคยทิ้งทะเลที่เขารักและคงรักษาวัฒนธรรมความเป็นชาวเลเอาไว้ได้นั่งทอดอารมณ์อยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลาเดินไปหาแสงสีบนเกาะบ้าง ถนนคนเดิน ซึ่งคึกคักตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม เป็นแหล่งรวมของกินและร้านค้ามากมาย  ตลอดทางมีร้านขายอาหารตะวันตกไปจนถึงอาหารจานเดียวให้เลือกได้ตามขนาดกระเป๋า  ผมและเพื่อนนัดพบกันบริเวณทางเข้าถนนคนเดิน พวกเราเลือกซื้ออาหารจานเดียวเป็นมื้อเย็น ก่อนจะไปเพิ่มแคลอรีจากโรตีใส่ไข่และกล้วยจัดแบบพิเศษที่เสิร์ฟพร้อมชาชักหอมๆ เจ้าดังบนเกาะ แล้วเดินกินบรรยากาศ  สินค้าที่วางขายส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า ชุดว่ายน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำ รวมไปถึงแพ็กเกจดำน้ำที่พวกเราแอบไปซื้อเตรียมไว้สนุกในวันพรุ่งนี้ 

จากถนนคนเดินเราเดินทะลุถึงหาดพัทยาได้  ช่วงค่ำที่นี่แตกต่างจากกลางวัน ร้านสไตล์นั่งชิลล์จิบเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ เปิดเพลงดังๆ ประดับร้านด้วยแสงสีประหลาดดูราวเป็นดินแดนในโลกอนาคต เปิดกันพึ่บพั่บกินพื้นทีตลอดแนวชายหาดก้มดูเวลาอีกครั้ง เข็มนาฬิกาเคลื่อนไปเกือบ 3 ทุ่ม พวกเราจึงเร่งรีบกลับที่พัก เพราะพรุ่งนี้มีนัดกับปะการังและปลาการ์ตูนตัวน้อย

มุดทะเลไปโผล่บนหาดสวย เส้นทางเที่ยวของสองเรา

"กริ๊งๆ" เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ผมลุกขึ้นจากเตียง นี่เป็นอีกเช้าหนึ่งที่น่าตื่นเต้นในประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวของผม  เมื่อเตรียมตัวพร้อมพวกเราก็เดินลงเรือที่ซื้อแพ็กเกจทัวร์ไว้เมื่อเย็นวันวาน  แม้จะอยู่ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา ทว่าในใจผมครุ่นคำนึงเพียงว่า ทริปนี้ผมกำลังจะไปเดทกับ "ฟ้าใส" กันแค่สองคนหลังจากเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลบอกกำหนดการคร่าวๆ ทั้งชี้แจงเรื่องการใช้สนอร์เกิลเรียบร้อย เรือสปีดโบ๊ตลำใหญ่บรรทุกคนได้มากกว่า 40 ชีวิตก็ออกตัวด้วยเครื่องยนต์หลายแรงม้า มุ่งสู่ ร่องน้ำจาบังทางตะวันตกของ เกาะอาดัง ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังอ่อน  เมื่อถึงที่หมายเหล่านักท่องเที่ยวต่างชโลมครีมกันแดด สวมสนอร์เกิลและฝึกหายใจก่อนลงสนามจริง  น้ำใสสีเขียวมรกตมองเห็นกองหินและปะการังอ่อนรางๆ อยู่เบื้องหน้าเราแล้วปะการังอ่อน (soft coral) เป็นปะการังชนิดหนึ่งที่ไม่ได้สร้างโครงสร้างหินปูนมาคลุมทั้งหมดเหมือนปะการังทั่วไป แต่สร้างหนามหรือเกล็ด (sclerite) แบบไม่ยึดติดกัน ทำให้พลิ้วไหลได้ตามกระแสน้ำ

นอกจากน้ำในระดับที่ปะการังทั่วไปขึ้นแล้ว ปะการังอ่อนยังขึ้นในน้ำระดับลึกกว่าด้วย เนื่องจากไม่ต้องอาศัยแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหาร โดยมันกินแพลงก์ตอนในน้ำเป็นหลักก่อนจะหย่อนตัวลงในน้ำทะเลใสกิ๊ง แพมนุษย์นับสิบคนต้องลอยตัวไปตามแนวเชือกที่ผูกโยงให้จับยึดไม่ให้ลอยตามกระแสน้ำซึ่งไหลแรงมาก  ผมคว่ำตัวลง เปลี่ยนมาหายใจทางปาก เปลี่ยนฉากฟ้าครามที่มองเห็นนกบินผ่านเป็นโลกสีเขียวมรกตที่มีฝูงปลาแหวกว่าย สวมบทหนุ่มอันดาว่ายไปหาหมู่ปะการังอ่อนต้นวุ้นที่ดูคล้ายวุ้นสีหวานหลายสีพลิ้วตัวไปมาอยู่ทั่วบริเวณกองหินใต้น้ำ  ยิ่งมีฝูงปลาตัวเล็กๆ สีฉูดฉาดว่ายผ่าน ยิ่งเพิ่มเฉดสีราวกับใครแกล้งหว่านลูกกวาดลงในท้องทะเล  แดดที่ส่องผ่านผิวน้ำหักเหลำแสงลงกระทบกับปะการังคล้ายดวงสปอตไลต์ส่องให้ดูโดดเด่น  เม่นทะเลเจ้าของหนามแหลมคมเก็บอาหารกินอยู่ตามพื้นทะเลใกล้ปะการังอ่อน

อีกด้านปลาการ์ตูนสีส้มขาวว่ายในดงหนวดดอกไม้ทะเล เป็นมุมสวยๆ มุมหนึ่งของ "ฟ้าใส" ที่ผมได้สัมผัสเมื่อเจ้าหน้าที่เรียกนักท่องเที่ยวขึ้นเรือ ผมรู้สึกเหมือนเวลาบนพื้นผิวน้ำผ่านไปเร็วกว่าใต้ทะเล  เรือมุ่งหน้ายังที่หมายต่อไปคือ เกาะหินซ้อน ซึ่งเป็นหินสองก้อนมหึมาซ้อนตัวกันและโผล่พ้นน้ำขึ้นมา บางคนจินตนาการเป็นรูปเรือใบ บ้างก็ว่ารูปทรงคล้ายใบหน้าคน ทว่าสิ่งน่าสนใจยิ่งกว่าคือใต้หินซ้อนลึกลงไปในทะเลอันเป็นกองหินก้อนมหึมากว่านี้เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ดีแห่งหนึ่ง โดยมีทั้งปะการังแข็งและปะการังอ่อนให้ชม  ปะการังแข็งส่วนใหญ่เป็นปะการังผักกาดและปะการังเขากวางที่ขึ้นในน้ำระดับตื้น เพราะต้องการแสงแดดเพื่อสังเคราะห์อาหาร ใกล้เที่ยงเจ้าหน้าที่เร่งเราให้ไปพักผ่อนบนหาดสวยๆ ที่ เกาะรอ-กลอย หรือเกาะรอก-ลอย ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่เกาะดงหรือตงอันเป็นเกาะภูเขาที่ไม่มีพื้นที่ราบ มีกองหินกระจายอยู่รอบเกาะ  กองหินส่วนหนึ่งเป็นเกาะรอกลอยซึ่งมีหาดทรายรูปพัดสีขาวสะอาดตาเป็นพื้นที่รับแขก โดยส่วนอื่นๆ ของเกาะเป็นโขดหิน 

ผมรีบลงเรือ เดินไปหาร่มไม้ซึ่งมีชิงช้าไม้เล็กๆ แขวนอยู่ แล้วลงนั่งแกว่งชิงช้าอย่างเพลินใจ พลางชมทะเลสีเขียวมรกต หนึ่งในเสน่ห์ของฟ้าใสที่ผมชื่นชอบ  เหตุที่น้ำทะเลในเขตทะเลอันดามันเป็นสีเขียวมรกต ก็เนื่องจากชายฝั่งทะเลอันดามันเป็นชายฝั่งที่ยุบตัวลึกกว่าฝั่งอ่าวไทย ทั้งเกาะยังตั้งอยู่ไกลจากชายฝั่ง ตะกอนจากปากแม่น้ำไหลมาไม่ถึง และอีกปัจจัยหนึ่งคือแพลงก์ตอนพืชที่อยู่ในท้องทะเลผลิตคลอโรฟิลล์ออกมาดูดซับช่วงคลื่นแสงสีแดงและน้ำเงินเอาไว้ แต่ไม่ดูดซับช่วงคลื่นแสงสีเขียว เราจึงมองเห็นน้ำทะเลมีสีเขียวมรกต  ยิ่งช่วงที่มีแสงแดด น้ำทะเลจะยิ่งมีสีเขียวมรกตเข้มจัด ยกเว้นเขตน้ำลึกที่แสงส่องลงไปไม่ถึง น้ำทะเลจึงมีสีฟ้าครามดังเดิม ทั้งนี้รอบๆ เกาะรอกลอยก็เป็นจุดดำน้ำดูปะการังแห่งหนึ่งด้วยเดินๆ วิ่งๆ ว่ายๆ ใช้พลังงานจากอาหารมื้อเช้าจนหมด เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลก็เหมือนจะหยั่งถึงภาวะนี้ จึงบอกให้ทุกคนขึ้นเรือเพื่อไปร้านอาหารที่สวยและชิลล์ที่สุด  ใช้เวลาสัก 20 นาทีพวกเราก็มาถึงหาดทรายขาวของ เกาะราวี  ความขาวของหาดทำเอาผมยืนถือกล่องข้าวและขวดน้ำนิ่งอยู่เหมือนต้องมนต์สะกด จนเพื่อนต้องสะกิดให้เดินไปที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่  ถ้ามองจากมุมสูง หาดทรายขาวเป็นเพียงส่วนเล็กๆ หนึ่งของเกาะราวีซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร ที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาปกคลุมด้วยป่าห้าประเภทเรียงตามลำดับความสูง คือ ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าชายเลน และป่าชายหาด

ในอดีตป่าเหล่านี้เป็นแหล่งน้ำจืดของชาวเลที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ต่อมามีการประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เกาะนี้จึงได้รับการอนุรักษ์ บริเวณรอบเกาะราวีเป็นอาณาจักรปะการังที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะโครงสร้างหินของเกาะเป็นหินแกรนิต เหมาะแก่การอยู่อาศัยของปะการังหลังมื้ออาหาร ผมเดินเล่นริมหาดที่ขาวสะอาดโปรยด้วยใบไม้สีเหลืองสีเขียวอ่อน บางจุดมีท่อนไม้ผุทอดตัวขวางกั้นเขตหาดและป่าด้านใน จากนั้นเอนกายพักผ่อนบนเปลเล็กๆ ลมเย็นพัดมาพร้อมเสียงคลื่นเห่กล่อม ช่างเป็นร้านอาหารที่น่าแวะจริงๆ  ปล่อยให้อาหารย่อยสักพักผมก็คว้าหน้ากากสนอร์เกิลลงไปแหวกว่ายทักทายฝูงปลาและปะการังบริเวณไม่ไกลนักจากชายหาด กระทั่งบ่ายคล้อยจึงพากันนั่งเรือไปยังจุดหมายต่อไปที่ เกาะหินงาม ซึ่งเดิมชื่อเกาะปูเลาะ อันแปลว่างามเพราะหินในภาษาอูรักลาโว้ย   การเดินเที่ยวบนเกาะนี้ลำบากสักนิด เพราะหาดเต็มไปด้วยหินก้อนกลมๆ มนๆ ผิวมันวับยามต้องแสงอาทิตย์  หินเหล่านี้ทับถมกันมานานนับล้านปีจนกลายเป็นสันดอนหินขนาดใหญ่ ส่วนที่ลาดเอียงก็กลายเป็นหาดหิน  ก้อนหินส่วนใหญ่เป็นหินตะกอนที่เรียกว่าหินฮอร์นเฟลส์ (hornfels) มีความเปราะกว่าหินอัคนี จึงถูกน้ำทะเลและคลื่นกัดเซาะง่าย ทำให้หินมีรูปทรงกลมมนและผิวเรียบลื่น ทั้งในเนื้อหินยังมีหินทรายแทรกตัวเป็นชั้น จึงเกิดเป็นริ้วสวยงามความกลมมนสวยงามของก้อนหิน พาให้หลายคนเก็บกลับบ้านเป็นที่ระลึก จนเกิดตำนานเล่าว่า ทุกคนที่เก็บหินกลับไปจะพบเรื่องไม่ค่อยดีในชีวิต จึงต้องส่งก้อนหินนั้นกลับมาที่เกาะ  หลายคนเชื่อว่าเป็นคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาที่ว่า "ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบซึ่งความหายนะนานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด" แม้เป็นเพียงความเชื่อ หากมองอีกแง่มุมหนึ่ง ความเชื่อนี้ก็แฝงด้วยแนวคิดการอนุรักษ์ธรรมชาติของเกาะอันงามเพราะหิน

จากเกาะหินงามพวกเรามุ่งหน้าไปยัง เกาะไข่ ที่หมายสุดท้ายของทริปนี้ที่อยู่แยกไปจากหมู่เกาะอาดัง-ราวี จึงใช้เวลาเดินทางนานกว่าเกาะอื่น  ใครที่นึกภาพเกาะไข่ไม่ออก ขอให้ลองคิดถึงภาพสะพานหินซึ่งทอดตัวโค้งเหนือหาดทรายที่ปลายสุดเกาะ อันถือเป็นสัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา  สะพานหินโค้งนี้เกิดจากภูเขาริมชายฝั่งถูกกัดเซาะจากคลื่นรุนแรง  เกาะไข่ได้ชื่อมาจากการเป็นแหล่งวางไข่ของเต่าทะเล แต่ปัจจุบันถูกยกให้เป็นเกาะแห่ง "ซุ้มรักนิรันดร์" อันเนื่องมาจากความเชื่อว่า คู่รักที่ได้ลอดใต้สะพานหินโค้งจะรักกันไปชั่วนิรันดร์ ทั้งทางจังหวัดสตูลยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมของคู่บ่าวสาวในวันวาเลนไทน์ด้วยเมื่อทริปใกล้จบลง เวลาของผมที่จะได้ใกล้ชิดฟ้าใสก็ใกล้หมดลงด้วย  หญิงสาวที่หลายคนคิดว่าเธอมีตัวตนแค่ในภาพยนตร์ แต่สำหรับผม เธอมีตัวตนจริงๆ  ก่อนหน้าที่ผมจะรู้จักเธอ ผมคิดว่าตัวตนเธอคือเกาะหลีเป๊ะเท่านั้น ทว่าจริงๆ แล้วเนื้อกายของเธอคือหมู่เกาะอาดัง-ราวีและหมู่เกาะดงด้วย  เธอมีอาภรณ์เป็นบาติกสีเขียวมรกตเพ้นต์รูปปะการังและปลาทะเลหลากสี มีมงกุฎเป็นป่าดิบชื้นอันอุดมสมบูรณ์ และมีหัวใจแสนงามเป็นวิถีของชาวเล 

ผมขอสัญญาไว้ ณ ซุ้มรักนิรันดร์แห่งเกาะไข่ว่า ผมจะรักษ์ท้องทะเลเมืองสตูล "ฟ้าใส" ของผม ให้คงสวยงามเช่นนี้ตลอดไปทั้งในโลกแห่งความทรงจำและโลกแห่งความจริง

ขอขอบคุณ: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

(คลิกที่ภาพ เพื่อชมภาพขนาดใหญ่)

 

อัพเดตเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวสนุกๆ มากมายได้ที่ http://travel.sanook.com/

ร่วมเป็นแฟนเพจเรา บน Facebook..ได้ที่นี่เลย!!

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ

อัลบั้มภาพ 18 ภาพ ของ เที่ยวสตูล ทริปหน้าร้อนแรกที่หลีเป๊ะ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook